• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

ทำแท้งเถื่อนมีผลอย่างไร

จากข่าวที่ปรากฏตามหน้าหนังสือพิมพ์และสื่อแขนงต่างๆ ว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้เข้าบุกทำลายคลินิกทำแท้งเถื่อน มีเห็นกันอยู่แทบทุกเดือน ในฐานะเป็นแพทย์จึงขอให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับเรื่องการทำแท้งเถื่อน

การทำแท้ง ก็คือการทำให้แท้งลูก ทำให้ลูกออกมาก่อนกำหนดโดยไม่มีชีวิตอยู่นั่นเอง
การทำแท้ง เป็นการยุติการตั้งครรภ์ระยะแรกที่ทารกในครรภ์มารดามีอายุครรภ์ก่อนจะถึงวัยที่สามารถคลอดมีชีวิตได้ (viable) คือภายใน 28 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ (ตามที่องค์การอนามัยโลกนิยามไว้)

ทำแท้งในอายุครรภ์น้อยจะมีภาวะแทรกซ้อนน้อยกว่าในอายุครรภ์มาก ส่วนใหญ่มักจะทำแท้งภายในไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์

การทำแท้งเถื่อน
วิธีทำแท้งตามสถานที่ทำแท้งเถื่อนมีหลายวิธี
1. ใช้แรงกดบีบเค้นที่หน้าท้อง
เป็นวิธีการสมัยโบราณ คล้ายการทำคลอดโดยหมอตำแย ทั้งบีบเค้นใช้แรงกระแทกที่หน้าท้อง มักใช้กับรายที่อายุครรภ์มากหน่อย มดลูกจะมีขนาดโตพอที่สามารถใช้แรงกดถึงได้ จึงมีความเสี่ยงสูง เสี่ยงต่อมดลูกแตกได้ ปัจจุบันมักจะไม่ใช้วิธีนี้

2. กินยา
โดยทั่วไปเวลาไปซื้อยามากิน มักจะเป็นฮอร์โมน หรือที่เรียกกันว่ายาขับเลือด ยาสตรีต่างๆ ยาขับระดู ยาขับเด็ก แต่ขับไม่ออกถ้าตั้งครรภ์จริง แต่ถ้าขาดระดูเนื่องจากสาเหตุของฮอร์โมนการกินยาขับจะทำให้ระดูมาได้ เข้าใจผิดว่าเป็นการทำแท้ง แต่ความจริงไม่ได้ตั้งครรภ์

ปัจจุบันมียากินที่สามารถทำให้แท้งบุตรได้ เป็นยาควบคุมแล้ว ทำให้มีการลักลอบขายกันราคาแพงมาก ชื่อว่าไซโตเท็ก

3. เหน็บยา

ยาไซโตเท็กเป็นยารักษาโรคกระเพาะชนิดหนึ่งเมื่อกินเข้าไปทำให้แท้งได้ และต่อมาก็พบว่ายานี้ออกฤทธิ์ที่มดลูกได้ จึงมีคนนำมาใช้เพื่อการทำแท้ง โดยวิธีการเหน็บในช่องคลอด

อย่างไรก็ตาม การกินยาหรือเหน็บยาในอายุครรภ์ 3 เดือนแรกขณะที่รกยังสร้างขึ้นมาไม่เสร็จจะทำให้รกไม่ลอกตัวออกมาเป็นตัวรกทั้งหมดได้ อาจทำให้เลือดออกกะปริดกะปรอยไม่หยุด จนต้องมาพบแพทย์และจำเป็นต้องขูดมดลูกให้เศษรกหลุดจากผนังมดลูกทั้งหมด เลือดจึงจะหยุดได้

4. ฉีดสารเข้าทางหน้าท้อง

เป็นการฉีดสารเข้าไปในโพรงมดลูกโดยตรง (เช่น กลูโคสเข้มข้นหรือน้ำเกลือเข้มข้น) และอื่นๆ (เช่น สารพิษ) มักจะใช้กรณีที่ตั้งครรภ์และอายุครรภ์ระยะไม่เกิน 6 เดือน เป็นการกระตุ้นให้มดลูกหดรัดตัวให้ทารกแท้งออกมา ส่วนใหญ่ไม่ต้องขูดมดลูกตามมานอกจากบางรายที่ชิ้นส่วนยังมีติดค้างไม่หลุดออกมาหมด แต่การทำแท้งวิธีนี้เสี่ยงต่อแม่มาก เพราะหลายครั้งผู้ทำแท้งก็ฉีดมั่วจนตายทั้งแม่ทั้งลูก ปัจจุบันพบน้อยลง

5. ใส่อุปกรณ์หรือฉีดสารเข้าทางช่องคลอด

อาจเป็นสายยาง หรือใช้สายสวนปัสสาวะใส่เข้าไปผ่านทางช่องคลอดผ่านปากมดลูกเข้าไปในโพรงมดลูก และฉีดสารบางอย่างเข้าไปกัดเซาะเนื้อเยื่อทารกและรกในโพรงมดลูก บางรายใช้น้ำยาล้างพื้นที่มีฤทธิ์เป็นด่างชนิดแรงหรือกรดที่กัดทั้งเนื้อเยื่อปกติของร่างกายด้วย เป็นอันตรายอย่างมาก รวมทั้งวิธีการขูดมดลูกซึ่งเป็นวิธีที่เลียนแบบแพทย์ตัวจริงมาใช้

การขูดมดลูก
อุปกรณ์ที่ใช้คือตัวขูดเนื้อยาวประมาณ 1 ฟุต ตรงปลายก้านจะมีลักษณะคล้ายที่ขูดมะพร้าว ผู้หญิงนั่งบนขาหยั่ง ผู้ทำแท้งจะเปิดแหวกช่องคลอดด้วยเครื่องถ่าง แล้วใช้เครื่องมือยึดปากมดลูกไว้ จากนั้นเอาที่ขูดแหย่เข้าไปขูดในมดลูก ปัญหาที่ตามมาหลังขูดมดลูกมีหลายอย่างคือ

1. มีเนื้อในมดลูกหลงเหลืออยู่ เนื้อพวกนี้ก็จะพยายามหลุดลอกตัวออก แต่คนที่โชคไม่ดี เนื้อเหล่านี้อาจทำให้หลุดไม่ดี หรือไม่หลุดออก ก็จะมีเลือดไหลออกมาเรื่อยๆ ไม่หยุด บางคนไหลเป็นเดือนๆ กว่าจะหลุดออกมาหมด

2. ติดเชื้อ (ตรงไปตรงมา) เครื่องมือและคนทำ

3. มดลูกทะลุ การทำแท้งเถื่อนมักขูดมดลูกไม่ถูกวิธี ใช้อุปกรณ์ที่อาจจะไม่ถูกต้อง หรือไม่ได้มีการฆ่าเชื้อโรคที่ถูกวิธี ส่วนใหญ่มักขูดไปเลย และมีไม่น้อยที่ทะลุ โชคดีก็ปิดได้เอง โชคร้ายอาจติดเชื้อในท้องหรือกระเพาะทะลุก็มี ส่วนใหญ่มักจะมีอาการมาด้วยเรื่องเลือดไหลออกทางช่องคลอด

หลังทำแท้งแล้วมีปัญหาก็มักจะรอนานเพราะไม่กล้ามาตรวจ กว่าจะตัดสินใจไปพบแพทย์ก็มักจะมาช้ามากจนกระทั่งมีการติดเชื้อที่รุนแรงหรือเสียเลือดไปมากจนกระทั่งอาจทำให้ระบบการแข็งตัวของเลือดผิดปกติไป ผู้ป่วยอาจจะไม่กล้าบอกหมอว่าไปทำแท้งมา อาจจะกลัวแพทย์ต่อว่า จึงมักบอกแพทย์ว่าเป็นอย่างอื่น เช่น ล้มในห้องน้ำ ยกของหนัก เกิดอุบัติเหตุ ขับรถเครื่องแล้วเบรกแรงๆ ตกบันได
การรักษาผู้ที่ทำแท้งแล้วเกิดอันตราย แพทย์จะให้ทั้งยาฆ่าเชื้อและวัคซีนบาดทะยัก

ทําแท้ง... ผิดกฎหมาย
ตามกฎหมายแล้ว การทำแท้งนั้นไม่ว่าหญิงที่ตั้งครรภ์นั้นจะยอมหรือไม่ยินยอมให้ผู้อื่นทำให้ตนแท้งลูกก็ตาม ผู้ที่ทำให้หญิงนั้นแท้งลูกมีความผิดฐานทำให้หญิงแท้งลูก

ส่วนตัวผู้หญิง หากทำแท้งเอง หรือยอมให้ผู้อื่นทำแท้งให้ ก็มีความผิดเช่นกัน ที่กฎหมายเขียนอย่างนี้ก็เพื่อคุ้มครองเด็กในท้องนั่นเอง เด็กยังไม่คลอดออกมา ยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ก็จะถูกฆ่าปิดปาก กฎหมายเลยมาช่วยไว้

มีหลักแล้วก็ต้องมีข้อยกเว้น กฎหมายเปิดช่องให้หญิงมีครรภ์สามารถทำแท้งได้ หากการทำแท้งนั้น เป็นเรื่องที่จำเป็นต่อสุขภาพของหญิงนั้น ซึ่งการทำแท้งดังกล่าว มีหลักเกณฑ์ดังนี้

1. การทำแท้งนั้น ต้องเป็นการกระทำของนายแพทย์
2. หญิงที่ตั้งครรภ์ต้องยินยอมให้แพทย์ทำแท้ง
3. มีความจำเป็นเนื่องจากสุขภาพของหญิงที่ตั้ง-ครรภ์นั้น หรือเพราะว่าหญิงนั้นตั้งครรภ์เนื่องจากการกระทำความผิดอาญาบางฐาน เช่น หญิงนั้นถูกข่มขืนจนตั้งครรภ์

ถ้าเข้าหลักเกณฑ์ทั้ง 3 ข้อที่ว่ามานี้ กฎหมายยอมให้หญิงมีครรภ์ทำแท้งได้ โดยหญิงและแพทย์ที่ทำแท้งให้นั้นไม่มีความผิดตามกฎหมายแต่อย่างไร

ถ้าหากว่าการทำแท้งนั้นเป็นไปเพื่อสุขภาพของเด็กในครรภ์นั้นเอง เช่น ไปถ่ายเอกซเรย์ดูแล้วพบว่า เด็กแขนขาพิการ หัวใจไม่ปกติ ฯลฯ แบบนี้จะอ้างว่าเพื่อเห็นแก่เด็กที่จะเกิดมาพิการ แล้วไปทำแท้งไม่ได้ ถือว่ามีความผิด เพราะกฎหมายมุ่งคุ้มครองเด็ก การที่เด็กจะเกิดมาไม่สมประกอบ เพราะอย่างไรคนพิการหรือไม่สมประกอบก็มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เช่นกัน

แพทยสภามีการออกข้อบังคับให้ทำแท้งได้โดยตีความว่าสุขภาพมารดาให้รวมถึงสุขภาพจิตด้วย ซึ่งภาวะที่มารดาได้ทราบว่าทารกในครรภ์ตนเองผิดปกติ ก็มักจะเครียดและเสียใจมาก ถือว่าเป็นปัญหาสุขภาพจิตของมารดา จึงทำแท้งได้
 

ข้อมูลสื่อ

361-004
นิตยสารหมอชาวบ้าน 361
พฤษภาคม 2552
นพ.ไพโรจน์ บุญศิริคำชัย