• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

ออฟฟิศปลอดบุหรี่ ประเดิม ก.พ. 2553

องค์การอนามัยโลกแจ้งว่าปัจจุบันมีการใช้พื้นที่ทั่วโลกราว 12 ล้านเท่าของสนามฟุตบอลขนาดมาตรฐาน เพื่อปลูกต้นยาสูบ หากปรับพื้นที่ดังกล่าวเปลี่ยนมาปลูกพืชที่เป็นอาหารแทน ว่ากันว่าจะสามารถผลิตอาหารเลี้ยงประชากรโลกที่อดอยากหิวโหยได้ถึงปีละ 20 ล้านคน 

ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ระบุปี 2549 เมืองไทยมีผู้สูบบุหรี่เป็นประจำทั้งสิ้นราว 9.53 ล้านคน หากสิงห์อมควันแต่ละคนสูบบุหรี่เฉลี่ยวันละ 10 มวน เท่ากับว่าแต่ละวัน ทั่วประเทศมีปริมาณการสูบบุหรี่สูงถึง 95.3 ล้านมวน สอดรับกับข้อมูลของ นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ ซึ่งระบุว่า แต่ละปีคนไทยสูบบุหรี่ไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านมวน คิดเป็นมูลค่ากว่า 150,000 ล้านบาท 

ผลที่ตามมา มีคนไทยตายด้วยโรคจากบุหรี่ปีละประมาณ 52,000 ราย และต้องเข้ารับการรักษาด้วยโรคที่เกี่ยวเนื่องจากการสูบบุหรี่ อีกปีละไม่ต่ำกว่า 100,000 ราย คิดเป็นค่าบริการทางการแพทย์ที่รัฐบาลต้องสูญเสียเป็นเงินถึง 1,000 ล้านบาทต่อปี 

ที่สหรัฐอเมริกา มีผลงานวิจัยเกี่ยวกับการสูบบุหรี่ของพนักงานในสถานประกอบการ ประมาณการตัวเลขความสูญเสียจากการที่สถานประกอบการแต่ละแห่งมีพนักงาน 1 คนสูบบุหรี่วันละ 1 ซอง รายงานวิจัยระบุว่า จะทำให้นายจ้างต้องเสียค่าใช้จ่ายบางอย่างเพิ่มขึ้นถึง 600 ดอลลาร์ต่อคนต่อปี โดยค่าสูญเสียเหล่านั้นเกิดจาก

1. การขาดงานของพนักงาน เพราะโดยทั่วไปแล้วพนักงานที่สูบบุหรี่มีแนวโน้มเจ็บป่วยและเข้าโรงพยาบาลมากกว่าพนักงานที่ไม่สูบ และมีอัตราการลางานสูงกว่าพนักงานที่ไม่สูบบุหรี่ประมาณร้อยละ 25-30 นอกจากนี้ยังพบว่า พนักงานที่สูบบุหรี่มากกว่าวันละ 15 ม้วน จะมีอัตราการลาป่วยเป็น 2 เท่าของพนักงานทั่วไป 

2. โอกาสในการเกิดอุบัติเหตุ พนักงานที่สูบบุหรี่มีแนวโน้มที่จะเกิดอุบัติเหตุจากการทำงานได้มากกว่าพนักงานที่ไม่สูบบุหรี่ อาจขาดสมาธิในการทำงานเพราะมือข้างหนึ่งต้องคอยคีบบุหรี่ หรือควันบุหรี่อาจทำให้แสบตา จึงมีส่วนทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ โดยเฉพาะพนักงานที่ต้องทำงานก่อสร้างปีนขึ้น-ลงในที่สูง และพนักงานขับรถ เป็นต้น 

3. เพิ่มโอกาสในการเกิดเพลิงไหม้ การทิ้งก้นบุหรี่ อาจเป็นต้นเหตุให้เกิดเพลิงไหม้สถานประกอบการโดยไม่เจตนา นำมาซึ่งความสูญเสียมหาศาล โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาพบว่า การเกิดเพลิงไหม้ 1 ใน 5 ครั้ง ล้วนมีสาเหตุมาจากบุหรี่ 

4.ค่าใช้จ่ายในการทำความสะอาด และบำรุงรักษาสถานที่ ทั้งก้นบุหรี่และควันบุหรี่ มีส่วนทำให้เกิดความเสียหายต่อเฟอร์นิเจอร์ สำนักงาน และอุปกรณ์เครื่องใช้บางอย่าง เช่น พรม โต๊ะ เครื่องหนัง ผนัง ผ้าม่าน ยิ่งกรณีมีการสูบบุหรี่ในห้องแอร์ กลิ่นอับของบุหรี่ที่เข้าไปอยู่ในระบบปรับอากาศ ทำให้ต้องเพิ่มค่าบำรุงรักษาเครื่องปรับอากาศถึง 6 เท่า  

นอกจากความสูญเสีย และค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น งานวิจัยชิ้นเดียวกัน ยังระบุว่า ข้อดีของการเป็นสถานประกอบการปลอดบุหรี่ นอกจากช่วยเพิ่มผลผลิตให้หน่วยงาน โดยได้เวลาในการทำงานเพิ่มขึ้น ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายเรื่องค่ารักษาพยาบาล และค่าเสียโอกาสที่เกิดจากการขาดงานของพนักงาน ลดค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาอุปกรณ์และทำความสะอาดสำนักงาน ลดรายจ่ายในส่วนของระบบปรับอากาศ ลดค่าใช้จ่ายในการประกันอัคคีภัย ลดความขัดแย้งระหว่างพนักงานที่สูบและไม่สูบบุหรี่ และที่สำคัญ ช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่หน่วยงาน 

ด้วยเหตุนี้ ปัจจุบันจึงมีหลายองค์กรหรือสถานประกอบการ เริ่มหันมาให้ความสำคัญกับการทำสถานประกอบการให้เป็นที่ปลอดบุหรี่ 100เปอร์เซ็นต์ 

แต่ปัญหาอยู่ที่การจะทำให้ทุกคนในสถานประกอบการเลิกสูบบุหรี่อย่างพร้อมเพรียงและโดยสมัครใจ ไม่ใช่เรื่องง่าย 

นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ หัวเรือใหญ่รณรงค์ต้านการสูบบุหรี่ในเมืองไทยกล่าวว่า เวลานี้ความพยายามที่จะทำให้สถานที่ต่างๆ ปลอดบุหรี่มีกระแสมากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนหน้านี้รัฐบาลไทยได้ไปร่วมลงนามในสนธิสัญญา มีผลให้ต่อไปสถานที่สาธารณะและที่ทำงานจะต้องเป็นเขตปลอดบุหรี่ ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2553

ดังนั้น อีกหน่อยจึงแทบจะไม่มีสถานที่สาธารณะเหลือให้สูบบุหรี่ ยกเว้น สนามบิน ซึ่งเป็นที่สาธารณะที่ต้องจัดไว้ให้คนสูบบุหรี่โดยเฉพาะ  "มีการสำรวจแล้วว่า สถานที่ที่คนเราใช้เวลามากที่สุดในชีวิต คือ ที่ทำงานและเตียงนอน ทั้ง 2 สถานที่นี้จึงควรได้รับอากาศบริสุทธิ์ ต่อให้อ้างว่า ไม่เป็นไรมีเครื่องกรองอากาศช่วยได้ ในความเป็นจริงเครื่องกรองอากาศก็ช่วยไม่ได้ เพราะควันบุหรี่เป็นไอระเหย" 

 

คุณหมอยอมรับว่า บุหรี่มีอำนาจเสพติดสูงพอๆ กับเฮโรอีนและโคเคน ถึงแม้คนที่สูบส่วนใหญ่อยากจะเลิก แต่ก็เลิกไม่ได้ง่ายๆ 

จากการสำรวจตามสถานประกอบการส่วนใหญ่ มีพนักงานเพียง 1 ใน 4 ของพนักงานทั้งหมดเท่านั้นที่สูบบุหรี่ โดยร้อยละ 57 ของพนักงานที่สูบบุหรี่ เริ่มสูบมาตั้งแต่อายุ 16-20 ปี เหตุผลที่สูบ ส่วนใหญ่เพราะอยากลอง เพื่อนชวน และสูบเพื่อคลายเครียด 

มีพนักงานถึงร้อยละ 83 ที่เคยทดลองเลิกบุหรี่ แต่ไม่สำเร็จ ส่วนหนึ่งใช้วิธีเลิกแบบหักดิบ บางส่วนใช้วิธีค่อยๆ ลดปริมาณการสูบ อีกส่วนใช้การอมลูกอมหรือเคี้ยวหมากฝรั่ง บางส่วนหันไปออกกำลังกาย 

สาเหตุที่เลิกบุหรี่ไม่ได้ เป็นเพราะความเคยชิน เห็นคนอื่นสูบแล้วอยากสูบบ้าง และหยุดสูบบุหรี่แล้วหงุดหงิด ทำให้ต้องกลับมาสูบใหม่อีกหน

ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการสร้างสุขภาวะและลดปัจจัยเสี่ยงหลัก  สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า "ไม่อยากให้มองคนสูบบุหรี่เป็นผู้ร้าย อยากให้มองว่าเป็นเหยื่อมากกว่า แต่ธุรกิจยาสูบที่ผลิตและขายต่างหาก คือ ผู้ร้ายตัวจริง ดังนั้น เราต้องหาทางช่วยเหลือผู้ติดบุหรี่ โดยเฉพาะเวลานี้ตามโรงงานหรือสถานประกอบการต่างๆ มีผู้หญิงสูบบุหรี่อยู่ราวร้อยละ 2-3 ในจำนวนนี้ 4 ใน 5 คนอยากเลิก แต่ยังเลิกไม่ได้" 
  

ข้อมูลสื่อ

370-004
นิตยสารหมอชาวบ้าน 370
กุมภาพันธ์ 2553
กองบรรณาธิการ