• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

ประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่ 19 เพิ่มพื้นที่สาธารณะเป็นเขตปลอดบุหรี่ 100%

เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวความคืบหน้าการดำเนินงานควบคุมการบริโภคยาสูบ ในการออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องการกำหนดพื้นที่ห้ามสูบบุหรี่ว่า

"เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2553 ที่ผ่านมาเป็นวันครบรอบ 5 ปีของการบังคับใช้ตามกรอบอนุสัญญาควบคุมการบริโภคยาสูบขององค์การอนามัยโลก (WHO Framework Convention on Tobacco Control : WHO FCTC) เป้าหมายของกรอบอนุสัญญาชุดนี้ มุ่งเน้นการห้ามโฆษณาบุหรี่ และดำเนินการเรื่องสิ่งแวดล้อมให้ปลอดจากบุหรี่ 100 เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะในอาคารและสิ่งปลูกสร้าง โดยได้ลงนามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 19 พ.ศ.2553 เรื่อง กำหนดชื่อหรือประเภทของสถานที่สาธารณะที่ให้มีการคุ้มครองสุขภาพของผู้ไม่สูบบุหรี่ และกำหนดส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดของสถานที่สาธารณะดังกล่าวเป็นเขตสูบบุหรี่หรือเขตปลอดบุหรี่ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองสุขภาพของผู้ไม่สูบบุหรี่ พ.ศ.2535 คาดว่า เนื้อหาของประกาศดังกล่าว จะมีผลบังคับใช้ภายใน 90 วันหลังจากประกาศในพระราชกิจจานุเบกษา ซึ่งคาดว่าจะนำไปลงประกาศได้ภายในไม่เกิน 1 เดือน ดังนั้นนับจากนี้ไปไม่เกิน 4 เดือน พระราชบัญญัติฉบับนี้จะต้องมีผลบังคับใช้ หากฝ่าฝืนผู้สูบมีโทษปรับไม่เกิน ๒,๐๐๐ บาท โดยผลสำรวจการบริโภคยาสูบในผู้ใหญ่ระดับโลกปี 2552 คนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป ไม่สูบบุหรี่จำนวน 40.13 ล้านคน"


นายจุรินทร์กล่าวต่อว่า เนื้อหาตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับใหม่นี้ ได้จัดสถานที่สาธารณะที่เป็นเขตห้ามสูบบุหรี่ให้เป็นหมวดหมู่ชัดเจน เพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจและการนำไปใช้ โดยกำหนดสถานที่ห้ามสูบบุหรี่ 100 เปอร์เซ็นต์ มี 5 ประเภท ได้แก่ 1. สถานบริการสาธารณสุขและส่งเสริมสุขภาพ 2. สถานศึกษา 3. สถานที่สาธารณะที่ใช้ประโยชน์ร่วมกัน ได้แก่ สถานที่ออกกำลังกาย สถานกีฬา ร้านค้า สถานบริการและบันเทิง บริเวณโถงพักคอย และบริเวณทางเดินทั้งหมดภายในอาคาร สถานบริการทั่วไป สถานที่ทำงาน สถานที่สาธารณะทั่วไป 4. ยานพาหนะสาธารณะทุกประเภท ได้แก่ ยานพาหนะสาธารณะ ในขณะให้บริการไม่ว่าจะมีผู้โดยสารหรือไม่ก็ตาม และสถานีขนส่งสาธารณะทุกประเภท และ 5. ศาสนสถาน และสถานปฏิบัติธรรมในศาสนาและนิกายต่างๆ ต่อไปนี้ จะมีกลุ่มพื้นที่ที่ห้ามสูบบุหรี่ ๓ กลุ่มใหญ่ คือ

กลุ่มที่ 1. สถานที่ที่ห้ามสูบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ในอาคารหรือห้องทำงานส่วนตัว ห้ามสูบเต็มพื้นที่ไม่มีข้อยกเว้น ซึ่งเดิมกลุ่มนี้เคยอนุญาตให้สูบในอาคารบริเวณพื้นที่ที่จัดไว้หรือพื้นที่ส่วนตัวได้ ประกอบด้วย 1) อุทยานหรือศูนย์การเรียนรู้ สถานฝึกอาชีพ สถานกวดวิชา สถานที่สอนภาษาสอนดนตรี-ขับร้อง สอนการแสดง สอนศิลปะ สอนกีฬา สอนศิลปะป้องกันตัว และอื่นๆ 2) ธนาคาร สถาบันการเงิน 3) ศาสนสถาน 4) สถานที่ออกกำลังกายกลางแจ้งหรือสนามกีฬา 5) โรงพยาบาล หรือสถานรักษาพยาบาลทั้งคนและสัตว์ ที่รับผู้ป่วยหรือสัตว์ไว้ค้างคืน

กลุ่มที่ 2. ห้ามสูบเช่นเดียวกัน จากเดิมที่เคยอนุญาตให้จัดพื้นที่สูบบุหรี่ในอาคารหรือสูบในห้องส่วนตัวได้ ขณะนี้เปลี่ยนเป็นห้ามสูบภายในอาคารและสิ่งก่อสร้าง แต่อนุโลมให้จัดเขตสูบบุหรี่นอกอาคารและสิ่งก่อสร้างได้แก่ 1) สถานที่ราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ 2) สถานที่ให้บริการน้ำมันเชื้อเพลิง หรือแก๊สเชื้อเพลิง 3) มหาวิทยาลัย สถานศึกษา สถาบันการศึกษา ตั้งแต่ระดับอุดมศึกษาขึ้นไป

กลุ่มที่ 3
. ห้ามสูบในอาคารและสิ่งก่อสร้างเช่นกัน แต่อนุญาตให้สูบในอาคารได้เฉพาะพื้นที่ที่จัดไว้ สถานที่เดียวที่ยังอนุญาตให้สูบบุหรี่ในอาคารและสิ่งปลูกสร้างได้ คือ ท่าอากาศยานนานาชาติ สุวรรณภูมิเฉพาะส่วนนานาชาติเท่านั้น 
 

ข้อมูลสื่อ

372-009
นิตยสารหมอชาวบ้าน 372
เมษายน 2553
กองบรรณาธิการ