• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

หวั่นกำลังซื้อคนไข้ต่างชาติทำคนไทยไม่ได้รับการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพ

 

ปัจจุบันกล่าวได้ว่า ประเทศไทยเติบโตเป็นศูนย์กลางสุขภาพของภูมิภาค (Medical Hub) ชั้นแนวหน้าของเอเชียเทียบชั้นประเทศต้นแบบอย่างสิงคโปร์ได้ในระยะเวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งทศวรรษ ส่วนหนึ่งมาจากการปรับตัวของโรงพยาบาลเอกชนตั้งแต่ช่วงวิกฤติเศรษฐกิจปี ๒๕๔๐ และตั้งแต่ปี ๒๕๔๖ ทุกรัฐบาลมีนโยบายผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพของทวีปเอเชีย แต่ความสำเร็จนี้กลับส่งผลกระทบกับโครงการหลักประกันสุขภาพต่างๆ เกิดปัญหาราคาค่ารักษาที่สูงขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นเกิดปัญหาการขาดแคลนแพทย์ ทันตแพทย์ และพยาบาลรุนแรงขึ้นด้วย

ทั้งนี้จากการศึกษาเรื่อง "แนวทางการพัฒนาศูนย์กลางสุขภาพของประเทศไทย (Thailand Medical Hub)" ซึ่งสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ มอบหมายให้ รศ.ดร.อัญชนา ณ ระนอง จากสถาบันบัณฑิตพัฒนาบริหารศาสตร์ (นิด้า) ดร.วิโรจน์ ณ ระนอง จากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) และ รศ.นพ.ศิรชัย จินดารักษ์ จากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ทำการศึกษา พบว่าโรงพยาบาลเอกชนปรับตัวหันมาให้บริการคนไข้ชาวต่างชาติที่มาทำงานและท่องเที่ยวในภูมิภาคนี้มากขึ้นเป็นลำดับ และหลังจากรัฐบาลมีนโยบายผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางบริการทางด้านสุขภาพของเอเชีย พบว่าในปัจจุบันมีคนไข้ชาวต่างชาติที่รับการรักษาในประเทศไทย (รวมนักท่องเที่ยวและชาวต่างชาติที่มาทำงานหรือตั้งถิ่นฐานในภูมิภาคนี้) มากถึงปีละ ๑.๔ ล้านคน   การปรับตัวของโรงพยาบาลเอกชนเพื่อรองรับคนไข้กลุ่มนี้แบ่งออกเป็น กลุ่มที่เน้นการรักษาด้วยเทคโนโลยีมาตรฐานระดับโลก กลุ่มที่เน้นการรักษาที่เป็นความเชี่ยวชาญเฉพาะทางของสถานพยาบาล (เช่น ด้านศัลยกรรมตกแต่ง) กลุ่มที่เน้นการรักษาด้วยเทคโนโลยีระดับสูงแต่ยังอยู่ในขั้นทดลอง (เช่น การรักษาด้วยเซลล์ต้นแบบหรือ Stem Cell) กลุ่มที่เน้นการรักษาด้านทันตกรรม และกลุ่มที่เน้นการให้บริการตรวจสุขภาพ โดยใช้วิธีการทำตลาดในต่างประเทศที่หลากหลาย ทั้งการใช้ตัวแทนในประเทศและต่างประเทศ หรือบางแห่งทำตลาดด้วยตนเอง
 

รศ.ดร.อัญชนา ณ ระนอง หัวหน้าโครงการวิจัย กล่าวว่า การขยายตัวของการให้บริการทางการแพทย์กับชาวต่างชาติมีผลกระทบทั้งในด้านบวกและด้านลบ โดยในด้านเศรษฐกิจนั้น บริการนี้ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มประมาณร้อยละ ๐.๔ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) แต่การที่คนไข้ชาวต่างชาติมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นก็ทำให้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ (โดยเฉพาะแพทย์ ทันตแพทย์ และพยาบาล) มีความรุนแรงมากขึ้นเช่นกัน การที่ชาวต่างชาติเข้ามาพร้อมกำลังซื้อที่สูงกว่าคนไทยมากมีส่วนสำคัญในการดึงดูดแพทย์ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ) จากทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ รวมทั้งอาจารย์แพทย์และทีมงานจากโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยต่างๆ ไปสู่โรงพยาบาลเอกชนกลุ่มที่เน้นการรักษาคนไข้ต่างชาติมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพของการผลิตแพทย์ในระยะยาว การที่มีกำลังซื้อเข้ามาอย่างมากมีส่วนทำให้ค่ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาลเอกชนเพิ่มในอัตราสูงขึ้นในระยะหลัง และมีแนวโน้มที่จะทำทั้งในสถานพยาบาลและโครงการหลักประกันสุขภาพต่างๆ ของรัฐ (ไม่ว่าจะเป็นโครงการบัตรทอง สวัสดิการข้าราชการ หรือโครงการประกันสังคม) มีต้นทุนเพิ่มขึ้นในการรักษาบุคลากรไม่ให้ถูกดึงออกไปมากจนเกิดผลกระทบรุนแรงต่อคุณภาพบริการของโครงการเหล่านี้

ดังนั้น เพื่อรักษาสมดุลของผลกระทบในด้านบวกและลบนี้ คณะผู้วิจัยได้จัดทำข้อเสนอแนะหลายประการ โดยนอกจากเสนอให้ผลิตบุคลากรทางการแพทย์เพิ่มอย่างเต็มที่แล้ว ยังเสนอให้ปรับปรุงกฎระเบียบของแพทยสภาให้เอื้อกับการนำแพทย์ชาวต่างชาติที่มีคุณภาพเข้ามาเพื่อบรรเทาผลกระทบด้านการขาดแคลนบุคลากร และในกรณีที่จำนวนคนไข้ต่างชาติกลุ่มนี้ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ก็เสนอให้เก็บค่าธรรมเนียมพิเศษเฉพาะจากคนไข้ต่างชาติที่มีจุดประสงค์หลักในการเดินทางมาประเทศไทยเพื่อรับบริการด้านรักษาพยาบาล แล้วนำรายได้ส่วนนี้มาอุดหนุนการผลิตบุคลากรทางการแพทย์เพิ่ม ช่วยเพิ่มแรงจูงใจในการรักษาและเพิ่มจำนวนอาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญในโรงเรียนแพทย์ด้วย

"ปัจจุบันเรามีปัญหาขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์อยู่แล้ว ถ้าบุคลากรจำนวนมากต้องไปให้บริการคนไข้ต่างชาติอีก จะยิ่งทำให้ปัญหารุนแรงมากขึ้น อีกทั้งแพทย์ที่จะไปรักษาคนต่างชาติมักเป็นอาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาฝึกฝนเป็นสิบปี เมื่ออาจารย์แพทย์เหล่านี้ถูกดึงไปรักษาคนไข้ต่างชาติที่มีกำลังซื้อสูงกว่า จึงส่งผลกับคุณภาพการเรียนการสอนของแพทย์ไทย และการดึงแพทย์ระดับรองลงมาให้อยู่ในระบบของภาครัฐก็จะมีต้นทุนที่สูงขึ้นตามไปด้วย ผู้กำหนดนโยบายจึงจำเป็นต้องนำเรื่องเหล่านี้มาพิจารณาด้วย"

รศ.ดร.อัญชนา กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาครัฐควรเตรียมมาตรการรับมือปัญหาต่างๆ ที่จะตามมามากมาย นอกจากปัญหาขาดแคลนแพทย์และค่ารักษาที่จะสูงขึ้นแล้ว รัฐบาลควรหันไปเน้นการสนับสนุนธุรกิจเชิงสุขภาพอื่นๆ เช่น สมุนไพร สปา หรือการนวดแผนไทย ซึ่งเป็นธุรกิจที่ไม่ค่อยส่งผลกระทบด้านลบต่อการเข้าถึงบริการรักษาพยาบาลของคนไทยมากเหมือนการส่งเสริมธุรกิจด้านการรักษาพยาบาล 

ข้อมูลสื่อ

371-007
นิตยสารหมอชาวบ้าน 371
มีนาคม 2553
กองบรรณาธิการ