• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

มองเพศที่ ๓ อย่างเข้าใจ

นพ.สุพร เกิดสว่าง  ศาสตราจารย์เกียรติคุณ มหาวิทยาลัยมหิดล และนักวิจัยสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข
มองเพศที่ ๓อย่างเข้าใจ

การเป็นเกย์และกะเทยส่วนหนึ่งมาจากอิทธิพลของฮอร์โมนเพศตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา นอกนั้นคือสิ่งแวดล้อม สังคมและการเลี้ยงดูในครอบครัว

เพศที่ ๓ กับสังคม
คนทั่วไปส่วนใหญ่ยังมีความสับสนเรื่องผู้ชายที่รักผู้ชายด้วยกันหรือ ผู้ชายที่มีกิริยามารยาทคล้ายผู้หญิง นอกจากคนในสังคมจะสับสนและไม่เข้าใจแล้ว ยังมองบุคคลเหล่านี้ไปในทางลบ  ทั้งนี้ จะต้องทำความเข้าใจก่อนว่าผู้ชายมีหลักๆ ๓ กลุ่มคือ
๑. กลุ่มผู้ชายที่รักผู้หญิง (เพศตรงข้าม-ต่างเพศ) ซึ่งสังคมทั่วไปยอมรับ
๒. กลุ่มผู้ชายที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ชาย แค่รักผู้ชายด้วยกัน (เพศเดียวกัน-ร่วมเพศ)  ซึ่งมักนิยามตัวเอง ว่า เกย์ (gay) มาจากรากศัพท์ภาษาอังกฤษที่แปลว่า สดใส ร่าเริง
๓. ผู้ชายที่มีจิตใจเป็นผู้หญิง หรือเป็นผู้หญิง   ที่อยู่ในร่างของผู้ชายนั่นเอง คำไทยมักใช้ว่า กะเทยŽ (transgender หรือ transsexual)
การที่ผู้ชายมีความรักเพศเดียวกัน มีสาเหตุหลาย อย่าง ทั้งปัจจัยทางชีววิทยา และจิตวิทยา เริ่มตั้งแต่สาเหตุทางพันธุกรรม การพัฒนาของสมองเด็กในครรภ์  ที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของฮอร์โมนเพศ ตลอดจนการอบรม เลี้ยงดู และประสบการณ์การเรียนรู้หลังจากที่เกิดมาแล้ว ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากการเลียนแบบ และไม่ติดต่อกัน

ทั้งเกย์และกะเทย จะเริ่มรู้สึกว่าตนเองต่างจากเพื่อนเพศเดียวกัน ตั้งแต่อายุ ๓-๔ ขวบ หรือเมื่อเริ่มจำความได้ โดยจะจดจำว่าพ่อแม่ตักเตือนอยู่เสมอว่าอย่าทำตัวเป็นผู้หญิง ซึ่งอาจจะสร้างความรู้สึกกดดันภายในจิตใจ

ด้านพฤติกรรมจะมีความรู้สึกอ่อนไหว ร้องไห้ง่าย กิริยามารยาทคล้ายเด็กหญิง ชอบแต่งตัว ชอบเล่นกับกลุ่มเพื่อนผู้หญิง ไม่ชอบเล่นรุนแรง เมื่อเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น จะมีความรู้สึกทางเพศกับเพศเดียวกัน แตกต่างจากเพื่อนผู้ชายทั่วไป

เนื่องจากเด็กรับรู้ว่าสังคมทั่วไปมีความรู้สึกรังเกียจ เกย์และกะเทย เด็กจึงสับสนไม่แน่ใจ ในการวางตัวในสังคม เกิดความวิตกกังวล ความเครียด และพยายามปิดบังความรู้สึกของตนเอง บางคนพยายามป้องกันตนเอง โดยพยายามทำตัวเป็นชายชาตรี เช่น พยายามมีคนรักเป็นผู้หญิงหลายๆ คน เพาะกายให้ดูเป็น "แมน" แสดงตนก้าวร้าว ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ มีเด็กบางคนก็พยายามหาสิ่งทดแทนความด้อย เช่น พยายามขยันตั้งใจเรียน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เพื่อน ซึ่งเป็นการทดแทนที่ดี ถ้าพ่อแม่ผู้ปกครองและครูไม่เข้าใจ เด็กจะยิ่งมีความทุกข์ทรมานใจมากขึ้น บางคนมาปรึกษาแพทย์เพื่อขอฉีดฮอร์โมนเพศชาย โดยหวังว่าฮอร์โมนเพศชายจะช่วยเปลี่ยนความรู้สึกและความต้องการในใจ แต่ความเป็นจริงฮอร์โมนเหล่านี้ไม่ได้มีผลดังที่หวังเลย

ระยะสับสนกังวลนี้อาจจะกินเวลานานมากหรือน้อย แล้วแต่ตัวเด็กแต่ละคน เมื่อผ่านระยะนี้ไปเด็กจะเริ่มยอมรับความรู้สึกและความต้องการทางเพศของตนเองมากขึ้น ความเครียด ความวิตกกังวลจะลดลง ในขั้นต่อไปอาจพัฒนาถึงขั้นเปิดเผยตนเองต่อสังคม และสามารถปรับตัวเข้ากับสังคมได้ดี

สังคมไทยยอมรับเกย์และกะเทยมากขึ้นกว่าในหลายประเทศ แต่คนบางกลุ่มก็ยังรู้สึกในแง่ลบกับเกย์และกะเทย ทั้งนี้อาจเป็นเพราะภาพของเกย์และกะเทยที่ออกมาตามสื่อต่างๆ ทั้งหนังสือพิมพ์ ละครโทรทัศน์ ภาพยนตร์ แสดงเป็นตัวตลกบ้าๆ บอๆ มีอารมณ์รุนแรง โหดเหี้ยม ซึ่งความจริงที่ปรากฏก็คือเกย์และกะเทยที่ประสบความสำเร็จในชีวิต เป็นคนดี ทำประโยชน์ให้สังคมก็มีอยู่มาก 
      
ชีวิตชายรักชาย
ผลจากการศึกษากลุ่มชายรักชาย ๑๐๐ คน ซึ่งเป็นเกย์ ๙๕ คน เป็นกะเทย ๕ คน พบว่า ๔๐ คน ทำงานเป็นลูกจ้างในสำนักงาน รองลงมาคือ ธุรกิจส่วนตัว สถานเสริมความงาม ร้านอาหาร ร้องเพลง ครูเต้นรำ นาฏศิลป์ และพิธีกร ตามลำดับ

ในจำนวนนี้ ๖๑ คน มีความสัมพันธ์ทางเพศครั้งแรกกับผู้ชาย และจำนวน ๓๔ คน มีความสัมพันธ์ทางเพศครั้งแรกกับผู้หญิง ผู้เข้ารับการสำรวจยังบอกว่ามีประสบการณ์ทางเพศหรือมีความสัมพันธ์ทางเพศครั้งแรกส่วนใหญ่เนื่องจากความรัก หรือความต้องการทางเพศ และอีก ๕ คนยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์
ด้านชีวิตการแต่งงานพบว่า ๘๘ คน ยังเป็นโสดหรือมีคู่เป็นผู้ชาย และอีก ๑๒ คน เคยแต่งงานกับหญิง
ในจำนวนทั้งหมดนี้ ๔ คน หย่ากับภรรยาแล้ว เพราะ "เข้ากันไม่ได้"
อีก ๒ คน หย่ากับภรรยาทั้งที่ครอบครัวมีความสุขพอควร แต่ยอมเสียสละให้ภรรยาได้มีโอกาสมีสามีที่เป็นชายเต็มตัว
อีก ๑ คน กำลังจะหย่ากับภรรยา เพราะพบแฟน เป็นชายที่ให้ความสุขได้มากกว่าภรรยา
ส่วนอีก ๕ คน ยังอยู่กับภรรยาและครอบครัวอย่างมีความสุข

จากการสำรวจพบข้อสังเกตว่าโอกาสล้มเหลวของ เกย์ที่แต่งงานกับผู้หญิงมีค่อนข้างมาก แต่ก็มีปัจจัยหลายอย่างที่อาจช่วยให้ชีวิตแต่งงานประสบความสำเร็จ คือรสนิยมทางเพศต้องเอียงไปทางชอบผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย หรือแต่งงานกันด้วยความรักและความเข้าใจ มีความซื่อสัตย์มั่นคงไม่นอกใจภรรยามีความรับผิดชอบต่อตนเองและครอบครัว รวมทั้งภรรยามีความเข้าใจ ยอมรับ และให้อภัยด้วย

เรื่องความเสี่ยงต่อโรคเอดส์ พบว่ามี ๖๙ คนที่ตรวจเลือดหาโรคเอดส์ มีผลการตรวจเป็นบวก (ติดเชื้อเอชไอวี-เอดส์)  ๕ ราย หรือร้อยละ ๗.๖ ซึ่งนับว่าสูงกว่าประชากรทั่วไป สำหรับเรื่องของการป้องกันหรือการดูแลสุขภาพร่างกายหลังจากติดเชื้อเอดส์แล้วทางหน่วยงานที่มีส่วนในการรับผิดชอบควรมีมาตรการช่วยเหลือให้มากขึ้น
      
เพศที่ ๓ กับการแปลงเพศ
สำหรับชายใจหญิงหรือกะเทยหลายคนที่มีความต้องการเปลี่ยนแปลงตนเองให้เหมือนผู้หญิงให้มากที่สุด นั่นคือเลือกผ่าตัดแปลงเพศ  
ประเทศไทยมีศัลยแพทย์ที่เชี่ยวชาญผ่าตัดแปลง เพศและเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกหลายท่าน นอกจากคนไทยที่ขอเข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศแล้วยังมีจากประเทศ อื่นๆ เช่น แคนาดา สหรัฐอเมริกา อังกฤษ สวีเดน บราซิล

การผ่าตัดแปลงเพศต้องผ่านขั้นตอนและกฎเกณฑ์ ต่างๆ หลายอย่าง  เพราะเมื่อทำการผ่าตัดเปลี่ยนเป็นเพศหญิงแล้วจะเปลี่ยนกลับมาเป็นเพศชายที่สมบูรณ์อีกไม่ได้ง่ายๆ  โดยผู้เข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศจะต้องมีอายุ ๒๐-๖๕ ปี ผ่านการทดสอบโดยจิตแพทย์ หรือนักจิตวิทยา  ผ่านการตรวจจากแพทย์ทางต่อมไร้ท่อ การให้คำปรึกษาความพร้อมทางด้านจิตใจ เป็นต้น 

แพทย์ไทยที่ทำงานด้านนี้ต้องใช้ความประณีตมาก เนื่องจากเป็นทั้งงานผ่าตัดและงานศิลปะ ในการเปลี่ยน อวัยวะเพศชายให้เป็นหญิงและร่วมเพศได้เช่นเดียวกับหญิงทั่วไป ผู้ที่ขอเข้ารับการผ่าตัดส่วนหนึ่งไม่ได้มีวัตถุประสงค์เกี่ยวกับเรื่องความสุขทางเพศ แต่มีจุดมุ่งหมายอยากจะเป็นผู้หญิงที่สมบูรณ์  หลายคนยืนยันชัดเจนว่า ความปรารถนาสูงสุดคือ อยากตายในสภาพ ที่เป็นหญิง 

สำหรับผู้ชายไทยหรือกลุ่มคนเอเชียจะมีรูปหน้าไม่ต่างกับผู้หญิงมากนัก จึงไม่ต้องทำการผ่าตัดแปลงรูปหน้าให้มาก แต่ถ้าเป็นฝรั่งหรือคนต่างชาติ รูปหน้าดั้งเดิมจะมีความแตกต่างจากผู้หญิง จึงต้องมีการผ่าตัด แปลงรูปหน้าให้เป็นผู้หญิงด้วย (facial feminization)

ปัจจุบันการผ่าตัดแปลงเพศได้พัฒนาไปอย่างมาก ซึ่งอาการแทรกซ้อนขณะที่ผ่าตัดและหลังผ่าตัดมีน้อยมาก  แต่หลังการผ่าตัดไปแล้วทุกคนยังต้องติดต่อกับแพทย์และให้ฮอร์โมนเสริมหลังการผ่าตัดด้วย

สังคมไทยเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนมาก เกย์และกะเทยหลายคนได้สร้างชื่อเสียงให้กับครอบครัว และประเทศเราเป็นอย่างมาก แนวทางการดำเนินชีวิตก็ไม่ได้แตกต่างจากคนทั่วไป และหวังว่าสังคมไทยจะเข้าใจเกย์และกะเทยมากขึ้น และควรมีที่ให้กับบุคคลเหล่านี้ได้อยู่ในสังคมอย่างมีศักดิ์ศรีเช่นเดียวกับคนทั่วไป 
 

ข้อมูลสื่อ

341-005
นิตยสารหมอชาวบ้าน 341
กันยายน 2550
เรื่องน่ารู้
ศ.นพ.สุพร เกิดสว่าง