คนไทยในสมัยโบราณ ก่อนเริ่มมีการศึกษาระบบแผนตะวันตกเข้ามาอย่างเต็มรูปแบบ พ่อแม่ที่ให้ความสำคัญและใส่ใจกับอนาคตของบุตรหลาน จะใช้วิธีฝากตัวให้เข้าไปเป็น “เด็กวัด” ตั้งแต่กินอยู่หลับนอน, ช่วยกิจของสงฆ์และงานต่างๆทั่วไป พระภิกษุท่านก็ถือเป็นลูกหลานช่วยแนะนำสั่งสอนให้ความรู้, ให้การศึกษาทั้งทางโลก และทางธรรม ผู้หลักผู้ใหญ่ของเราจำนวนมากในบ้านเมืองขณะนี้ ที่ได้ดิบได้ดีมาเป็นตัวหลักสร้างคุณูปการแก่ประเทศชาติ หลายท่านถูกหล่อหลอมและเพาะบ่มมาจากการเคยผ่านประสบการณ์ “การเป็นเด็กวัด” มาก่อน…
หลังจากนั้น เมื่อเติบใหญ่มีความรู้ ความสามารถพอตัว พอที่จะประกอบอาชีพในสังคมได้ ผู้หลักผู้ใหญ่ก็จะนิยมที่จะให้บุตรหลาน เข้าไปทำงานใกล้ชิดกับทางราชการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระบรมวงศานุวงศ์ โดยการฝากฝั่งให้เป็นเด็กรับใช้บ้าง เด็กฝึกงานบ้าง แล้วค่อยๆสั่งสมประสบการณ์ไต่เต้าขึ้นเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อย อาศัยบารมีของผู้หลักผู้ใหญ่ “ในรั้วในวัง” ส่งเสริมจนได้ทำงานใหญ่ๆและไต่เต้าก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อยๆในตำแหน่งที่สูงขึ้น..
เรียกได้ว่าสังคมไทยในอดีต จวบจนปัจจุบัน พัฒนาคนโดยอาศัยยุทธศาสตร์ “หน้าพิงวัง หลังพิงวัด” มาโดยตลอด...
ทุกวันนี้...แม้ค่านิยมและทัศนคติของผู้คนจะเปลี่ยนไปบ้าง...แต่บทบาทของ “วังและวัด” ต่อสังคมไทย ก็ยังมีอยู่มิใช่น้อยๆ
สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และกระทรวงสาธารณสุข ได้พยายามส่งเสริมให้ “วัด” ได้มีบทบาทในการดูแลสุขภาพประชาชนในบริบทต่างๆ ดังตัวอย่างเช่น
* วัดทุ่งบ่อแป้น อ.เมือง จ.ลำปาง เป็นศูนย์ดูแลผู้พิการแบบองค์รวม ช่วยดูแลผู้พิการที่มีปัญหาเรื่องความเคลื่อนไหว เช่น เป็นอัมพาต, อัมพฤกษ์ โดยการร่วมมือกับโรงพยาบาลศูนย์ลำปาง
* วัดปทุมคณาวาส อ.เมือง จ.สมุทรสาคร จัดตั้งศูนย์แพทย์ชุมชนขึ้นในโรงพยาบาล ดูแลคนสูงอายุ ญาติโยม และประชาชนทั่วไปที่มาทำบุญที่วัด ผู้ป่วยที่เป็นโรคเรื้อรังต่างๆ
* วัดคำประมง อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร จัดตั้งศูนย์ดูแลผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งซึ่งต้องการบำบัดรักษาแนวพุทธ ซึ่งเน้นการทำสมาธิบำบัด และการทำจิตใจให้สงบ
* วัดพระบาทน้ำพุ อ.เมือง จ.ลพบุรี ได้มีบทบาทอย่างมากในการบำบัดเยียวยา ผู้ป่วยที่เป็นโรคเอดส์ในระยะที่มีอาการรุนแรงแล้ว เป็นเวลากว่า 10 ปี น่าเสียดายที่ระยะหลังด้วยปัญหาด้านภาระค่าใช้จ่าย ทำให้ต้องลดบทบาทลง
* กรมสนับสนุนบริการ กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้จัดให้มีการอบรมพระสังฆาธิการในจังหวัดต่างๆ ให้มีความรู้ด้านสาธารณสุขมูลฐาน เช่น เรื่องการบริโภคอาหารที่เหมาะสม การดูแลตนเอง การปฏิบัติธรรมะเพื่อสุขภาพทางจิต ในอันที่จะส่งเสริมให้พระภิกษุได้มีบทบาทในการให้ความรู้ และแนะนำสั่งสอนประชาชนทั่วไป เกี่ยวกับสุขภาพอนามัยในเบื้องต้นได้
สำหรับกิจการที่เกี่ยวกับ “วัง” หรือ พระบรมวงศานุวงศ์นั้นก็เช่นกัน มีโครงการด้านสุขภาพอนามัยจำนวนมากที่ขณะนี้ มีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ และพระเจ้าลูกยาเธอ เกือบทุกพระองค์ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์อยู่ ตัวอย่างเช่น
* โครงการดูแลประชาชนในท้องถิ่นทุรกันดารของมูลนิธิ พอ.สว.
* โครงการ “To be number one” ด้านเยาวชน
* โครงการสนับสนุนรางวัลคนดีศรีสังคม เช่น “รางวัลเจ้าฟ้ามหิดล” ซึ่งมีการมอบรางวัลแก่นักวิทยาศาสตร์ และบุคลากรด้านสาธารณสุขทั่วโลก ที่ทำประโยชน์แก่วงการแพทย์และสาธารณสุข
* โครงการ “แพทย์ชนบทคืนถิ่น” ของมูลนิธิสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และมูลนิธิสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
* โครงการเทิดพระเกียรติอีกหลายสิบโครงการ ที่จัดทำขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติแก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เช่นโครงการฟันเทียมพระราชทาน, โครงการผ่าตัดหัวใจ, โครงการส่งเสริมการบริโภคอาหารเสริมไอโอดีน...เป็นต้น
โดยภาพรวมทั้งหมด จะเห็นได้ว่า สถาบันศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์ ได้มีบทบาทอย่างสูงในการร่วมผลักดัน และขับเคลื่อนระบบหลักประกันสุขภาพ และการดูแลสุขภาพของประชาชนชาวไทยทั้งปวง
ระบบหลักประกันสุขภาพ จึงเป็นระบบที่สอดประสานอยู่ในความเป็น “ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์” อย่างแท้จริง
- อ่าน 2,700 ครั้ง
พิมพ์หน้านี้