• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

โรคแม่ทำ

คลินิกจิตแพทย์
ป้าหมอ

โรคแม่ทำ
"ถ้าแม่ไม่เลิกจู้จี้  ก้อยจะหนีออกจากบ้านไปมีผัว!!! "

"น้องก้อยตะโกนเถียงดิฉันจนเสียงดังลั่นบ้าน  ดิฉันพูดกับเขาเท่าไหร่ ก็ไม่ยอมกลับไปเรียนค่ะ  ดิฉันทนไม่ไหวแล้วค่ะคุณหมอ  ดิฉันคงเลี้ยงลูกดีเกินไปอย่างที่หลายคนพูดจริงๆ"
คุณต้อยคุณแม่วัยกลางคนพูดทั้งน้ำตาให้ป้าหมอ ฟัง "น้องก้อยเป็นเด็กที่ไม่ค่อยได้ความ ดิฉันจึงคอยตักเตือนลูกอยู่ตลอดเวลา ด้วยความหวังว่าสักวันลูกคงเข้าใจและทำตัวดีขึ้น"

คุณต้อยหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตา พร้อมกับ ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วพูดว่า "ดิฉันเป็นเด็กกำพร้า  พ่อแม่เสียไปตั้งแต่ยังเล็ก ต้องมาอาศัยอยู่กับคุณป้า  คุณป้าก็ให้ดิฉันทำงานบ้านไม่ต่างจากคนใช้ แต่ดิฉันก็เต็มใจที่จะทำงานเพื่อแลกกับอาหารและที่อยู่อาศัย คุณป้าเป็นแม่ค้าขายข้าวแกงชื่อดังในตลาด ทำอาหารเป็นทุกชนิด ตั้งแต่อาหารไทยและจีน  คุณป้ามีฝีมือทาง ด้านการทำอาหาร หลายครั้งที่มีคนใหญ่คนโตมาว่าจ้าง ไปทำอาหารโต๊ะจีนตามงานต่างๆ สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ  ดิฉันต้องนอนดึกตื่นเช้าเพื่อไปตลาดซื้อของมาทำอาหารขาย"

หลังจากคุณต้อยแต่งงานกับสามี  (คุณป้าก็ให้ทอง ๑ บาท เป็นของขวัญแต่งงานเพื่อให้คุณต้อยนำติดตัวไปใช้ทำทุนสร้างชีวิต) คุณต้อยจึงกราบเท้าคุณป้า ขอแยกตัวออกจากบ้านมาเช่าที่เล็กๆ ขายข้าวแกง ต่อมาก็ขยับขยายไปเช่าตึกแถวที่ราคาไม่สูงนัก ให้ร้านมีความ มั่นคงมากขึ้น จนสามารถซื้อตึกแถวที่เช่าอยู่มาเป็นของ ตนเองได้ ด้วยฝีมือการทำอาหารที่อร่อยและมนุษยสัมพันธ์ที่ดีของคุณต้อย ทำให้ร้านข้าวแกงของคุณต้อยมีชื่ออยู่ในย่านนั้นมาก มีลูกค้าเข้าร้านแน่นขนัดตลอดทั้งวัน บางครั้งก็มีคนมาจ้างไปจัดโต๊ะจีน ทำให้ความเป็นอยู่ตอนนี้ดีขึ้นมาก

เมื่อเห็นว่าสถานะทางการเงินเริ่มมั่นคงขึ้น คุณต้อยและสามีจึงตัดสินใจที่จะมีลูก หลังจากนั้นไม่นาน  คุณต้อยก็มีน้องก้อยออกมาเป็นโซ่ทองคล้องใจ  น้องก้อยเป็นเด็กที่ไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไรนัก ช่วงที่คลอดน้องก้อยออกมาใหม่ๆ คุณต้อยต้องหมดเงินค่ารักษาพยาบาลไปมากมายจากสาเหตุที่วัยเด็กของคุณต้อยมีแต่ความลำบาก คุณต้อยจึงดูแลให้ลูกได้รับสิ่งที่ดีทุกอย่าง ไม่ให้น้อยหน้าลูกคนอื่น 

ลูกค้าหลายคนที่เข้ามากินข้าวแกงที่ร้านยังบอกกับคุณต้อยอยู่เสมอว่า "ต้อยเลี้ยงลูกดีเกินไป เด็กถ้ามันสบายเกินไปก็ไม่ดี  ต้องให้รู้จักลำบากเสียบ้าง"
น้องก้อยเติบโตมาอย่างสุขสบาย โดยไม่ต้องหยิบ จับงานอะไรทั้งสิ้น เพราะคุณต้อยห่วงว่าน้องก้อยจะป่วย จากการทำงานหนัก  ชีวิตประจำวันของน้องก้อยจึงมีหน้าที่เรียนอย่างเดียวเท่านั้น 

แม้จะมีหน้าที่ในชีวิตคือการเรียนเพียงอย่างเดียว  แต่ผลการเรียนของน้องก้อยก็ไม่ดีแม้แต่น้อย น้องก้อยมีสิทธิ์ที่จะเรียนไม่จบชั้นมัธยมต้น คุณครูจึงต้องมาปรึกษากับคุณต้อยที่บ้าน คุณต้อยตกใจมากที่ลูกสาวของตัวเอง มีผลการเรียนที่ย่ำแย่ขนาดนี้ ทั้งที่ตนเองก็ให้ทุกอย่างตามที่ลูกต้องการมาตลอด

คุณต้อยไม่รู้ว่าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไรดี จึงเข้ามาขอคำปรึกษาจากป้าหมอ ป้าหมอขอให้คุณต้อยพาน้องก้อยเข้ามาพูดคุยกัน เพื่อให้ป้าหมอทราบถึงลักษณะนิสัยและอาการ ซึ่งจะทำให้การรักษาง่ายขึ้น  หลังจากนั้นไม่นานน้องก้อยก็ยอมที่จะมาพบกับป้าหมอ 

น้องก้อยที่ป้าหมอเห็น เป็นเด็กหน้าตาสวย แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่มีราคาแพง และใช้โทรศัพท์มือถือราคาเหยียบหมื่น ทั้งที่น้องก้อยเพิ่งจะเรียนอยู่มัธยมต้นเท่านั้น 
น้องก้อยรีบบอกกับป้าหมอทันทีว่า "หนูจะเลิก เรียนหนังสือ จะทนเรียนจนจบมัธยมศึกษาปีที่ ๓ เท่านั้น" ป้าหมอจึงถามน้องก้อยกลับไปว่า "ถ้าออกจากโรงเรียน แล้วน้องก้อยจะทำงานอะไร?" น้องก้อยก็ตอบด้วยน้ำเสียงมั่นใจว่า "เดี๋ยวค่อยคิดก็ได้  ถึงยังไงก็ยังมีคุณแม่อยู่ทั้งคน"

ระหว่างการรักษาน้องก้อย ป้าหมอให้คุณต้อยซึ่งเป็นคุณแม่ เปลี่ยนวิธีการพูดคุยและวิธีการว่ากล่าวตักเตือนน้องก้อยเสียใหม่ เลิกใช้คำหยาบหรือมีความหมายรุนแรง ให้ใช้คำพูดที่สุภาพนุ่มนวลมีเหตุผล ค่อยๆ บอกถึงความลำบากที่คุณต้อยต้องฝ่าฟันสมัยคุณต้อยยังเด็ก  ป้าหมอจึงแนะนำให้คุณต้อยมอบหมายงานบ้านให้น้องก้อยทำบ้าง แม้จะเป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ อย่างกรอก น้ำหรือกวาดบ้านก็ได้ การที่ให้น้องก้อยช่วยทำงานบ้าน  จะทำให้น้องก้อยเข้าใจถึงความเหนื่อยยากจากการทำงานของคุณแม่ ให้น้องก้อยได้เข้าใจว่า "เงินทองที่ตนเองใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยนั้น  ต้องแลกมาด้วยความเหนื่อยยากของผู้เป็นแม่เพียงใด"

เรื่องการเรียนนั้น คุณต้อยอยากให้น้องก้อยกลับ เข้าเรียนอีกครั้ง แม้จะเป็นการเรียนสายอาชีพก็ยังดี แต่ถ้าน้องก้อยอยากจะเลิกเรียนหนังสือจริงๆ คุณต้อยก็จะให้ทำงานที่ร้านข้าวแกงแลกกับเงินเดือน แม้จะไม่ใช่เงินที่มากมายแต่ก็อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม คุณต้อยตั้งใจว่าการให้เงินเดือนแบบนี้จะทำให้น้องก้อยรู้จักค่าของเงินมากขึ้น ให้รู้จักควบคุมและบริหารเงินของตนเองได้ 

หลังจากที่น้องก้อยเลิกเรียนและมาช่วยคุณต้อยขายข้าวแกงได้ประมาณ ๑ ปี เป็นเรื่องที่น่ายินดีเมื่อพบว่า "น้องก้อยเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ด้านการทำอาหารมาก" คุณต้อยจึงวางแผนให้น้องก้อยเป็นคนรับงานเมื่อมีคนมาจ้างจัดโต๊ะจีน น้องก้อยก็ทำได้ดี แม้บางครั้งอาจจะมีข้อผิดพลาดอยู่บ้าง

ทุกวันนี้น้องก้อยเลิกเถียงคุณแม่แล้ว รู้จักทำมาหากินเพื่ออนาคตของตนเอง คุณต้อยก็มีความสุขที่เห็นลูกโตเป็นผู้ใหญ่ บรรยากาศในบ้านก็ดูอบอุ่นขึ้น  คุณต้อยดีใจมากที่ได้ลูกสาวสุดที่รักกลับคืนมา

พ่อแม่หลายคนเลี้ยงลูกด้วยคติที่ว่า "สิ่งที่ตนเองเคยขาดไปเมื่อยังเด็ก...ลูกจะต้องได้สิ่งนั้นอย่างเต็มที่" เมื่อเด็กได้รับความสุขสบายจากพ่อแม่มาอย่าง ง่ายดาย  ทำให้เด็กไม่รู้จักคำว่า "พยายาม"

ความคิดที่ผิดแบบนี้  ทำให้สังคมของเรามีเด็กประเภท "เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ" อยู่มาก เพราะเด็กหลาย คนไม่โชคดีเหมือนน้องก้อย เด็กบางคนอาจจะเสียคน  หันหน้าเข้าหาทางที่ผิด ติดเพื่อน  ติดยาเสพติดไปเลยก็ได้
คุณพ่อคุณแม่ควรจะคอยสังเกตว่า "การเลี้ยงดูของตนถูกต้องและเหมาะสมหรือยัง" อย่าให้ลูกของตนเองร้องบอกว่า "พ่อแม่รังแกฉัน" i

ข้อมูลสื่อ

337-010
นิตยสารหมอชาวบ้าน 337
พฤษภาคม 2550
ป้าหมอ