เมื่อต้นเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๕๕๔ ปรากฏข่าวใหญ่บนหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ หลังจากน้องธันย์-ณิชชารีย์ เป็นเอกชนะศักดิ์ ประสบอุบัติเหตุพลัดตกรางรถไฟฟ้าที่ประเทศสิงคโปร์
จากอุบัติเหตุดังกล่าวทำให้น้องธันย์ต้องตัดขาทั้ง ๒ ข้างทิ้ง ด้วยความที่ยังเด็กต้องเจอกับเรื่องใหญ่ในชีวิต คนรอบข้างต่างคาดว่า น้องธันย์คงจะรับกับเหตุการณ์สูญเสียสิ่งสำคัญไม่ได้ แต่ต้องแปลกใจ เมื่อน้องธันย์แสดงทัศนคติในด้านบวกให้ผู้ใหญ่หลายคนต้องทึ่ง
คุณกิตติ์ธเนศ เป็นเอกชนะศักดิ์ คุณพ่อของน้องธันย์ เป็นส่วนหนึ่งในการปลูกฝังความคิดหรือทัศนคติในการใช้ชีวิตตามหลักความเป็นจริงให้น้องธันย์ต่อสู้กับอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตนี้ไปได้ คุณพ่อของน้องธันย์บอกเล่าถึงการปลูกฝังในครอบครัวว่า...
“ครอบครัวเราจะสอนวิธีทำอย่างไรให้เรียนเก่ง คือ อ่านก่อน หนังสือเรียนที่ซื้อมาต้องอ่านก่อนไปเรียน ก่อนเปิดเรียนได้ตารางเรียนมาแล้ว อ่านอีกครั้งหนึ่ง ตรงไหนไม่เข้าใจก็ขีดไว้ แล้วตั้งใจฟังตอนที่ครูสอน นั่นคือเตรียมไปล่วงหน้า และถ้าไม่เข้าใจตรงไหนก็ยกมือถาม
ในช่วงปิดเทอมทุกครั้ง ประมาณ ๑-๒ ครั้ง จะพาลูกไปเที่ยวต่างจังหวัดตลอด ไปสถานที่หลายๆ แห่ง ลูกจะถามเสมอว่าทำไมเด็กต้องมาขอทาน ทำไมเด็กต้องมาขายพวงมาลัย ทำไมเด็กคนนั้นเป็นอย่างนี้ อย่างนั้น ผมก็มีหน้าที่อธิบายส่วนต่างๆ ให้เค้าฟัง และบอกให้เค้ารู้อยู่ตลอดเวลาว่า สิ่งไม่แน่นอนเกิดขึ้นได้เสมอ เราก็จงอย่าประมาท
สิ่งสำคัญคือ ต้องมีความรับผิดชอบ ตรงเวลา และเตรียมตัวรับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับตัวเรา อาจจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่แน่นอน และต้องเป็นคนมีจิตใจเข้มแข็งรู้จักการให้ ช่วยเหลือผู้อื่น มีเวลาว่างจากการทำการบ้านก็จะมาช่วยซักผ้า กวาดบ้าน ถูบ้าน ลงมาช่วยขายของ
จากตรงนี้ คิดว่าเป็นการบ่มเพาะ ซึมซับตั้งแต่เด็ก ส่งผลให้น้องธันย์มีจิตใจเข้มแข็ง แต่ส่วนสำคัญที่สุดก็คือการบ่มเพาะจากครอบครัว ความอบอุ่น และการให้ลูกรู้จักเตรียมพร้อมความเข้มแข็งทางด้านจิตใจ มีสติ และพร้อมที่จะยอมรับกับความจริงที่จะเกิดขึ้นทุกอย่าง”
ปัญหาทุกอย่างสามารถผ่านไปได้... ถ้ามองโลกในแง่ดี
“ตราบใดที่มีความคิดดี อย่างอื่นก็ดีหมด จึงปลูกฝังให้ลูกมองโลกในแง่บวก
การเป็นคนมีจิตใจดี ช่วยเหลือ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่นิ่งดูดาย เห็นคนตกทุกข์ได้ยาก ก็คอยช่วยเหลือ มันก็เป็นบุญกุศลตัวหนึ่งที่ย้อนกลับ ทำให้เรามองเห็นว่าเรามีความรู้สึก มีความรู้สึกจากการให้ต่างๆ แม้กระทั่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสิงคโปร์ ขาน้องธันย์ที่ถูกตัดแล้ว ทางโรงพยาบลมาถามว่า แล้วขานี้น้องธันย์จะเอาไปไหน
น้องธันย์บอกว่า เผาให้เสร็จเรียบร้อย ทำพิธีเสร็จเรียบร้อย สิงคโปร์อยากได้ขาของน้องธันย์ก็ไปลอยทะเลสิงคโปร์ โอเค... ก็จบ
คิดง่ายๆ ก็สบายใจ ไม่ต้องไปทุกข์อะไรมาก
คือ... ปล่อยวาง แล้วไปคิดเรื่องอื่นใหม่ ในแง่ใหม่ สร้างกล้ามเนื้อของตัวเราเพื่อรองเราสิ่งที่ทดแทนขึ้นมา ให้เข้ากับสิ่งที่จะมาช่วยเหลือเราต่อไป”
ผลดีของการ “คิดบวก”
“การคิดบวก มาจากความคิดหลายส่วน
เริ่มต้นจากจิตใจของเราก่อน ถ้าเรามีจิตใจดี เหมือนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ และสมเด็จพระเทพฯ ท่านคิดแต่เรื่อง “ให้” ไม่คิดเรื่อง “รับ”
คนเราคิดจะ “ให้” ไม่คิดจะเอาของคนอื่น จะเกิดความสบายใจ พอเกิดความสบายใจ ก็คิดดี เพราะการคิดอยากจะให้คือการคิดดี พอเราคิดการให้ ก็ทำตามกำลังของตัวเองโดยไม่เดือดร้อน
น้องธันย์เคยถามว่า ทำไมคนเก่ง (บางคน) ถึงเห็นแก่ตัว
ผมก็เลยบอกว่า ปกติคนเก่ง (บางคน) เห็นแก่ตัว แต่ในเมื่อเราเก่งเหมือนเขา หรือเก่งกว่าเขา ก็อย่าเอาเป็นตัวอย่าง นั่นคือ ให้ความช่วยเหลือคนอื่น มีอะไรไม่นิ่งดูดาย เพื่อนถามก็อธิบายให้เพื่อนฟัง บางครั้งคนเรียนเก่งก็ไม่ได้เก่งทุกอย่าง คนเราไม่ใช่รู้เรื่องทุกเรื่อง คนเก่งไม่ได้เก่งทุกอย่าง เพราะฉะนั้นวันใดวันหนึ่งคนเก่งมาถามเราก็อธิบาย ก็ให้เค้าในสิ่งที่เรารู้
เปรียบเสมือนประเทศชาติ เริ่มมาจากครอบครัว ถ้าผู้นำประเทศ คิดเหมือนในหลวงท่าน... เป็นพ่อที่ให้อย่างเดียวกับลูก โดยไม่คิดหวังสิ่งตอบแทน ประเทศชาติก็เหมือนกัน ถ้าคิดแต่การให้ ไม่คิดเรื่องผลประโยชน์ จึงถือว่าประเทศชาติเจริญ
ถ้ารู้จักการให้ (อภัย) เพราะการให้ก็คือการคิดดี ผมถือว่าดีหมดทุกอย่าง”
ถึงแม้จะเป็นเหตุการณ์ความสูญเสียสิ่งสำคัญในชีวิตไป แต่น้องธันย์ ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง กลับเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับคนท้อแท้ในชีวิต หากเราไม่ยึดติดกับสิ่งใดมากเกินไป ใจเราก็จะไม่ทุกข์ เพราะทุกอย่างมีเกิดก็ต้องมีดับ แค่ปล่อยวางกับสิ่งที่สูญเสียไป แล้วเริ่มต้นใหม่กับสิ่งใหม่ๆ ที่จะเข้ามาในชีวิต และทำทุกอย่างให้ดีที่สุดก็พอ
- อ่าน 3,611 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้