• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

สวัสดีครับ

บรรยากาศห้องตรวจเต็มไปด้วยเสียงโครมคราม เพราะน้องปรีเปิดประตูเข้าออก กระโดดขึ้นกระโดดลงสนุกสนาน
วันนี้มากันทั้งบ้าน คุณพ่อคุณแม่ คุณปู่และคุณย่า ก็หลานชายคนโปรด และเป็นลูกชายคนเดียวของคุณพ่อคุณแม่ ใครจะอยู่เฉยได้เมื่อคิดว่า “น้องปรี” ควรจะมาพบจิตแพทย์ 

น้องปรีอายุ ๒ ขวบครึ่ง สูงมากเลยทำให้ดูผอม ทั้งๆที่น้ำหนักตัวก็เหมาะสมกับอายุ แต่ถ้าเทียบกับความสูงแล้วมองเห็นแขนขาเก้งก้างไปหมด เวลาที่น้องปรีวิ่งไปวิ่งมา ป้าหมอเห็นทุกคนล้วนแต่มองอย่างชื่นชม ไม่มีใครสักคนที่จะบอกน้องปรีว่า "เงียบๆ หน่อยลูก หรืออย่าซนมากนะหลาน”อาจจะเป็นวัฒนธรรมของบ้านนี้ คุณพ่อคุณแม่ คุณปู่คุณย่าเลยเล่าเรื่องน้องปรีให้ป้าหมอฟัง

น้องปรีเป็นเด็กยิ้มง่าย พูดเก่งหัวเราะง่าย เป็นเด็กช่างซัก ช่างถาม บางครั้งคำพูดของน้องปรีเล่นเอาคุณครูที่โรงเรียนตกใจ คุณครูเขียนสั้นๆในสมุดรายงานเกี่ยวกับน้องปรีว่า เป็นเด็กที่กล้าแสดงออกมาก มั่นใจในตัวเอง บางครั้งมีคำพูดเหมือนที่ฟังผู้ใหญ่เขาพูดกัน เช่น คำพูดว่าเด็กๆ ต้องตั้งใจเรียน แต่น้องปรีก็ไม่เคยตั้งใจเรียนที่โรงเรียน และมักจะเป็นหัวโจกนำเพื่อนๆ ในห้องลุกขึ้นวิ่งเล่นในขณะที่ครูสอน 

คุณพ่อคุณแม่พาน้องปรีมาในวันนี้เพราะรู้สึกว่าลูกสมาธิสั้น หรือทำไมน้องปรีถึงไม่สงบเสงี่ยมเหมือนกับเด็กคนอื่นๆ ในวัยเดียวกัน มิหนำซ้ำท่าทางน้องปรีที่แสดงออกบางครั้งพ่อแม่เริ่มรู้สึกรับไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น น้องปรีจะทักคนในบ้านด้วยการยื่นเท้าไปข้างหน้า พร้อมกับพยายามยกเท้าให้สูงที่สุดเพื่อชี้แทนนิ้วมือ แล้วบอกว่า “สวัสดีครับ” แรกๆ คุณพ่อกับคุณแม่ไม่ถือ แต่น้องปรีก็ไปสวัสดีคุณครูที่โรงเรียน และผู้ใหญ่คนอื่นๆ ที่น้องปรีพบ เล่นเอาพ่อแม่รู้สึกอายม้วน และคิดว่าคงจะต้องพาน้องปรีมาหาหมอสักที

คุณพ่อคุณแม่ทำงานทั้งคู่ ทุกเช้าออกจากบ้านโดยที่น้องปรียังไม่ตื่น แต่อาศัยที่คุณปู่และคุณย่าซึ่งอยู่บ้านติดกัน คอยดูว่าเมื่อคุณพ่อคุณแม่จะออก คุณย่าก็จะเดินมาที่บ้าน มานอนเป็นเพื่อนน้องปรี จนถึงเวลา ๗ โมงจึงเรียกน้องปรีลุกขึ้น เด็กที่ทำงานในบ้านก็จัดเตรียมเสื้อผ้าและทุกอย่างให้น้องปรี 

คุณย่าจะดูแลการอาบน้ำแต่งตัวให้ แล้วชวนน้องปรีลงมากินข้าวและเตรียมตัวไปโรงเรียน คุณปู่ซึ่งเดินไปใส่บาตรเสร็จก็เดินย้อนกลับมาเตรียมตัวขับรถไปส่งน้องปรีที่โรงเรียน
น้องปรีชอบไปโรงเรียน และชอบดูบรรยากาศสนุกสนาน ถ้าเพียงแต่น้องปรีไม่เอาเท้าชี้ใคร แล้วพูดว่า “สวัสครับ” ทุกคนคงจะโล่งใจและสบายใจมากกว่านี้ 
น้องปรีชอบดูการ์ตูนทุกชนิด แต่การ์ตูนโปรดของน้องปรีก็คือการ์ตูนเกี่ยวกับการต่อสู้ป้องกันตัว ไม่ว่าจะเป็นไอ้มดแดง ไอ้แมงมุม หรือไอ้มดเอ็กซ์ น้องปรีฝึกท่าต่างๆ ของการ์ตูนและฝึกซ้ำแล้วซ้ำอีก ขณะที่คุณพ่อเล่าสอดคล้องกับคุณแม่ คุณย่าก็พูดว่า "ฉันคิดว่าไอ้ท่าแบบนี้มันมาจากหนังการ์ตูนที่หลานดูหรือเปล่า แต่ก็ไม่เห็นมีสักที เพราะการ์ตูนพวกนี้ใช้แต่มือไม่ใช้เท้าชี้ "

คุณพ่อกับคุณแม่ก็บอกว่าตอนนี้เรากำลังปรับเปลี่ยนให้น้องปรีดูการ์ตูนเหล่านี้น้อยลง เพราะกลัวจะเกิดความก้าวร้าวอย่างที่หนังสือพิมพ์ลงกัน น้องปรีก็เลยหันไปทำท่าอย่างอื่น ไม่ใช่ทำท่าก้าวร้าวอย่างที่เคยทำ

ผมรู้สึกว่าลูกดีขึ้น แต่ตอนนี้น้องปรีมักจะถามว่าการ์ตูนที่เคยดูไปไหน ซึ่งคุณพ่อก็บอกว่าเทปเสีย บางครั้งดูๆ อยู่คุณแม่ก็แอบไปถอดปลั๊ก แล้วบอกว่าทีวีเสีย ซึ่งตอนหลังเวลาที่มีคำพูดของคุณพ่อคุณแม่ว่าการ์ตูนเสีย น้องปรีก็จะเดินไปที่เสียบปลั๊ก หยิบสายทีวีขึ้นมาดูแล้วทำท่าขึ้นมาเสียบ คุณแม่รู้สึกใจหายว่าวิธีนี้น่าจะหลอกน้องปรีได้อีกไม่นาน ถ้าน้องปรีเสียบปลั๊กทีวีได้เอง เปิดทีวีได้เอง น่ากลัวเรื่องจะยากขึ้น

คนที่ไม่พูดเลยในห้องคือคุณปู่ คุณปู่ฟังทุกคนพูดด้วยสีหน้าท่าทางเดาใจไม่ถูกแต่รู้สึกน้ำตาคลอๆ เมื่อทุกคนเงียบป้าหมอก็หันไปถามคุณปู่ว่า ในส่วนของคุณปู่มีข้อมูลอะไรจะให้เพิ่มไหม คราวนี้คุณปู่ตาแดง น้ำตาที่คลอก็เริ่มไหลออกมาและพูดว่า 

"ผมคงเป็นคนที่ทำให้เกิดท่านี้ขึ้น เพราะเช้าวันหนึ่งขณะที่จะไปรับน้องปรีไปโรงเรียน น้องปรีก็เดินมาหาผม แล้วผมก็ทำท่าไอ้มดแดง ตอนนั้นผมทรงตัวไม่ค่อยดี เลยยื่นเท้าไปข้างหน้า แล้วก็พูดกับน้องปรีว่าสวัสดีตอนเช้าหลาน เท่านั้นแหละ น้องปรีก็ทำท่าอย่างผม แล้วก็ยกเท้าขึ้นสูงกว่าผม พยายามใช้เท้าชี้หน้าผม แล้วก็พูดว่าสวัสดีครับคุณปู่ ตั้งแต่นั้นมาน้องปรีก็เริ่มทำท่านี้มาโดยตลอด ผมไม่รู้จะหยุดได้อย่างไร ไม่สบายใจ รู้สึกอาย แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่น ผมเคยบอกหลานว่า ถ้าไม่ทำอย่างนี้ปู่จะซื้อขนม จะซื้อของเล่นให้ แต่น้องปรีก็ส่ายหน้าไม่เห็นด้วย เพราะในบ้านมีทั้งขนมและของเล่นเต็มไปหมด ถึงไม่ได้จากปู่น้องปรีก็ไม่เห็นจะต้องสนใจ"
คุณย่า คุณพ่อและคุณแม่หันไปมองคุณปู่ พร้อมกับหันไปบอกป้าหมอว่า คุณปู่คงไม่ตั้งใจ ป้าหมอพยักหน้าและบอกว่า 

"ป้าหมอมั่นใจว่าคุณปู่ไม่ได้ตั้งใจ เพราะคุณปู่รู้ว่าคนที่ใกล้ชิดกับเด็กเป็นรูปแบบที่จะทำให้เด็กเอาเป็นตัวอย่าง คุณปู่คงอยากให้หลานเป็นเด็กที่น่ารัก และเป็นที่รักของคนอื่นเพราะฉะนั้นต่อไปนี้สิ่งที่เกิดขึ้นคงต้องมีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้น้องปรีเข้าสู่การฝึกหัดอย่างเป็นเรื่องเป็นราว เพราะน้องปรีอายุ ๒ ขวบครึ่งเหมาะสำหรับฝึกหัดนิสัย คำพูด และเริ่มต้นปลูกฝังความคิดต่างทีละเล็กทีละน้อย"

ขณะเดียวกันคุณพ่อ คุณแม่ก็เริ่มถามว่า แล้วเราจะเริ่มปลูกฝังและเลิกพฤติกรรมอย่างนี้ได้อย่างไร
ป้าหมอเลยแนะนำว่าขั้นแรกให้ความสำคัญกับพฤติกรรมอันนี้ ไม่ดุ ไม่ชม ไม่สนใจ และเมื่อน้องปรีมีพฤติกรรมใหม่ เราก็จะเริ่มชมพฤติกรรมที่เหมาะสม คำชมที่เหมาะสมกับพฤติกรรมที่เกิดขึ้นขณะนั้น จะทำให้น้องปรีเข้าใจว่า นี่คือการยอมรับของครอบครัว เป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่พ่อแม่ชอบ

ขณะที่ผู้ใหญ่กำลังตั้งวงคุยกัน น้องปรีก็เดินเข้ามาหาพร้อมยกเท้าขึ้นชี้หน้าคุณพ่อและบอกว่า สวัสดีครับ คุณพ่อท่าทางหัวเสีย แต่ก็ทำท่าเฉยๆ ไม่ตอบสนอง ป้าหมอยิ้มแล้วพูดว่าถูกแล้วค่ะ ต้องทำอย่างนี้แหละ น้องปรีเลยหันไปชี้คุณแม่ด้วยเท้า แล้วพูดว่าสวัสดีครับคุณแม่ คุณแม่ก็ทำแบบเดียวกัน คือทำเป็นมองไม่เห็นว่าน้องปรีกำลังทำอะไรอยู่ พอไม่มีใครตอบสนองน้องปรีก็หันไปที่คุณปู่กับคุณย่าทำแบบเดียวกัน แต่ไม่มีผู้ใหญ่ในห้องตอบสนอง

ป้าหมอก็เลยถามว่า เอ๊ะที่โรงเรียนเวลาสวัสดี คุณครูไหว้แบบไหนถึงสวย ไหนลองทำให้ป้าหมอดูสิ เท่านั้นแหละน้องปรีคนฉลาดก็พนมมือก้มศีรษะ แล้วบอกว่า คุณครูสอนให้ทำแบบนี้ครับ คุณครูยังบอกเลยว่าเวลาน้องปรีสวัสดี ปรีสวัสดีสวยจังเลย 

ทุกคนในห้องยิ้ม ป้าหมอก็เลยพูดต่อว่า ป้าหมอเห็นด้วยนะน้องปรีเวลาไหว้ดูน่ารัก อ่อนน้อม คุณครูที่โรงเรียนดีมากเลยสอนแต่ของดีๆ กับเด็กๆ ทำให้เด็กเป็นคนน่ารัก พบใคร ใครก็จะช่วยกันรักเด็กโรงเรียนนี้ น้องปรีโชคดีมากเลยที่ได้อยู่โรงเรียนนี้ เท่านี้แหละน้องปรีก็ยิ้มแก้มแทบปริ แล้วหันไปหาคุณแม่แล้วบอกว่า สวัสดีครับ โดยยกมือทั้ง ๒ ขึ้นพนมแล้วไหว้คุณแม่ คุณแม่ก็ดึงตัวน้องปรีขึ้นมากอดแล้วบอกว่า แบบนี้ถึงสวยลูก  เหมือนที่คุณครูสอนที่โรงเรียนเปี๊ยบเลย วันนั้นแม่ไปโรงเรียนเห็นเด็กๆ กำลังฝึกกันอยู่

พอได้รับคำชมน้องปรีก็หันไปทางคุณพ่อ คูณปู่คุณย่าพร้อมกับสวัสดี ซึ่งทั้ง ๓ คนก็ตอบสนองน้องปรีในเชิงบวกด้วยการพยักหน้าเห็นด้วย ด้วยการกอด ด้วยการชม เท่านั้นแหละน้องปรีก็เดินตัวปลิวออกจากห้องไป โดยทิ้งให้เราผู้ใหญ่นั่งคุยกันต่อ 
เมื่อหมดชั่วโมงของการรักษา น้องปรีกลับไปแล้ว คุณปู่ คุณย่า คุณพ่อ คุณแม่ ก็กลับไปด้วยการบ้านตั้งใหญ่ที่ได้รับจากป้าหมอคือการฝึกระเบียบวินัยให้น้องปรีในด้านต่างๆ

คนไข้รายต่อมา ที่เดินเข้ามาหาป้าหมอทรุดตัวลงนั่ง พร้อมกับพูดว่า เด็กคนนั้นไม่สบายเป็นอะไร ป้าหมอยิ้ม แต่ไม่พูดว่าอะไรต่อ
คุณชาญก็เลยพูดต่อว่า ตอนแรกที่เจอหน้าผมแล้วเดินเข้ามาหาผมเอาเท้าชี้หน้าแล้วพูดว่า สวัสดีครับ แต่ตอนหลังเดินออกไปครั้งสุดท้ายเดินผ่านผม แล้วยกมือไหว้ผมแล้วบอกว่า สวัสดีครับ มันก็เปลี่ยนแปลงเร็วเหมือนกัน คุณหมอทำอย่างไร

เด็กตั้งแต่ ๒ ขวบขึ้นไป เป็นเด็กที่มีการพัฒนาการทางสมองในระดับที่สามารถนำมาฝึกหัดได้ พ่อแม่และคนใกล้ชิดล้วนแต่เป็นต้นแบบในการพิมพ์ภาพต่างๆ ลงไปในชีวิตเด็ก ต้องการเด็กดื้อเราก็สร้างได้ ต้องการเด็กมีเหตุผลเราก็สร้างได้ ต้องการเด็กพูดเพราะเราก็สร้างได้ ต้องการเด็กรับผิดชอบเราก็สร้างได้ เราทุกคนกำลังสร้างเด็กของเรา ทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัว ต้นแบบของผู้ใหญ่ การยอมรับของผู้ใหญ่ ท่าทีของผู้ใหญ่ เป็นเส้นทางที่เด็กเลียนแบบ 

ถ้าพ่อแม่เป็นคนมีเหตุผล เมื่อลูกพูดอะไรฟังให้จบ และขอบใจลูกที่เล่าให้ฟัง เช่น เรื่องที่ลูกเล่าให้ฟังน่าสนใจมาก แล้วค่อยสอดแทรกความคิดต่างลงไปในเรื่องที่ลูกเล่า เด็กก็จะจับประเด็นได้ ก็กลายเป็นเด็กช่างเล่า ไม่มีความลับกับผู้ใหญ่ 

เมื่อเด็กเล่าเรื่องอะไรที่เป็นพฤติกรรมที่ดีเช่น วันนี้คุณครูให้เด็กๆ ช่วยกันกวาดห้อง นั่นแหละเป็นโอกาสทองของพ่อแม่ที่จะบอกว่า คุณครูนี้ดีนะที่สอนให้ลูกรู้จักการดูแลห้อง รู้จักการทำความสะอาด โรงเรียนนี้เขาฝึกให้เด็กเป็นคนน่ารัก ถ้าเด็กทำอย่างนี้ได้ทุกคน ทุกบ้าน ประเทศไทยก็คงไม่มีคนทิ้งขยะบนถนน เท่านั้นแหละคุณก็จะได้ลูกที่ขยันทำงานบ้าน

แต่อย่างไรก็ตาม เด็กก็คือเด็ก เด็กคงทำไม่ได้ดีเท่าที่เราคาดหวัง ถ้าเพียงแต่เด็กทำเช่น กวาดบ้าน ตรงไหนไม่สะอาดก็ทำเป็นไม่เห็นบ้าง ตรงไหนสะอาดเราก็จะชื่นชม เช่น โฮโห...ลูกกวาดตรงนี้อย่างไรสะอาดเรียบร้อยจังเลย สงสัยแม่ต้องกลับไปเล่าให้คุณปู่ฟังแล้ว หรือพรุ่งนี้เช้าแม่จะไปเล่าให้เพื่อนที่ทำงานฟัง หรือดูรอยยิ้มบนหน้าแม่สิ ภูมิใจมากที่ลูกของแม่เป็นแบบนี้ นี่คือเส้นทางอบรมลูกอย่างเป็นห่วง

เด็กย่อมทำอะไรผิดบ้างถูกบ้าง เป็นเรื่องธรรมดา เมื่อเด็กทำผิดก็จะบอกว่า ความผิดอันนี้เกิดได้ สมัยแม่เป็นเด็กเราก็เคยทำ แต่เราพยายามนึกว่าจะทำอย่างไร วันหลังจะได้ไม่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นอีก เด็กก็จะได้ข้อคิดไปว่าความผิดพลาดนั้นพ่อแม่รับทราบ รับฟังได้ ควรจะเล่าให้พ่อแม่ฟัง และพ่อแม่ก็จะแนะนำว่าวิธีป้องกันความผิดพลาดเป็นอย่างไร เท่านี้แหละเราก็จะได้ลูกแบบเด็กที่เราต้องการ
    
ปัญหาเด็กเมื่อเข้าสู่วัยรุ่นก็จะหมดไป ประเทศชาติก็คงเบาบางด้วยปัญหาต่างๆ มารุมเร้า คุณภาพ ของคนในประเทศก็จะสูงขึ้น ป้าหมอฝากให้เป็นภาระของเราทุกคน ช่วยกันสร้างแบบเด็กไทย ที่เราต้องการ

 

ข้อมูลสื่อ

321-021
นิตยสารหมอชาวบ้าน 321
มกราคม 2549
ป้าหมอ