• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

อีสุกอีใส

อีสุกอีใส


ในช่วงก่อนและหลังสอบไล่ปลายปี (มกราคมถึงเมษายน) มักจะมีการระบาดของ "ไข้-ออกผื่น" ได้แก่ หัด หัดเยอรมัน อีสุกอีใส สำหรับอีสุกอีใสเนื่องจากยังมีการฉีดวัคซีนป้องกันโรคนี้กันน้อยมาก เพราะยังไม่ได้จัดเป็นวัคซีนพื้นฐาน (ซึ่งได้แก่ หัด หัดเยอรมัน ไอกรน คอตีบ บาดทะยัก โปลิโอ วัณโรค ตับอักเสบจากไวรัสบี ไข้สมองอักเสบ) ดังนั้นจึงมักยังพบมีการระบาดของโรคนี้ตามโรงเรียน สถาบันการศึกษา และชุมชนในช่วงเวลาดังกล่าวอยู่ทุกปี

ชื่อภาษาไทย   อีสุกอีใส, ไข้สุกใส
ชื่อภาษาอังกฤษ   Chickenpox, Varicella

สาเหตุ   เกิดจากเชื้ออีสุกอีใส ซึ่งเป็นไวรัสที่มีชื่อว่า ไวรัสวาริเซลลา (varicella virus) หรือ  human herpes virus type 3 เป็นเชื้อตัวเดียวกับที่ทำให้เกิดงูสวัด ติดต่อโดยการสัมผัสถูกตุ่มน้ำโดยตรง หรือสัมผัสถูกของใช้ (เช่น แก้วน้ำ ผ้า เช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว ผ้าห่ม ที่นอน เป็นต้น) ที่เปื้อน ถูกตุ่มน้ำของผู้ที่เป็นอีสุกอีใสหรืองูสวัด หรือสูดหายใจเอาละอองของตุ่มน้ำผ่านเข้าทางเยื่อเมือก ระยะฟักตัว ๑๐-๒๐ วัน เชื้ออีสุกอีใสเป็นเชื้อโรคที่แพร่ระบาดได้ง่าย ดังนั้นจึงมักพบระบาดในหมู่เด็กเล็ก วัยรุ่น และหนุ่มสาว ซึ่งมักจะพบระบาดในช่วงเดือนมกราคมถึงเมษายน

อาการ   เด็กจะมีไข้ต่ำๆ อ่อนเพลียและเบื่ออาหารเล็กน้อย ในผู้ใหญ่มักมีไข้สูง และปวดเมื่อยตามตัวคล้ายไข้หวัดใหญ่นำมาก่อน ผู้ป่วยจะมีผื่นขึ้น ซึ่งจะขึ้นพร้อมๆ กันกับวันที่เริ่มมีไข้ หรือ ๑ วันหลังจากมีไข้ เริ่มแรกจะขึ้นเป็นผื่นแดงราบก่อน ต่อมาจะกลายเป็นตุ่มนูน มีน้ำใสๆ อยู่ข้างใน และมีอาการคัน ต่อมาจะกลายเป็นหนอง หลังจากนั้น ๒-๔ วัน ก็จะตกสะเก็ด ผื่นและตุ่มจะขึ้นตามไรผมก่อน แล้วลามไปตามหน้า ลำตัว และแผ่นหลัง จะทยอยขึ้นเต็มที่ ภายใน ๔ วัน บางรายมีตุ่มขึ้นในช่องปาก ทำให้ปากเปื่อย ลิ้นเปื่อย เจ็บคอ บางรายอาจไม่มีไข้ มีเพียงผื่นและตุ่มขึ้น ทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นเริมได้ เนื่องจากผื่นตุ่มของโรคนี้จะค่อยๆ ออกทีละระลอก (ชุด) ขึ้นไม่พร้อมกันทั่วร่างกาย ดังนั้นจะพบว่าบางที่ขึ้นเป็นผื่นแดงราบ บางที่เป็นตุ่มใส บางที่เป็นตุ่มกลัดหนอง และบางที่เริ่มตกสะเก็ด ด้วยลักษณะนี้ ชาวบ้านจึงเรียกว่า อีสุกอีใส (มีทั้งตุ่มสุกตุ่มใส)

การแยกโรค   อีสุกอีใสมักจะมีอาการเด่นชัด คือ มีตุ่มน้ำพุขึ้นพร้อมๆ กับมีไข้ (ตัวร้อน) ในวันแรกของโรค ตุ่มจะขึ้นที่ศีรษะ คอ แล้วกระจายตามลำตัว ส่วนแขน ขา จะมีประปราย อย่างไรก็ตาม อาการมีตุ่มน้ำพุขึ้นตามร่างกายได้ ก็อาจเกิดจากสาเหตุอื่น เช่น

๑. โรคมือ-เท้า-ปาก (hand-foot-and-mouth disease) เกิดจากไวรัสที่มีชื่อว่า ค็อก-แซกกี (coxsackie virus) ชนิด A 16 พบบ่อยในเด็กอายุต่ำกว่า ๑๐ ขวบ จะมีอาการไข้ร่วมกับแผลเปื่อยในปาก (ตามกระพุ้งแก้ม เพดานปาก) และมีตุ่มน้ำพุขึ้นที่มือ เท้า รวมทั้งฝ่ามือ ฝ่าเท้า อาการมักจะหายได้เองภายใน ๓-๕ วัน โดยไม่ทำให้เกิดแผลเป็น

๒. หิด (scabies) เกิดจากตัวไร (เชื้อหิด) ซึ่งติดต่อง่ายโดยการสัมผัส จะมีตุ่มคันมากเกิดที่ง่ามมือ ง่ามเท้า ไม่มีไข้ มักเป็นพร้อมกันหลายคนในบ้านหรือห้องเรียน

๓. ตุ่มพุพอง (impetigo) เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย จะมีลักษณะขึ้นเป็นตุ่มหนองเพียงไม่กี่จุด ไม่กระจายทั่วตัวแบบอีสุกอีใส ส่วนใหญ่จะไม่มีไข้

๔. หัด (measles) เกิดจากไวรัสหัด จะมีไข้สูงตลอดเวลา หน้าแดง ตาแดง ซึม เบื่ออาหาร น้ำมูกไหล ไอ และในวันที่ ๓-๔ ของไข้จะมีผื่นแดงเล็กๆ ขึ้นทั้งตัว ไม่มีตุ่มน้ำแบบอีสุกอีใส

๕. เริม (herpes simplex) เกิดจากไวรัสเริม จะมีตุ่มน้ำใสขึ้นเป็นหย่อม (กระจุก) ตรงตำแหน่งเดียว เช่น ที่มุมปาก หรือตามลำตัว แขน ขา มักจะไม่มีไข้ มักจะพุขึ้นตรงที่เดิมเป็นๆ หายๆ เรื้อรัง แต่ละครั้งตุ่มจะแตกและตกสะเก็ดภายใน ๑-๒ สัปดาห์ ในรายที่ร่างกายอ่อนแอ อาจมีตุ่มเริมน้ำขึ้นกระจายทั่วตัว คล้ายอีสุกอีใสได้

๖. งูสวัด (herpes zoster) เกิดจากเชื้อไวรัสวาริเซลลาชนิดเดียวกับอีสุกอีใส กล่าวคือ เมื่อมีการติดเชื้อไวรัสนี้ ครั้งแรกในชีวิตจะเกิดโรคอีสุกอีใสขึ้นมาก่อน หลังจากอาการทุเลาไปแล้ว เชื้อไวรัสจะหลบซ่อนอยู่ที่ปมประสาทใต้ผิวหนัง เมื่ออายุมากขึ้นภูมิคุ้มกันต่อเชื้อนี้อ่อนลง เชื้อไวรัสที่แฝงตัวอยู่ยาวนานก็จะแบ่งตัวจนมีปริมาณมากขึ้น จนทำให้เกิดโรคงูสวัด ซึ่งจะมีอาการขึ้นเป็นตุ่มเรียงตัวตามแนวเส้นประสาทที่เคยแฝงตัวอยู่ มีลักษณะเป็นแนวยาว ชาวบ้านจึงเรียกว่า งูตระหวัด หรืองูสวัด ก่อนขึ้นเป็นตุ่ม มักจะมีอาการปวดแสบปวดร้อนในบริเวณนั้นอยู่หลายวัน ส่วนใหญ่จะไม่มีไข้ โรคเหล่านี้หากเกิดจากไวรัส มักจะให้การรักษาตามอาการ ส่วนหิดจำเป็นต้องให้ยาทาฆ่าเชื้อหิด ส่วนแผลพุพองจำเป็นต้องรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ

การวินิจฉัย   มักจะวินิจฉัยจากอาการแสดง ได้แก่ ไข้ร่วมกับมีตุ่มใสขึ้นพร้อมไข้วันแรก น้อยรายที่อาจจะต้องใช้วิธีการตรวจพิเศษ เช่น ตรวจหาแอนติบอดีในเลือด ตรวจหาเชื้อจากตุ่มน้ำ เป็นต้น

การดูแลตนเอง   ถ้าอาการชัดเจน ร่วมกับมีประวัติการระบาดของโรคนี้ ก็อาจให้การดูแลเบื้องต้น ดังนี้

๑. ถ้ามีไข้สูง ให้ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวบ่อยๆ ดื่มน้ำมากๆ ห้ามอาบน้ำเย็น นอนพักให้มากๆ และให้ยาพาราเซตามอลบรรเทาไข้ ไม่ควรให้ยาแอสไพรินลดไข้ เพราะยานี้   อาจทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคเรย์ซินโดรม (Reye's syndrome) ซึ่งจะมีภาวะสมองอักเสบร่วมกับตับอักเสบ จัดว่าเป็นโรคอันตรายร้ายแรงชนิดหนึ่ง

๒. ถ้ามีอาการคัน ให้ทาด้วยยาแก้ผดผื่นคัน (คาลาไมน์โลชั่น) ถ้าคันมากให้ยาแก้แพ้ คลอร์เฟนิรามีนบรรเทา ผู้ป่วยควรตัดเล็บให้สั้น และพยายามอย่าแกะหรือเกาตุ่มคัน อาจทำให้เกิดการติดเชื้อกลายเป็นตุ่มหนอง และเป็นแผลเป็นได้

๓. ถ้าปากเปื่อย ลิ้นเปื่อย ให้ใช้น้ำเกลือกลั้ว พยายามกินอาหารที่เป็นของเหลวหรือเป็นน้ำแทนอาหารแข็ง

๔. สำหรับอาหาร ไม่มีของแสลงต่อโรคนี้ ให้กินอาหารได้ตามปกติ โดยเฉพาะบำรุงด้วยอาหารพวกโปรตีน (เช่น เนื้อ นม ไข่ ถั่วต่างๆ) ให้มากขึ้น เพื่อเสริมสร้างภูมิต้านทานของร่างกาย

๕. ควรหยุดเรียน หรือหยุดงาน พักผ่อนอยู่บ้าน เพื่อป้องกันมิให้แพร่เชื้อให้คนอื่น ระยะแพร่เชื้อติดต่อให้คนอื่น คือ ตั้งแต่ระยะ ๒๔ ชั่วโมง ก่อนมีตุ่มขึ้นจนกระทั่ง ๖ วัน หลังตุ่มขึ้น

๖. ควรเฝ้าสังเกตอาการเปลี่ยนแปลงต่างๆ โดยทั่วไปอาการ จะค่อยทุเลาได้เองภายใน ๑-๓ สัปดาห์ แต่ถ้าพบว่ามีอาการหายใจหอบ ซึม ชัก เดินเซ ตากระตุก ดีซ่าน (ตาเหลือง) มีเลือดออก ปวดศีรษะมาก อาเจียนมาก  เจ็บหน้าอก หรือตุ่มกลายเป็นหนอง ฝี หรือพุพอง ควรไปพบ แพทย์โดยเร็ว

การรักษา   แพทย์จะให้การรักษาตามอาการ เช่นเดียวกับที่กล่าวไว้ข้างต้น แต่ถ้าพบว่ามีภาวะผิดปกติอื่นๆ ก็จะให้การดูแล ดังนี้

๑. ถ้าพบว่าตุ่มมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน (กลายเป็นตุ่มหนอง ฝี แผลพุพอง) แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะเพิ่มเติม ถ้าเป็นเพียงไม่กี่จุดก็อาจให้ชนิดทา แต่ถ้าเป็นมากก็จะให้ชนิดกิน

๒. ถ้ามีอาการแทรกซ้อนรุนแรง ซึ่งพบได้น้อยมาก เช่น ปอดอักเสบ (ไข้สูง หอบ) สมองอักเสบ (ไข้สูง ปวดศีรษะมาก อาเจียนมาก ซึม ชัก ไม่ค่อยรู้ตัว) ตับอักเสบ (ดีซ่าน) หรือมีภาวะเลือดออกง่าย เป็นต้น ก็จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล

๓. ในรายที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง (เช่น  เป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว เอดส์ กินยาสตีรอยด์อยู่นานๆ เป็นต้น) หรือเด็กอายุตั้งแต่ ๑๒ ปีขึ้นไปที่มีโรคผื่นแพ้ประจำ โรคปอดเรื้อรัง สูดพ่นยาสตีรอยด์ (สำหรับคนที่เป็นหืด) หรือกินยาแอสไพรินอยู่ นอกจากให้การรักษาตามอาการแล้ว แพทย์อาจให้ยาต้านไวรัส ที่มีชื่อว่า อะไซโคลเวียร์ (acyclovir) เพื่อฆ่าเชื้ออีสุกอีใส ป้องกันมิให้โรคลุกลามรุนแรง และช่วยให้โรคหายเร็วขึ้น ควรให้ยานี้รักษาภายใน ๒๔ ชั่วโมง หลังแสดงอาการจะได้ผลดีกว่าให้ช่วงหลังๆของโรค

ภาวะแทรกซ้อน   ในเด็กเล็กส่วนใหญ่มักจะไม่มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง ยกเว้นการแกะเกาจนกลายเป็นตุ่มหนอง ฝี พุพอง ในเด็กโต (อายุตั้งแต่ ๑๒ ปีขึ้นไป) และผู้ใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือมีโรคเรื้อรังอยู่ก่อน ก็อาจเกิดภาวะแทรกซ้อน ที่พบได้บ่อยหน่อย คือ ปอดอักเสบ (ปอดบวม) ส่วนภาวะอื่นๆ ที่อาจพบได้แต่ค่อนข้างน้อย เช่น ตับอักเสบ, ข้ออักเสบ, กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ, ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ (มีเลือดออกง่าย), ภาวะโลหิตเป็นพิษ (เชื้อแบคทีเรียเข้ากระแสเลือด), ไตอักเสบ เป็นต้น

ที่สำคัญสำหรับหญิงตั้งครรภ์ ถ้าเป็นอีสุกอีใสในช่วงไตรมาสแรก (๓ เดือนแรก) ทารกในครรภ์มีโอกาสพิการได้ประมาณร้อยละ ๕ และในช่วงไตรมาสที่ ๓ (๓ เดือนสุดท้ายก่อนคลอด) ถ้าแม่เป็นโรคนี้ ๕ วันก่อนคลอดจนถึง ๒ วันหลังคลอด ทารกที่เกิดมามีโอกาสติดเชื้อกลายเป็นโรคอีสุกอีใสชนิดรุนแรง ซึ่งอาจถึงตายได้ (ในสหรัฐอเมริกาพบว่าทารกที่มีแม่เป็นโรคนี้ในช่วงดังกล่าว มีโอกาสเป็นโรคนี้ตายประมาณร้อยละ ๕) โดยทั่วไป คนส่วนใหญ่จะติดเชื้ออีสุกอีใส และมีภูมิคุ้มกันตั้งแต่อายุไม่มาก มีน้อยคนที่จะมาติดเชื้อตอนตั้งครรภ์ อย่างไรก็ตามก่อนแต่งงานหรือ ก่อนตั้งครรภ์ หากไม่แน่ใจว่าตัวเองเคยติดเชื้ออีสุกอีใสมาก่อนหรือไม่ ก็ควรจะปรึกษาแพทย์ให้แน่ใจ

การดำเนินโรค   เด็กเล็กมักจะเป็นโรคแบบไม่รุนแรง มีตุ่มขึ้นไม่มาก บางคนอาจมีไข้ต่ำๆ หรือไม่มีไข้ และจะหายได้เองภายใน ๑-๒ สัปดาห์ ซึ่งชาวบ้านมักจะคุ้นเคยกับโรคนี้มาแต่โบราณ และอาจให้กินยาเขียวในการรักษา ส่วนเด็กโตและผู้ใหญ่ ส่วนมากก็มักจะหายได้เองภายใน ๑-๓ สัปดาห์ แต่มีเพียงส่วนน้อยอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนดังกล่าวข้างต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ผู้ป่วยที่หายจากโรคนี้ บางคนเมื่ออายุมากขึ้น (อาจเป็นสิบๆ ปี หลังจากนั้น) อาจกลายเป็นโรคงูสวัดตามมา เนื่องจากเชื้อไวรัสชนิดนี้สามารถแฝงตัวอยู่ที่ปมประสาทใต้ผิวหนัง (แม้ว่าตุ่มจะยุบลงแล้ว) เมื่อโตขึ้นภูมิคุ้มกัน (แอนติบอดี) ต่อเชื้อนี้อ่อนลง เชื้อที่แฝงตัวอยู่ก็จะแบ่งตัวจนกลายเป็นงูสวัดได้

การป้องกัน

๑. ปัจจุบันมีวัคซีนฉีดป้องกันโรคอีสุกอีใส ซึ่งราคาค่อนข้างแพง (ประมาณเข็มละ ๘๐๐-๑,๒๐๐ บาท) ควรฉีดในเด็กอายุ ๑๒-๑๘ เดือน ฉีดเพียง ๑ เข็ม จะป้องกันโรคได้ตลอดไป ถ้าฉีดตอนโต หากอายุต่ำกว่า ๑๓ ปี ก็ฉีดเพียงเข็มเดียว แต่ถ้าอายุตั้งแต่ ๑๓ ปีขึ้นไป ควรฉีด ๒ เข็ม ห่างกัน ๔-๘ สัปดาห์ หลังฉีดวัคซีน ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาแอสไพรินนาน ๖ สัปดาห์ ทั้งนี้เพื่อลดโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรย์ซินโดรม วัคซีนชนิดนี้ห้ามฉีดในหญิงตั้งครรภ์ คนที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ใช้ยาแอสไพรินอยู่ประจำ หรือใช้ยาสตีรอยด์ขนาดสูงมานาน อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้ สำหรับหญิงวัยเจริญพันธุ์ (๑๕-๔๕ ปี) หากไม่แน่ใจว่าเคยเป็นโรคนี้หรือยัง ควรปรึกษาแพทย์ ตรวจดูว่ามีภูมิคุ้มกันต่อโรคนี้หรือยัง ถ้ายัง แพทย์อาจแนะนำให้วัคซีนป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์ขณะตั้งครรภ์ และหลังฉีดวัคซีนชนิดนี้ ควรคุมกำเนิดนาน ๓ เดือน จึงจะสามารถตั้งครรภ์ได้อย่างปลอดภัย

๒. สำหรับผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยโรคนี้ การฉีดวัคซีนอาจไม่ทันกาล ถ้าจำเป็นแพทย์อาจแนะนำให้ฉีดเซรุ่ม ที่มีชื่อว่า varicella-zoster immune globulin (VZIG) เป็นการฉีดภูมิคุ้มกันเข้าไปโดยตรง มักจะฉีดให้กับผู้ที่สัมผัสโรคอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงตั้งครรภ์ ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาว และทารกที่มีแม่เป็นอีสุกอีใสช่วง ๕ วันก่อนคลอดถึง ๒ วันหลังคลอด

ความชุก   โรคนี้พบได้บ่อยในทุกวัย แต่พบมากในช่วงอายุ ๕-๙ ขวบ เนื่องจากเป็นโรคที่ติดต่อกันได้ง่าย เด็กทุกคนจึงมีโอกาสเสี่ยงต่อการติดโรคนี้ ถ้าไม่ได้ฉีดวัคซีนป้องกันเสียแต่เนิ่นๆ

ข้อมูลสื่อ

296-004
นิตยสารหมอชาวบ้าน 296
ธันวาคม 2546
รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ