• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

เฉียดตายจากภาวะไตวายเรื้อรัง (๑)

เฉียดตายจากภาวะไตวายเรื้อรัง (๑) อาการเริ่มต้น และอาการทรุดหนัก (วิกฤติ)


"เฉียดตายจากภาวะไตวายเรื้อรัง" ถ่ายทอดจากประสบการณ์ ของผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง ทยอยลงเป็นตอนๆ เพื่อเป็นอุทาหรณ์แก่ผู้ป่วยรายอื่นๆ และญาติ รวมถึงผู้อ่านที่สนใจ ว่าเมื่อมีอาการผิดปกติใดๆ เกิดขึ้นกับร่างกายของเรา ก็ควรจะต้องดูแลเอาใจใส่อย่างต่อเนื่อง และอย่ามองข้ามอาการผิดปกติใดๆ ที่เกิดขึ้น

๑. อาการเริ่มต้น
ตอนที่รู้ว่าตัวเองมีปัญหาเกี่ยวกับโรคไต ขณะนั้นอายุ ๒๕ ปี ใช้ชีวิตประจำวันปกติ ยังคงเรียนหนังสือ ทำงานได้เหมือนคนทั่วไป เล่นกีฬาที่ชอบได้ คือ ศิลปะการป้องกันตัว จะไปฝึกสัปดาห์ละ ๓-๔ ครั้ง จนกระทั่งมีงานเพิ่มมากขึ้น และเริ่มเหนื่อยจึงไม่ค่อยได้ฝึก และห่างไปในที่สุด เนื่องจากไม่มีอาการอะไรผิดสังเกตอย่างชัดเจน นอกจากถ้ากินเนื้อสัตว์ชนิดใดก็ตาม ติดต่อกันหลายๆ วัน โดยเฉพาะอาหารทะเล จะมีผื่นสีแดงเป็นจ้ำๆ ขึ้นตามมือ เท้า และแขน เหมือนกับอาการแพ้อาหารธรรมดาๆ จึงต้องกินยาแก้แพ้ (anti-histamine) ตามที่หมอสั่ง อาการแบบนี้จะเป็นอยู่ราวๆ ๒ สัปดาห์ ด้วยเหตุนี้จึงลดการกินเนื้อสัตว์ทุกชนิด บางช่วงต้องกินมังสวิรัติ เพราะเข้าใจว่าเนื้อสัตว์จะช่วยทำให้ไตเสีย อาหารเค็ม อาหารรสจัดก็เช่นกัน จะทำให้ไตเสื่อมสภาพมากยิ่งขึ้น เวลาสั่งอาหารก็จะบอกแม่ครัวทุกครั้งว่า ไม่เอาเค็ม ไม่ใส่ผงชูรส

บางวันเท้าทั้ง ๒ ข้างจะบวม คิดว่าเป็นเพราะเดินทำงานทั้งวัน เท้าก็ย่อมจะบวมเป็นธรรมดา จนมองข้ามอาการที่ไม่ธรรมดาแบบนี้ ความไม่เข้าใจอาการของโรคไตวายเรื้อรังอย่างแท้จริง เป็นสาเหตุที่ทำให้การรักษาซับซ้อนยิ่งขึ้น พอเริ่มเข้าปีที่ ๘ ขณะนั้นอายุ ๓๒ ปี รู้สึกเหนื่อยกับการทำงานมาก แขนขาไม่ค่อยจะมีแรง มีอาการปวดหลังที่บริเวณบั้นเอวทั้ง ๒ ข้างมาก จนต้องไปหาหมอ จึงได้รู้ว่าไตอักเสบมากขึ้น จากการเจาะเลือดและตรวจปัสสาวะ ผลออกมาว่ามีของเสีย คือ ยูเรียสูงถึง ๖๐ มิลลิกรัม/เดซิลิตร และครีอะตินิน (creatinine) สูงถึง ๓.๘ มิลลิกรัม/เดซิลิตร  ผลตรวจปัสสาวะมีโปรตีน ๔ บวก เม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาวจำนวนมาก ซึ่งในคนปกติแทบจะไม่มีเลย ต้องนอนพักในโรงพยาบาลหนึ่งสัปดาห์ หมอแนะนำว่าให้งดเนื้อสัตว์และงดเค็ม ให้พักผ่อนมากๆ ห้ามทำงานหนัก ได้ยาลดความดัน ๒ อย่างและยาขับปัสสาวะ

ตัดสินใจลาออกจากงานจะได้พักผ่อนเต็มที่คือการกลับไปอยู่บ้านที่ต่างจังหวัดได้ประมาณ ๖ เดือน ช่วงนั้นฉันอาการดีขึ้น เหนื่อยน้อยเป็นเพราะจำกัดอาหารได้อย่างเคร่งครัด ไม่ต้องเครียดกับการทำงาน ใจก็สบายขึ้น ช่วงนี้ไม่ได้พบหมอเลย อาการคงจะดีขึ้นเรื่อยๆ ถ้าได้พักผ่อนแบบนี้นานๆ หน่อย เป็นเพราะไม่เข้าใจสมุฏฐานของโรค ว่าโรคไตวายเรื้อรังจนถึงระยะสุดท้ายเป็นอย่างไร ไม่เคยได้สัมผัสกับคนที่เป็นโรคนี้เลย จึงได้แต่คิดว่าตัวเองจะค่อยๆ ดีขึ้นเอง ปรากฏว่าเข้าใจผิดถนัด เมื่อมีอาการมากขึ้น ขาบวม บ่อยขึ้น และหลายวันกว่าจะหาย เหนื่อยง่ายขึ้น บางครั้งก็หมดแรงไปดื้อๆ เลย หงุดหงิด เบื่ออาหารอย่างมาก กินข้าวไม่เกิน ๒-๓ คำ ก็อยากจะอาเจียนออกให้หมด ไม่หิวน้ำเลย สมองตื้อคิดอะไรไม่ออก บางวันจะปวดหัวมากขนาดตาลายไปเลย มีอาการปวดหลังจนเดินแทบไม่ได้ ปัสสาวะน้อยลงจนแทบจะไม่มีเลยในตอนกลางวัน แต่จะมีปัสสาวะสัก ๒-๓ ครั้งในตอนกลางคืน สังเกตได้ว่าปัสสาวะเป็นน้ำใส ผิดกับปัสสาวะตอนปกติที่มีสีเหลืองอ่อน จนถึงสีเหลืองเข้ม แล้วปัสสาวะในตอนกลางคืนก็เริ่มหายไป จนแทบไม่มีปัสสาวะเลยทั้งกลางวันและกลางคืน ซึ่งเป็นสัญญาณอันตรายอย่างยิ่งของอาการไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย และนำมาซึ่งอาการไตวายในที่สุด

อาการทางด้านร่างกายอื่นๆ ก็คือ

๑. เป็นตะคริวบ่อยมากทั้งกลางวันและกลางคืน
๒. มือเท้าจะชาและบวมเห็นได้ชัด
๓. หายใจติดขัดจนหอบ กลางคืนต้องนอนในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน
๔. หนาวสั่นบ่อย ทำให้ชอบนั่งอยู่กลางแดดในช่วงกลางวัน
๕. เล็บมีสีขาวซีด เนื้อในของเล็บมีอยู่แค่ครึ่งเดียว
๖. ผนังตาด้านในทั้ง ๒ ข้างมีสีขาวซีด แววตาไม่สดใส ตาขาวก็ดูออกสีเหลืองซีดๆ
๗. กินข้าวน้อยมากแต่น้ำหนักไม่ลดลงเลย ไม่มีความอยากที่จะกินอะไรเลย
๘. เมื่อใช้นิ้วกดที่หน้าแข้งก็จะมีรอยบุ๋มอย่างชัดเจน กล้ามเนื้อที่เคยเรียบตึงก็เหลวนุ่มนิ่มเหมือนลูกโป่งใส่น้ำ
๙. ผิวแห้งตกสะเก็ดขาวเล็กๆ มีอาการคันมากจนบางครั้งทนไม่ได้
๑๐. มีจ้ำเลือดขึ้นตามแขน ขา สังเกตได้ชัดอีกอย่างคือ หน้าเริ่มบวม บริเวณใต้คางบวมเหมือนคนที่อ้วนมากๆ ที่มีคาง ๒ ชั้นห้อยย้อยลงมา
๑๑. หิวน้ำแต่ดื่มไม่ลง เพราะรู้สึกว่าในคอตีบตันไปหมด

อาการเหล่านี้ค่อยๆ เป็น และเพิ่มมากขึ้นทุกวัน พยายามอดทนในสิ่งที่ไม่ถูกต้องตลอดเวลาที่พักอยู่ต่างจังหวัด

๒. อาการทรุดหนัก (วิกฤติ)
แล้ววันนั้นก็มาถึง เริ่มหายใจไม่สะดวกตั้งแต่ตอนกลางคืน พอรุ่งเช้าปวดปัสสาวะมาก ค่อยๆ เดินไปเข้าห้องน้ำที่ติดอยู่กับห้องนอน รู้สึกเหนื่อยมากกับการเดินเพียงไม่กี่ก้าว แล้วก็หน้ามืดเป็นลม ศีรษะโขกกับขอบอ่างอาบน้ำ พอดีแม่มาเห็นเข้าก็ช่วยพยุงออกจากห้องน้ำ พอมาถึงเตียงมีอาการหอบถี่มากขึ้น ต้องนั่งตลอด หายใจขาดเป็นช่วงๆ รู้สึกแน่นหน้าอกมาก รู้สึกหนักอึ้งไปทั้งตัว แขน ขา ขยับยากเย็นแสนเข็ญ ลมหายใจที่ออกมาแต่ละครั้งมีกลิ่นของแอมโมเนียด้วย จริงๆ แล้วแอมโมเนียที่ได้กลิ่นก็คือ ยูเรีย เป็นของเสียที่ไตไม่สามารถขับออกมาได้นั่นเอง ของเสียนี้สะสมคั่งค้างอยู่ในร่างกายในระดับที่เป็นอันตรายต่อชีวิตแล้ว ขณะนั้นไม่ต้องการอะไรอีกแล้วในชีวิต นอกจากอากาศหายใจอย่างเดียวเท่านั้น เริ่มโวยวายเพราะหายใจไม่ออก แต่สติยังดีอยู่ บอกกับพ่อแม่ว่า รีบพาไปโรงพยาบาลเพื่อขอออกซิเจนเท่านั้น ไม่ได้บอกว่าอาการถึงขั้นวิกฤติแล้ว

ข้อมูลสื่อ

299-011
นิตยสารหมอชาวบ้าน 299
มีนาคม 2547
ใบพลู