เฉียดตายจากภาวะไตวายเรื้อรัง (๒)
ไปโรงพยาบาล และย้ายโรงพยาบาล ในครั้งที่แล้วได้เล่าถึงอาการเริ่มต้นของโรคไต และอาการทรุดหนักจนถึงขั้นวิกฤติ กระทั่งต้องไปนอนโรงพยาบาล
๓. ไปโรงพยาบาล
การเดินทางจากบ้านไปโรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่งในตัวเมืองนครราชสีมา ต้องใช้เวลา ๓ ชั่วโมง ทรมานที่สุด หายใจหอบและขาดเป็นช่วงๆ ในใจคิดว่าอย่ามาตายบนรถตู้คันนี้เลย สงสารเจ้าของรถ ตอนแรกๆ ก็นั่งอยู่บนเบาะรถดีๆ ต่อมาเริ่มทรงตัวไม่ได้ ค่อยๆ เลื่อนไถลลงมานั่งอยู่ที่พื้นรถ ศีรษะพาดอยู่บนเบาะที่นั่ง มือ ๒ ข้างก็พยายามเกาะเบาะรถไว้บ้าง ตกลงข้างตัวบ้าง ในใจก็คิดว่าทำไมรถวิ่งช้าจังเลย ลมหายใจค่อยๆ เบาลงๆ เริ่มทำใจให้มีสมาธิ นึกถึงพระพุทธเจ้า นึกถึงพ่อแม่ ว่าลูกคงไม่มีโอกาสตอบแทนบุญคุณ ขอไว้เป็นชาติหน้าเถอะ... ใจลอย บทสวดมนต์อะไรหนอ นึกไม่ออกเลย ได้แต่ท่องพุทโธ พุทโธ อยู่ในใจ ทันใดนั้น เสียงแม่บอกว่าถึงโรงพยาบาลแล้วให้ลงได้ แต่ขยับตัวไม่ได้เสียแล้ว ชาไปหมด จำได้ว่ามีผู้ชายใส่เสื้อสีขาว ๓-๔ คน มาช่วยกันอุ้มออกจากรถไปนอนอยู่บนเตียงเข็น พอลงนอนปุ๊บก็หายใจไม่ได้เลย รู้สึกว่าลมหายใจถูกปิดตายหมด มีแรงเท่าไรก็ดิ้นสุดแรง ปากก็ตะโกนว่า "ขอออกซิเจนๆ อากาศไม่พอ"
ผู้ชายคนหนึ่งนำหน้ากากใสๆ มาครอบที่ปากและจมูก แต่ไม่ได้ผล ดิ้นหนีพร้อมกับตะโกนว่า "ไม่พอๆ" เขารีบดึงหน้ากากออก แล้วเปลี่ยนเป็นลูกยางใบใหญ่ที่ปลายด้านหนึ่งเป็นท่อพลาสติกกลมใส่ในปากแทน แล้วบีบลูกยางนั้นเพื่อให้อากาศเข้าทางปากได้มากขึ้น รู้สึกได้แค่แรงบีบของอากาศที่เข้ามาในปากได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น สติสัมปชัญญะก็ดับวูบไปเลย ลืมตาขึ้นมาครั้งแรกหลังจากสลบไป ๒ วันเต็มๆ เหมือนกับคนที่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ มองเพดานสีขาว มีนาฬิกาแขวนอยู่ที่ผนังด้านตรงข้ามกับเตียง สามารถมองเห็นเวลาได้อย่างชัดเจน
เอ๊ะ! ยังไม่ตายหรือนี่ เวลาตอนนั้นประมาณ ๑๐ โมงเช้า ทำไมห้องนี้เตียงเยอะจังเลย ทุกเตียงมีคนนอนเต็มไปหมด เหลือบมองดูตัวเองถูกใส่เสื้อขาวเนื้อหยาบๆ ประทับตราของโรงพยาบาลด้วย ข้อมือทั้ง ๒ ข้างถูกมัดไว้กับเตียง ขาขยับไม่ได้เลย เป็นอัมพาตหรือเปล่านะ ต้องหลับตาอีกครั้งเพื่อตั้งสติทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น พอสติกลับมาได้ครบถ้วนถึงได้ตระหนักว่า มาถึงโรงพยาบาลได้ไม่กี่นาทีก็สลบไป และขณะนี้ได้รับการรักษาอย่างไรก็ยัง ไม่รู้ เอ...จะถามใครดีนะ พูดไม่ได้ เพราะมีท่อพลาสติกคาอยู่ในปากเพื่อช่วยหายใจ ท่อนี้ลึกลงไปถึงในคอ จะกลืนน้ำลายก็ยาก และทุกครั้งที่ขยับหัวไปมารู้สึกเจ็บคอมากด้วย พยายามมองดูคนรอบข้างว่าพวกเขาเป็นอะไรกันบ้าง มองเห็นบางคนดูเหมือนหลับปกติ บางคนก็ถูกมัดเหมือนกัน บางคนมีแผลที่ก้นและหลังเป็นวงๆ หลายวง บางคนก็นอนเอะอะโวยวายเบาๆ รู้สึกว่าอาการของตัวเองดูเหมือนคนปางตาย มองเห็นคนเดินไปมานอกห้อง รับรู้ถึงความร้อนรอบๆ ตัวว่าร้อนอบอ้าวพิกล คล้ายๆ กับว่ากำลังยืนอยู่ใกล้เตาอบมาก และต้องการพัดลมเปิดเบาๆ เพื่อไล่อากาศร้อนนี้ออกไป พัดลมที่เพดานมีตั้งหลายตัว แต่ไม่เปิดสักตัวเดียว ทำให้ร้อนมากจนหายใจลำบากเหลือเกิน
มีพยาบาลคนหนึ่ง อายุประมาณ ๓๐ ปีเดินมาที่เตียง พร้อมกับแนะนำตัวว่า เป็นพยาบาลพิเศษเฝ้าไข้ และตอนกลางคืนก็จะเป็นหน้าที่ของพยาบาลอีกคนหนึ่งเปลี่ยนเวรกัน เธอเล่าว่า สลบไม่ได้สติเลย ข้าม ๒ คืนเต็มๆ หมอได้เจาะช่องท้องเพื่อเอาน้ำส่วนเกินและของเสียออกจากร่างกายจนอาการอยู่ในขั้นที่ปลอดภัยแล้ว แต่ยังต้องใช้เครื่องช่วยหายใจอยู่ หมอต้องต่อท่อสายยางทางจมูกด้วย เพราะต้องให้อาหารเหลว เธอจะใช้เครื่องดูดเสมหะทุกครั้งที่มีเสมหะค้างอยู่ในคอ และการใช้ท่อสายยางเส้นเล็กๆ สอดเข้ามาในท่อช่วยหายใจทางปากเพื่อดูดเสมหะ จะรู้สึกเจ็บมากและสำลักทุกครั้ง แต่ถ้าไม่ยอมให้ทำก็จะหายใจไม่ออก ต้องทนเจ็บมากในขณะที่มีการดูดเสมหะ เพราะปลายท่อพลาสติกที่สอดลงในคอจะขูดผนังหลอดลมด้วย
ใน ๒ วันแรกไม่รู้เลยว่ามีใครมาเยี่ยมบ้าง เช้าวันที่ ๓ ลืมตาเห็นแม่ยืนอยู่ข้างเตียงแล้ว แม่บอกว่าพ่อก็มาแต่ยืนอยู่ตรงระเบียงนอกห้อง มองออกไปเห็นพ่อยืนอยู่อย่างกังวล เข้าใจเอาเองว่าพ่อคงทนทำใจไม่ได้ที่เห็นลูกต้องอยู่ในสภาพครึ่งเป็นครึ่งตายแบบนี้ บอกแม่ด้วยสายตาว่า แม่ไม่ต้องห่วงหรอก รู้สึกดีแล้ว หายใจได้แล้ว อีกไม่กี่วันกลับบ้านได้ แม่ยิ้มให้กำลังใจ แล้วพูดว่า "แม่ต้องไปรอเข้าคิวซื้อยาพิเศษก่อน"อยากจะถามแม่ว่าทำไมพยาบาลไม่จัดการให้ แต่พูดไม่ได้เพราะติดท่่อช่วยหายใจที่คาอยู่ในคอ หลังจากที่แม่กลับไปแล้วตอนเที่ยงอยู่คนเดียว นอนมองดูเตียงข้างๆ ว่าพวกเขาถูกทำอะไรกันบ้าง... ได้เวลาอาหารก็มีพนักงานหญิงนำอาหารเหลวมาใส่ให้จากท่อที่อยู่ในจมูก พนักงานอายุประมาณ ๒๐ ปี รูปร่างอยู่ในขั้นพอใช้ แต่กิริยามารยาทหยาบคายมาก พูดจาถากถางแล้วทำท่าทางกระแทกกระทั้นเสียงดัง ตอนบ่ายมีพยาบาลอีกคนมาเช็ดตัวให้อย่างหยาบๆ ท่าทางไม่ค่อยเป็นมิตรเหมือนคนแรกเลย พอใกล้จะหลับก็มีพนักงานมาเจาะเลือดตรงข้อพับแขนซ้าย และแทงเข็มควานหาหลอดเลือด ทำเหมือนกับว่าคนไข้ไม่มีความรู้สึกเจ็บเลย โกรธพนักงานพวกนี้มากทำให้คืนนั้นหลับๆ ตื่นๆ อยากให้ถึงตอนเช้าเร็วๆ และพยาบาลที่เฝ้าไข้หายไปไหนก็ไม่รู้
ตอนสายๆ ของวันที่ ๔ มีหมอผู้หญิงคนหนึ่งมาตรวจ และอ่านแฟ้มที่ปลายเตียง พยายามถามหมอว่า หมอรักษาอย่างไร แต่ดูเหมือนว่าหมอไม่สนใจเลย หมอมัวแต่อ่านประวัติการรักษาอยู่ ทำให้รู้สึกว่าหมอไม่มีมนุษยสัมพันธ์กับคนไข้เลย หมอไม่พูดแม้แต่คำว่า "สวัสดี" กับคนไข้ อยากให้หมอสนใจตัวคนไข้ด้วย คงจะช่วยในเรื่องสภาพ ของจิตใจได้มากทีเดียว หรือว่าหมออาจจะยุ่งเกินไป ผิดหวังอย่างมากที่เลือกมารักษาที่โรงพยาบาลนี้ และบอกกับตัวเองว่าจะต้องไปจากโรงพยาบาลนี้ให้เร็วที่สุด
๔. ย้ายโรงพยาบาล
หมอผู้หญิงไปได้สักพักใหญ่ๆ ก็มีอาจารย์พานักเรียนพยาบาล ๑๐ กว่าคนมาศึกษาคนไข้ พวกนักเรียนพยาบาลมาดูที่เตียง บางคนคงรู้สึกทุเรศ บางคนคงสงสาร บางคนคงจะเฉยๆ...ทนไม่ได้จริงๆ ที่มีคนมาจ้องมองแบบนี้ ในขณะที่โต้ตอบอะไรไม่ได้เลย พยายามหลับตาแล้วคิดว่า ช่างมันๆ ใครอยากมองก็ให้เขามองไปให้ พอใจ และจะทนอยู่ในสภาพนี้อีกนานสักเท่าไหร่ พี่สาวมาเยี่ยมตอนบ่ายๆ ใช้ภาษาใบ้กันอยู่นานก็ยังไม่รู้เรื่องสักที จนพี่สาวต้องยอมแกะเชือกผ้าที่มัดมือข้างขวาออก แล้วเอาปากกากับกระดาษมาให้เขียน พยายามเขียนให้ดีที่สุดแต่ก็ยังเขียนหนังสือไทยไม่ได้ ตัวหงิกงอจนอ่านไม่รู้เรื่อง นิ้วมือยังไม่มีแรงพอที่จะเขียนได้ นึกขึ้นมาได้ว่าต้องเขียนเป็นภาษาอังกฤษตัวพิมพ์ใหญ่ โดยค่อยๆเขียน ค่อยๆขีดทีละเส้น พออ่านเป็นตัวๆ ได้บวกกับการเดาของพี่สาว การสื่อสารถึงรู้เรื่อง
พยาบาลไปตามหมอมาให้ คราวนี้เป็นหมอผู้ชายท่าทางรู้เรื่องดีกว่าหมอผู้หญิงตอนเช้า มองดูพี่สาวคุยกับหมออยู่นาน ในที่สุดหมอยอมให้ย้ายโรงพยาบาลเข้ากรุงเทพฯ ได้ ทว่ากว่าจะได้ออกจากโรงพยาบาลในตัวเมืองนครราชสีมา เพื่อเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เป็นเวลาเกือบตี ๒ เพราะต้องรอรถพยาบาลจากกรุงเทพฯ มารับ และพี่สาวก็นั่งมาในรถพยาบาลพร้อมกัน อึดอัดมากระหว่างนั่งอยู่ในรถพยาบาล และเจ็บคอทุกครั้งที่รถสะเทือนเพราะถนนไม่ดี พยาบาลผู้ชายต้องใช้เครื่องดูดเสมหะ ๒-๓ ครั้งที่รถจอด หลับไม่ลงได้แต่ลืมตาดูหลอดไฟสี่เหลี่ยมเล็กๆ ที่อยู่บนเพดานรถ บางครั้งก็มองดูพี่สาวที่นั่งหลับอยู่ข้างๆ และนึกขอบคุณที่ย้ายออกจากโรงพยาบาลที่นครราชสีมาได้สำเร็จ รถเข้ามาในเขตกรุงเทพฯ แล้ว สังเกตได้จากการเบรกบ่อยมากขึ้น และสามารถมองเห็นแสงสะท้อนของไฟฉุกเฉินขอทางของรถพยาบาลที่สะท้อนกระจกรถที่ขับตามหลัง ณ เวลานี้รู้สึกเหนื่อยมาก และอยากหลับจริงๆ
- อ่าน 5,763 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้