• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

สมาธิ พิชิตความปวด

สมาธิ พิชิตความปวด
 

คุณอรทัย ชัยฐานียชาติ เคยป่วยเป็นมะเร็งเต้านม และได้รับการผ่าตัดแล้วเธอเป็นผู้ที่แพ้ยาทุกชนิดในการผ่าตัด เธอจึงเจ็บปวดจากแผลผ่าตัดมาก แต่เธอใช้วิธีทำสมาธิเพื่อระงับความปวด และได้ผลอาการปวดลดลง ตามที่ “หมอชาวบ้าน” เคยสัมภาษณ์เรื่องราวของเธอลงในคอลัมน์เปลี่ยนชีวิต ฉบับ ๒๑๕ มีนาคม ๒๕๔๐ แล้วนั้น บทความต่อไปนี้คุณอรทัยได้บันทึกประสบการณ์ในการปฏิบัติตนของเธอขณะเจ็บป่วยเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันเผื่อว่าผู้อ่าน “หมอชาวบ้าน” สนใจจะนำไปปฏิบัติบ้าง

มะเร็งกายมะเร็งใจ
หลังจากดิฉันได้ผ่าตัดเต้านม เนื่องจากเนื้องอกเป็นมะเร็งจึงทำให้ใคร่รู้ในเรื่องมะเร็งมากขึ้น นอกจากจะสอบถามจากคุณหมอรักษาแล้วยังได้หาหนังสือเกี่ยวกับโรคมะเร็งและอาหารต้านมะเร็งมาอ่านหลายเล่มก็พอจะสรุปคร่าวๆ ได้ดังนี้

โรงมะเร็ง เกิดขึ้นจากสารพิษหรือสารก่อมะเร็ง เข้าสู่ร่างกายมากเกินกว่าที่ร่างกายจะขับออกมาได้หมด ดังนั้นร่างกายจึงพยายามกำจัดสารพิษให้อยู่เป็นที่ โดยสะสมในรูปของเนื้องอกหรือมะเร็ง เนื้องอกหรือมะเร็งเปรียบเสมือนโรงเก็บสารพิษจากกระแสเลือดนั่นเอง การก่อตัวของมะเร็งนั้นจะใช้เวลานานประมาณ ๑๐ - ๓๐ ปี ซึ่งในช่วงเวลาอันยาวนานนี้เซลล์ปกติจะค่อยๆ เปลี่ยนรูปไปทีละน้อยในทางเสื่อม ร่างกายของคนเราประกอบไปด้วยเซลล์จำนวน ๕๐,๐๐๐ ล้านเซลล์ และในจำนวนนี้ ถ้าหากว่ามีเพียงหนึ่งเซลล์ที่กลายเป็นเซลล์มะเร็ง แบ่งตัวเองประมาณ ๓๐ - ๓๒ ครั้ง จะมีเซลล์มะเร็งประมาณร้อยละล้านเซลล์ ซึ่งทำให้เกิดก้อนมะเร็งขนาดครึ่งเซนติเมตร และถ้าหากว่ามันแบ่งตัวไปเรื่อยๆ โดยไม่มีอะไรไปขัดขวางจนกระทั่งเกิดเซลล์มะเร็งในร่างกายทั้งหมดหนึ่งล้านเซลล์จะทำให้ผู้ป่วยถึงแก่ความตายได้

นี่คือ การก่อเกิดของมะเร็งทางร่างกาย ซึ่งไม่มีใครทราบได้เลยว่าขณะนี้ในร่างกายของตนนั้นมีสารพิษหรือสารก่อมะเร็งมากน้อยสักเท่าไร กว่าจะรู้ก็เจอเป็นก้อนเนื้อร้ายเสียแล้ว บางคนอาจคิดว่าจนเองโชคร้ายเสียเหลือเกินที่เป็นโรคมะเร็งอย่างเช่นดิฉันเป็นต้น เมื่อได้ทราบจากคุณหมอ แรกๆ ดิฉันแทบจะหยุดความคิดปรุงแต่งไม่ได้ แต่แล้วธรรมชาติก็ปราณีมนุษย์เสมอ หลังจากหายตกใจ เศร้าใจ และเสียใจแล้วก็มาถึงการทำใจ ได้ค้นพบความปลอดโปร่งขึ้นมาแทน ต่อไปนี้ภาระต่างๆ ได้สิ้นสุดแล้ว เพราะจะต้องอยู่ในฐานะผู้ป่วยจำเป็น จะต้องละวางภาระทางกายทางใจออกให้หมด เพื่อเตรียมตัวในการผ่าตัด

เอาความเจ็บปวดเป็นกรรมฐาน
ดังที่ได้เล่าไปแล้วเมื่อครั้งที่ “หมอชาวบ้าน” สัมภาษณ์ลงคอลัมน์ “เปลี่ยนชีวิต” ถึงการปฏิบัติสมาธิวิปัสสนา ทำให้จิตบรรลุถึงธรรมโอสถที่สามารถระดับความเจ็บปวดได้โดยไม่ต้องพึ่งพา ครั้งนี้ก็จะเล่าต่อเมื่อกายยังมีบาดแผลอยู่ ความเจ็บปวดก็คงยังมีอยู่เป็นธรรมดาจิตเมื่อคุ้นเคยกับความเจ็บปวด ก็ยึดเอาความเจ็บปวดเป็นอารมณ์กรรมฐานน้อมไปพิจารณาส่วนต่าง ๆ ที่ประกอบเข้าเป็นร่างกาย จนปรากฏเห็นว่า ร่างกายนี้ก็สักแต่ว่าธาตุตามธรรมชาติทั้งสี่ มีธาตุน้ำ ดิน ลม ไฟ มาประชุมกัน ตั้งอยู่ได้ไม่นาน ผลสุดท้ายก็ต้องแตกดับไปตามกาลเวลา ธาตุทั้งสี่ก็จะแยกออกจากกันไปสู่สภาวะของแต่ละธาตุไม่มีส่วนใดที่จะเข้าไปยึดถือว่าเป็นตัวตน บุคคล เรา เขา เมื่อจิตดำเนินการพิจารณาอายอยู่นั้นความรู้สึกตัวทั่วพร้อมจึงเกิดขึ้นเต็มรูปแบบ พร้อมกับการตื่นของธาตุรู้หรือพุทธะ


เมื่อธาตุรู้ถูกปลุกให้ตื่นการทำหน้าที่ของธาตุรู้ดำเนินต่อไป ดังนี้

๑. แยกจิตออกจากกาย จะเห็นได้ว่าจิตก็คือจิต กายก็คือกาย ซึ่งเป็นคนละส่วนกัน เหมือนน้ำกับน้ำมัน เมื่อกายป่วยจิตจะป่วยไปด้วย นอกจากจิตไม่ป่วยแล้ว จิตยังมีส่วนช่วยกายเข้าสู่ความเป็นปกติได้เร็วขึ้น

๒. แยกความอยากออกจากความหิว เมื่อร่างกายเกิดอาการหิวโดยปกติแล้วความอยากจะเข้ามาผสมโรง ทำให้แสวงหาของเอร็ดอร่อยมาบริโภค แต่เมื่อธาตุรู้แยกความอยากออกไปร่างกายเกิดความต้องการ (หิว) ปัญญาจะออกมาทำหน้าที่ นั่นก็หมายความว่าการบริโภคก็เพื่อนำสารอาหารที่มีประโยชน์เข้าไปบำรุงร่างกาย ให้ดำรงอยู่ได้ด้วยความเป็นปกติเท่านั้น การพิจารณาในการบริโภคจึงเกิดขึ้นในทุกขณะที่ร่างกายต้องการ

๓. แยกอารมณ์ออกจากความรู้สึก (เวทนา) ตามปกติเมื่อร่างกายกับสิ่งใดไม่ว่าจะเป็นเย็น ร้อน อ่อน แข็ง หรือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ด้วยอารมณ์ชอบไม่ชอบก็จะเข้ามาผสมโรงทำให้เกิดความอยากที่จะกระทำการอย่างไดอย่างหนึ่งไปตามอารมณ์ แต่เมื่อธาตุรู้ได้แยกอารมณ์ออกไปแล้ว ทุกอย่างที่มากระทบก็จะปรากฏตามความเป็นจริง ปัญญาก็จะจัดการกับสิ่งต่าง ๆ ที่มากระทบตามเหมาะตามควรต่อไป

๔. แยกความปรุงแต่งฟุ้งซ่านออกจากความคิด ตามปกติเมื่อคนเราคิดอะไรแล้วมักจะหยุดไม่ได้ บางครั้งถึงกับนอนไม่หลับ นั่นก็เป็นเพราะความปรุงแต่งฟุ้งซ่านเข้ามาผสมโรงเมื่อธาตุรู้แยกความปรุงแต่งฟุ้งซ่านออกไปแล้ว ก็จะเหลือแต่ความคิดล้วนๆ ซึ่งเป็นอิสระ คิดแล้วเมื่อไม่มีประโยชน์ก็หยุดได้ การสำรวม กาย วาจา ใจ ก็จะเกิดขึ้นไปพร้อมๆ กับความคิด

เมื่อดิฉันฝึกสมาธิวิปัสสนาตามแนวหลวงพ่อเทียนใหม่ๆ ท่านได้เล่าให้ฟังว่า การปฏิบัติอย่างที่ท่านแนะนำให้ทำอยู่นี้เป็นการปฏิบัติเพื่อให้รู้สึกตัว เมื่อพละอินทรีย์แก่กล้าก็จะไปเขย่าธาตุรู้หรือพุทธะให้ตื่น ท่านบอกว่า ทุกคนสามารถบรรลุได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิง ผู้ชาย คนไทย จีน ฝรั่ง หรือว่าเชื้อชาติใด ภาษาใด ฐานะใด ก็แล้วแต่ ถ้ามีความพยายามต่อเนื่องสามารถบรรลุได้ภายในหนึ่งวัน ภายในเจ็ดวัน ภายในเจ็ดเดือน ภายในเจ็ดปี ถ้าจำไม่ผิดก็คงจะกว่าเจ็ดปีแล้วกระมัง กว่าธาตุรู้ของดิฉันจะถูกปลุกให้ตื่น มะเร็งมีส่วนช่วยเขย่าธาตุรู้ของดิฉันให้ปรากฏ ถ้าหลวงพ่อท่านมีชีวิตอยู่ ท่านคงจะภูมิใจว่าสิ่งที่ท่านได้ค้นพบ และนำมาพร่ำสอนแก่สาธุชน ตลอดชีวิตการบรรลุธรรมของท่านนั้น ได้สัมฤทธิ์ผลตามที่ท่านได้ยืนยันไว้ แม้แต่ฆราวาสผู้ครองเรือนถ้าใฝ่ใจต่อการปฏิบัติ แม้จะให้ผลช้าตามฐานะ ก็คุ้มค่าต่อการพิสูจน์ก็ขอระลึกถึงหลวงพ่อด้วยความเคารพอย่างสูง

การบรรลุถึงธาตุรู้หรือพุทธะของดิฉันนั้นคงจะแปลกกว่าท่านอื่นๆ ตรงที่ธาตุรู้ถูกปลุกให้ตื่นโดยมีความเจ็บป่วยเป็นผู้ช่วย ทุกอย่างมีคุณและมีโทษ ความเจ็บป่วยถ้ารู้จักหาประโยชน์ ก็จะได้ประโยชน์มหาศาล ตามที่ได้เล่ามาเพราะความเจ็บป่วยสำหรับดิฉันนั้น พาไปสู่ความพ้นทุกข์จะเห็นได้ว่าจิตเองก็เป็นมะเร็ง ธาตุรู้เปรียบเสมือนหมอผ่าตัดเมื่อรู้ว่าเซลล์มะเร็งอยู่ส่วนใดของร่างกายก็ทำการผ่าตัดทิ้งไปคงเหลือแต่เซลล์ดีๆ ไว้ให้ร่างกายมีชีวิตอยู่

สำหรับมะเร็งใจ จะสามารถรู้ได้โดยวิธีการปฏิบัติสมาธิ เพื่อเขย่าธาตุรู้ให้ตื่น เมื่อธาตุรู้ปรากฏปัญญาก็จะกลายเป็นหมอผ่าตัด แยกแยะมะเร็งร้ายออกจากจิตใจได้เอง เมื่อมะเร็งร้ายโดนกำจัดออกไปจากจิตใจ ความสะอาด สว่าง สงบ ก็จะเกิดขึ้นมาแทน ขอผู้ป่วยทั้งหลายอย่าเศร้าโศกนาน จงเร่งหาข้อดีจากความเจ็บป่วย ในการป่วยแต่ละครั้งอย่างน้อยก็ขอให้รู้จักตัวเอง เพราะการเจ็บป่วยจะมีญาติมิตรมาเยี่ยมให้กำลังใจซึ่งแสดงให้เห็นว่า เรามีความดีพอที่จะทำให้คนรอบข้างมาเอื้ออาทร ความเจ็บป่วยทำให้มนุษย์วางทุกสิ่งทุกอย่างได้ ซึ่งเป็นของขวัญจากธรรมชาติ แม้ที่สุดร่างกายนี้ก็จะต้องแตกดับไป ดิฉันขอเป็นกำลังใจให้ผู้ป่วยทุกท่านค่ะ

ในการเจ็บป่วยครั้งนี้ ดิฉันพอจะสรุปได้ว่า

  • สารก่อมะเร็งทางกาย ได้แก่สารพิษฆ่าแมลง สารเคมีต่างๆ ควันพิษจากท่อไอเสียรถ พาหะที่นำสารพิษหรือสารก่อมะเร็งเข้าสู่ร่างกาย ก็คือ อาหาร น้ำดื่ม อากาศ และขาดการออกกำลังกาย

วิธีป้องกัน ให้ระวังและพิจารณาอาหาร น้ำดื่ม ก่อนจะกินว่ามีความสะอาดมากน้อยเพียงใด มีธาตุอาหารที่ร่างกายต้องการครบห้าหมู่หรือไม่ ควรงดการสูบบุหรี่หรือดื่มเหล้า อากาศดี ก็ควรหาเวลาไปพักผ่อน ทำสมาธิใต้ต้นไม้ในป่า หรือในสวนสาธารณะเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์บ้าง และสุดท้ายควรจะได้ออกกำลังกายทุกวัน หรืออย่างน้อยสัปดาห์ละ ๔ ครั้ง เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงไว้ นอกจากจะทำให้ร่างกายแข็งแรงแล้ว เหงื่อยังช่วยขับสารพิษออกจากร่างกายได้ด้วย
 

  • สารก่อมะเร็งทางใจ ได้แก่ โลภ โกรธ หลง พาหะที่นำมา ก็คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส

วิธีป้องกัน ให้สำรวม ระวัง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพราะเราจะไม่รู้เลยว่าใจเก็บสารก่อมะเร็งเหล่านี้ไว้มากน้อยสักเท่าไร จนกว่าจะได้ปฏิบัติสมาธิวิปัสสนา ให้จิตได้สงบนิ่งนั่นแหละ ถึงจะเห็นสารก่อมะเร็งใจอย่างแท้จริง เมื่อปฏิบัติจนเห็นมะเร็งใจแล้ว ใจเองก็จะต้องปลุกหมอขึ้นมา เพื่อจะผ่าตัดมะเร็งร้ายออกจากใจให้หมด นั่นก็คือการปฏิบัติสมาธิเพื่อเขย่าธาตุรู้หรือพุทธะให้ตื่น ธาตุรู้หรือพุทธะคือหมอตัวจริง ที่จะผ่าตัดมะเร็งร้ายออกจากใจ หน้าที่ของเรา คือ พยายามปลุกหมดให้ตื่นโดยการทำสมาธิ หมอมีอยู่แล้วในกายตน ไม่ต้องไปเที่ยวค้นหาจากที่ไหน ยิ่งปลุกหมอให้ตื่นได้เร็วเท่าไร โอกาสที่จะปลอดจากมะเร็งร้ายในจิตใจก็มีมากขึ้น


จะเห็นได้ว่ามะเร็งกายนั้นต้องอาศัยคุณหมดที่ท่านมีความรู้ความชำนาญในเรื่องของร่างกายมาคอยตรวจรักษาให้ ส่วนมะเร็งใจนั้นตนเท่านั้นที่จะช่วยตนได้ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน

ข้อมูลสื่อ

218-009
นิตยสารหมอชาวบ้าน 218
มิถุนายน 2540
เก็บมาฝาก