สวยแบบเสี่ยง หรือ สวยแบบธรรมชาติ
นพ.ประวิตร พิศาลบุตร
ระยะนี้มีข่าวน่าตกใจเกี่ยวกับเรื่องของความสวยความงามกันหลายข่าว เช่น เรื่องของหมอเถื่อนที่ใช้รถเป็นคลินิกเคลื่อนที่ รับจ้างฉีดซิลิโคนเหลว เพื่อเสริมรูปทรงของใบหน้าและทรวงอก และก็ยังมีผู้มาใช้บริการกันมากมายโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัย ตามมาด้วยข่าว อย. ตรวจจับครีมหน้าเด้งที่ไม่ได้คุณภาพ หนำซ้ำยังมีสารอันตราย เช่น สารปรอทผสมอยู่ แถมยังมีข่าวเรื่องอาหารเสริมจากต่างประ
เทศที่อ้างว่ากินแล้วสุขภาพแข็งแรง ผิวพรรณสดใส แต่กลับพบว่าอาหารเสริมนี้อาจก่ออันตรายต่อร่างกาย เรื่องของความสวยความงามนั้นเป็นเรื่องที่หลายคนปรารถนา แต่ก็ต้องนึกถึงความปลอดภัยด้วย
ปัจจุบันมีเทคนิคเวชสำอาง และเทคนิคการดูแลผิวหน้าหลายอย่าง ซึ่งแตกต่างกันในเรื่องวิธีการเทคนิคการรักษาและค่าใช้จ่าย ซึ่งขึ้นอยู่กับความพอใจของผู้รับการรักษาและความเหมาะสมในแต่ละราย แต่ต้องเข้าใจว่าการใช้เทคนิคเหล่านี้ถึงแม้จะอยู่ในมือของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็ยังไม่สามารถทำให้สวย โดยไม่มีความเสี่ยงเลยหรือปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ ผู้รับบริการต้องเปิดใจยอมรับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นด้วย ขณะเดียวกันก็ไม่สามารถทำให้สวยนานตลอดไป
เทคนิคการทำให้ใบหน้าเต่งตึงสดใสเท่าที่มี ซึ่งไม่รวมถึงการผ่าตัดตกแต่ง คือ การฉีดคอลลาเจน โดยนำสารสกัดจากเนื้อเยื่อของวัวมาฉีดเพื่อลดริ้วรอยเหี่ยวย่น ซึ่งจะได้ผลทันตา แต่ราคาค่อนข้างแพง แต่จะสวยอยู่ได้ 4-6 เดือน มีโอกาสเสี่ยงต่อการแพ้ และอาจเป็นสาเหตุของโรคภูมิแพ้บางอย่างได้
เทคนิคต่อมาคือ โบทอกซ์ เป็น การนำสารสกัดสารพิษของแบคทีเรียมาฉีดทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว เมื่อฉีดแล้วทำให้หน้าตึง จะไม่เห็นริ้วรอยเหี่ยวย่น เช่น รอยเหี่ยวบริเวณหัวคิ้ว แต่ถ้าตึงมาก ก็ทำให้การเคลื่อนไหวบนใบหน้าไม่เป็นธรรมชาติ แลดูเหมือนคนใส่หน้ากาก เทคนิคนี้ได้ผลแค่ 3-4 เดือนก็ต้องมาฉีดใหม่และสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมาก อาการแทรกซ้อนที่อาจพบได้คือรอยช้ำ จ้ำเลือด ปวดบวมบริเวณที่ฉีด อาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ หนังตาบนตก คลื่นไส้ ใบหน้าแลดูไม่เป็นธรรมชาติ แสดงสีหน้าไม่ได้ จึงไม่ควรฉีดในนักแสดง นักการเมือง ทหาร ซึ่งอาจจำเป็นต้องใช้กล้ามเนื้อใบหน้าแสดงอารมณ์โกรธ ก้าวร้าว ไม่พอใจ ห้ามฉีดในสตรีมีครรภ์ ในผู้ที่กำลังให้นมบุตร และในผู้ที่เป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (myasthenia gravis)
การฉีดยาไม่ว่าจะเป็นคอลลาเจนหรือโบทอกซ์ จำเป็นต้องรับการฉีดจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น การไปฉีดตามร้านเสริมสวยหรือคลินิกเคลื่อนที่อย่างที่เป็นข่าว มักเป็นการใช้ซิลิโคนเหลวฉีดแทน เพราะราคาถูกกว่ามาก บางครั้งผู้ให้บริการจะแอบอ้างว่าสารที่ฉีดเป็นคอลลาเจนหรือโบทอกซ์ แต่แท้ที่จริงแล้วแอบใช้ซิลิโคนเหลวฉีดแทน เมื่อเวลาผ่านไปซิลิโคนเหลวจะไหลย้อยทำให้คางยื่นยาวเหมือนแม่มด เกิดแผลเน่าเฟอะ ผิวหนังอักเสบบวมตะปุ่มตะป่ำเหมือนผิวมะกรูด และเกิดแผลเป็นถาวร ทำให้หน้าผิดรูปร่าง สาวไทยที่อยากสวยหลายคน หน้าพังยับเยินจนแทบฆ่าตัวตาย เพราะฉีดซิลิโคนเหลวนี่เอง ศัลยแพทย์ตกแต่งกล่าวว่า การผ่าตัดขูดเอาซิลิโคนเหลวออกเป็นเรื่อง ยากมาก และได้ผลไม่ดี
ส่วนการฉีดไขมันเข้าไปที่ใบหน้า ขณะนี้กำลังเป็นที่นิยมของพวกดาราที่นิยมฉีดปาก เพื่อให้ปากอิ่มสวย ไขมันที่ฉีดเข้าไปเป็น ไขมันมาจากร่างกายของผู้ฉีดเอง เช่น จากสะโพกหรือขา แต่ต้องฉีด หลายครั้ง เพราะพอนานเข้าไขมันจะยุบหายไปเอง จึงต้องฉีดเติมเสมอ นอกจากนั้นบางครั้งแม้จะฉีดไขมันเข้าที่ใบหน้า ๒ ด้านเท่าๆ กัน แต่ไขมันอาจถูกดูดซึมไปไม่เท่ากัน จึงทำให้ใบหน้าดูบิดเบี้ยวได้
เทคนิคการทำให้หน้าสวยอีกวิธีหนึ่งคือ เทคนิคการขัดหน้า โดย การใช้เครื่องมือพ่นละอองเกล็ดอัญมณีขนาดเล็กเพื่อขัดใบหน้า แต่วิธีนี้ แนะนำว่าคนที่มีผิวคล้ำไม่ควรทำ เพราะอาจโชคร้าย เกิดเป็นรอยแผล เป็นด่างดวงได้
ยังมีวิธีการเสริมความงามอื่นๆ อีก และที่นิยมกันมากคือ การลอกหน้าด้วยสารเอเอชเอ (AHA), ทีซีเอ (TCA) เจสเนอร์ (Jesner) ซึ่งคนส่วนใหญ่เคยได้ยินกันในชื่อของเบบี้เฟช แต่ทางการแพทย์ เรียกว่า เคมิคอลพีลลิ่ง (Chemical peeling) จะทำให้หน้าใสและริ้วรอยตื้นๆ จะหายได้ชั่วคราว หลังลอกหน้าต้องใช้ครีมกันแดด อย่างไรก็ตาม การลอกหน้านี้ อาจเกิดรอยไหม้ได้ จึงควรพิจารณาลอกหน้ากับแพทย์ผิวหนังเท่านั้น
ส่วนผู้ที่ชอบทดลองเครื่องสำอางแปลกๆ ใหม่ๆ โดยไม่ทราบที่มาหรือแหล่งผลิตที่ชัดเจนก็ต้องระวัง เมื่อ ไม่นานสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้ตรวจจับ ครีมหน้าเด้ง เถื่อนจำนวนหลายรายการ พบว่ามีสารอันตรายหลายอย่างเจือปน เช่น สารปรอท ซึ่งอาจทำให้หน้าด่างถาวร กรดวิตามินเอ
ซึ่งบางคนใช้แล้วแพ้จะเกิดผื่นแดงและผิวลอก สารไฮโดรควิโนน ซึ่งหากมีความเข้มข้นสูงจะทำให้เกิดฝ้าถาวร นอกจากนั้นครีม สมุนไพรหลายยี่ห้อที่อ้างว่าผลิตจากสารธรรมชาติ ก็มีสารสตีรอยด์เจือปน ซึ่งเมื่อใช้ต่อเนื่องกัน จะทำให้ผิวหนังฝ่อ สิวเห่อ หลอดเลือดฝอยขยาย ตัว ขนตามใบหน้าขึ้นดก ผิวด่าง
ผิวแตกลาย และอาจทำให้เกิดโรคเริมกำเริบเต็มใบหน้า แม้ในประเทศอังกฤษก็เคยมีงานวิจัยแสดงว่าครีมสมุนไพรจีนที่อ้างว่าเป็นของธรรมชาติ ร้อยละ 70 มีส่วนผสมของสตีรอยด์เฉลี่ยสูงถึง 287ไมโครกรัม ต่อเนื้อครีม 1 กรัม ครีมเหล่านี้มักมีเนื้อครีมสีขาวและมีกลิ่นหอมน่าใช้ วางขายโดยไม่ได้ถูกควบคุม เพราะอ้างว่าเป็นสารธรรมชาติและปราศจากสตีรอยด์ ทั้งที่ความจริงแล้วตรวจพบสตีรอยด์สูงมาก นอกจากนั้นยังมีราคาแพงมาก ผู้ใช้ต้องเสียเงินเฉลี่ยถึง 35 ปอนด์ต่อสัปดาห์ และยังพบว่าสมุนไพรจีนชนิดกินหลายตัวก่อพิษต่อตับโดยตรงด้วย
สำหรับการดูแลผิวพรรณด้วยวิธีธรรมชาติที่ปลอดภัยและสิ้นเปลืองน้อยกว่า มีดังนี้
วิธีที่ 1 การล้างหน้าด้วยสบู่อ่อน เพื่อชำระล้างเหงื่อไคล ไขมันและขี้ไคลออกจากผิวหนัง เวลาล้างหน้าให้ล้างเบาๆ แล้วซับน้ำให้แห้ง ด้วยผ้าขนหนูสะอาด อย่าใช้ผ้าขนหนูถูหน้าแรงๆ เพราะจะทำให้สิวอักเสบมากขึ้น ไม่ควรใช้แปรง ฟองน้ำ หรือสบู่ที่ผสมเม็ดขัดถู ขัดถูใบหน้า เพราะทำให้ใบหน้าระคายเคือง และกระตุ้นให้สิวกำเริบมากขึ้น
วิธีที่ 2 หากเป็นสิวน้อย อาจทายาเองได้ ผู้ที่มีปัญหาสิวเพียงเล็กน้อย เช่น สิวหัวดำ หัวขาว หรือสิวอักเสบเพียง 1-2 เม็ด อาจ หาซื้อยามาทาเองได้ แต่ต้องอ่านฉลากยาให้เข้าใจวิธีใช้โดยละเอียดเสียก่อน หากใช้ครีมทารักษาสิวแล้ว เกิดอาการผิวแห้งหรือระคายเคือง ควรปรึกษาแพทย์ ต้องระวังยาที่โฆษณาว่า รักษาได้ทั้งสิวและฝ้า เพราะยาพวกนี้มักผสมสตีรอยด์ ซึ่งอาจทำให้สิวยุบเร็วจริง แต่มีอาการแทรกซ้อนตามมามากมาย ในกรณีที่เป็นสิวอักเสบมาก จัดเป็นโรคผิวหนัง จำเป็นต้องได้ยาภายใต้การดูแล ของแพทย์ ยารักษาสิวบางตัวอาจทำให้ทารกในครรภ์พิการได้
วิธีที่ 3 พิจารณาให้ดีก่อนใช้เครื่องสำอาง ควรเลือกใช้เครื่องสำอางที่ไม่มีผลต่อการทำงานของผิวหนัง ต้องไม่มีสารสตีรอยด์เจือปน ควรเลือกใช้ครีมให้ความชุ่มชื้น ที่ไม่มีส่วนประกอบ ที่เป็นสารเคมีที่กระตุ้นให้เกิดสิว ไม่ควรใช้เครื่องสำอางที่เหนียวเหนอะหนะ เกินไป เครื่องสำอางที่มีราคาแพงที่สุด
อาจไม่ใช่เครื่องสำอางที่ดีที่สุด หรือที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณ
วิธีที่ 4 การรักษาสิวโดยการผ่าตัด ไม่แนะนำให้บีบแกะสิวออกด้วยตนเอง เพราะจะทำให้เกิดการอักเสบลุกลามและเกิดแผลเป็นได้มาก แพทย์อาจพิจารณากดสิวอุดตันหัวดำออกให้ในกรณีที่จำเป็น ส่วนในกรณีที่มีสิวอักเสบ หรือสิวหัวช้าง การฉีดยาสตีรอยด์เข้าไปในสิวอาจทำให้สิวยุบลงอย่างรวดเร็วเหมาะสำหรับกรณีเร่งด่วน เช่น จะเข้า พิธีแต่งงานในวันรุ่ง ขึ้น แต่วิธีนี้ก็อาจเกิดผลแทรกซ้อนตามมาได้ ส่วนการใช้แผ่นขจัดสิวเสี้ยนนั้น หากใช้บ่อยครั้งเกินไป ผิวอาจอักเสบ ระคายเคืองและเป็นการกระตุ้นให้เกิดสิวมากขึ้นได้
วิธีที่ 5 หลีกไกลรอยเหี่ยวย่นโดย ขจัดสาเหตุต้นตอ รอยเหี่ยวย่น บนผิวหน้าของคนเรา แบ่งเป็น ๓ ชนิดใหญ่ๆ คือรอยเหี่ยวย่นจากอารมณ์ รอยเหี่ยวย่น จากแสงแดด และรอยเหี่ยวแห้ง ผู้ที่มีแต่ความเครียด ชอบหน้านิ่วคิ้วขมวด หรือเลิกหน้าผาก จะเกิดร่องย่นได้ตามหัวคิ้วและหน้าผาก ครีมบำรุงผิวที่อ้างว่า ลบรอยเหี่ยวย่นต่างๆ จึงไม่เป็นจริง เพราะเครื่องสำอางเหล่านี้ออกฤทธิ์เพียง แค่ผิวชั้นนอกสุดคือชั้นขี้ไคล แต่ส่วนที่เสียไปคือส่วนชั้นหนังแท้ การป้องกันรอยเหี่ยวย่น 3 แบบนี้คือ การมีอารมณ์ แจ่มใส อย่าหน้านิ่วคิ้วขมวด เพื่อลดรอยเหี่ยวย่นจากอารมณ์ หลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดจัด เพื่อป้องกันรอยเหี่ยวย่น จากแสงแดด และการใช้ครีมให้ความชุ่มชื้นทาในกรณีของรอยเหี่ยวแห้ง
วิธีที่ 6 รักษาฝ้าและกระโดยการ เลี่ยงแดด ยังไม่มีวิธีใดที่รักษาฝ้าให้หาย ขาดและไม่เกิดขึ้นใหม่ได้อีก
จึงไม่ควรเสียเงินและเวลาให้กับการรักษาฝ้าและกระจนเกินไป ในต่างประเทศถือว่ากระเป็นเสน่ห์ของใบหน้า (cute spots) หนทางที่ดีที่สุดในการป้องกันและรักษาฝ้าและกระ คือการหลีกเลี่ยงแสงแดด ในช่วง 08.00-17.00 น. เพราะรังสีในแสงแดดนอกจากทำให้ฝ้าและกระเข้มขึ้น ยังทำให้ผิวเหี่ยวแก่ และเกิดมะเร็งผิวหนังได้
วิธีที่ 7 พักผ่อนให้เพียงพอ กินอาหารที่มีประโยชน์ การทำงานหนักโดยไม่พักผ่อนเลย หรือเอาแต่เล่นโดยไม่ทำงานให้เป็นแก่นสารต่างมีผลเสียต่อสุขภาพ การพักผ่อนไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายอ่อนแอ ก่อผลเสียต่อผิวได้ การสูบบุหรี่นอกจากจะมีผลต่อสุขภาพของร่างกายทั่วไปแล้วยังทำให้ใบหน้าแลดูแก่ก่อนวัยไปนับ ๒๐ ปี นอกจากนั้น การดื่มเบียร์ ดื่มเหล้า ดื่มไวน์ ตลอดจนยาเสพติดในทุกรูปแบบต่างก่อปัญหาแก่ผิวทั้งสิ้น จึงควรดูแลสุขภาพด้วยการพักผ่อนให้เพียงพอ คือนอนหลับวันละไม่ต่ำกว่า ๘ ชั่วโมง กินอาหารให้ครบหมู่ และดื่มน้ำให้เพียงพอ ไม่มีอาหารเสริมหรือวิตามินมหัศจรรย์ตัวใดที่จะทำให้ผิวสวยได้ หากไม่ปฏิบัติตามกติกาอนามัยพื้นฐานเหล่านี้
วิธีที่ 8 อยากมีผิวสวยต้องไม่เครียด อารมณ์กับสุขภาพผิว ถือเป็นสิ่งที่มีความสัมพันธ์กันแนบแน่น ความเครียดทำให้ผิวหนังอักเสบเป็นลมพิษ ผมร่วง หรือสิวกำเริบขึ้นได้ วิธีหลีกเลี่ยงความ เครียดมีหลายวิธี เช่น การออกกำลังกาย การปฏิบัติตามคำสอนของ ศาสนา การนั่งวิปัสสนา การเล่นโยคะ การนวด การมีอารมณ์ขันมองโลกในแง่ดีและสดใส เหล่านี้ย่อมทำให้จิตใจเบิกบาน และเมื่อมีสุขภาพจิตดีแล้ว สุขภาพผิวก็จะดีตามไปด้วยอย่างแน่นอน
- อ่าน 13,247 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้