• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

สีของผิวหน้า

สีของผิวหน้า


ในขณะที่ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ สีหน้าก็เป็นส่วนประกอบที่สำคัญในการแสดงความรู้สึกภายในใจไปพร้อมๆกัน เราสามารถอ่านความรู้สึกของคนจากสีหน้า เช่น ความพอใจ ไม่พอใจ โกรธ เกลียด กลัว ดีใจ และเสียใจ เป็นต้น

แต่สีหน้าที่จะกล่าวถึงในที่นี้ หมายถึงสีของผิวบนใบหน้าที่อาจสะท้อนให้เห็นถึงสุขภาพของร่างกาย โดยทั่วไปเมื่อเราพบเห็นเพื่อนฝูงหรือคนรู้จักที่มีหน้าตาสดใส ผิวพรรณดีมีเลือดฝาด เราจะประเมินได้ว่าเขามีสุขภาพดี อยู่ดีกินดี ตรงกันข้าม ถ้าเขาหน้าตาซีดเซียว หม่นหมอง เราก็จะบอกได้ว่าท่าทางเขาไม่ค่อยสบาย อาจเจ็บป่วยเป็นโรคอะไรสักอย่าง

สีผิวหน้าของคนปกติจะมีสีเดียวกับสีผิวทั่วร่างกาย จะมีแตกต่างไปบ้างก็เมื่ออายุมากขึ้น ย่อมจะมีไฝฝ้าตกกระขึ้นมาตามวัย สีผิวหน้าที่จะกล่าวถึงนี้คือ สีที่เปลี่ยนไปเนื่องจากมีโรคภายในร่างกาย เช่น หน้าซีด หน้าเซียว หน้าเหลือง หน้าดำ หน้าแดง หน้าด่าง รวมทั้งหน้าบวม เป็นต้น

⇒ หน้าซีด
เกิดเมื่อมีอาการตกใจ กลัว แต่หน้าขาวซีดอาจเกิดจากโรคโลหิตจางเนื่องจากเม็ดเลือดแดงในร่างกายมีจำนวนน้อยกว่าปกติ ซึ่งสีปากก็จะซีดด้วย ลองแหวกตาดูโดยใช้นิ้วมือดึงหนังตาล่างลงมาจะเห็นเยื่อบุภายในตามีสีชมพูจางๆ ไม่แดงสดเหมือนคนปกติ ทั้งนี้เกิดจากการขาดเม็ดเลือดแดง
อาการขาดเม็ดเลือดแดงอาจเกิดจากสาเหตุ 3 ประการ ได้แก่
1) มีการสร้างเม็ดเลือดน้อยไป
2) มีเม็ดเลือดผิดปกติ
3) มีการเสียเลือด
หน้าซีดที่เกิดจากโรคภายในร่างกาย เช่น โรคขาดธาตุเหล็ก ขาดวิตามิน ขาดสารอาหาร โรคเลือด เช่น ลิวคีเมียหรือมะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคเลือดจางจากกรรมพันธุ์ แผลในกระเพาะเรื้อรัง ริดสีดวงทวาร มะเร็งลำไส้ มะเร็งปากมดลูก และมะเร็งทุกชนิดโดยเฉพาะในระยะที่ลุกลามไปมาก โรคเรื้อรัง เช่น มาลาเรีย วัณโรค เมื่อเป็นนานๆ ร่างกายทรุดโทรมทำให้หน้าซีดได้
ยาบางชนิดทำให้เกิดหน้าซีดได้ เช่น คลอแรมเฟนิคอล ดังนั้น เมื่อสังเกตเห็นว่าตัวเองหน้าซีดหรือมีคนทักว่าหน้าซีดผิดปกติก็น่าจะทำการตรวจดูว่าซีดจริงหรือไม่ โดยการเจาะเลือดดู ถ้าพบว่าซีดจริงก็หาสาเหตุที่ทำให้ซีดเพื่อจะได้ทำการรักษาให้ถูกต้อง ไม่ควรใช้วิธีไปซื้อยาบำรุงเลือดมากินเองโดยไม่หาสาเหตุเสียก่อน ซึ่งเป็นการแก้ที่ไม่ถูกจุดก็จะไม่เกิดผลดี

⇒ หน้าเขียว
เกิดเป็นครั้งคราวในบางคนเวลาโกรธจัด เป็นการแสดงอารมณ์ที่อ่านได้จากสีหน้า แต่หน้าเขียวเป็นประจำและอาจมีเล็บมือเล็บเท้าเขียวร่วมด้วย เกิดจากภาวะที่ร่างกายขาดออกซิเจน พบในคนเป็นโรคหัวใจ เช่น หัวใจรั่วจากลิ้นหัวใจพิการ โรคปอดพิการเรื้อรัง เกิดภาวะออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกายไม่เพียงพอ คนไข้จะมีหน้าเขียวคล้ำ ปากเขียว เล็บเขียว มักมีอาการหอบร่วมด้วย อาการแพ้ยาบางอย่างอาจจะทำให้หน้าเขียวได้เนื่องจากยาเป็นพิษต่อเม็ดเลือดแดง ทำให้เม็ดเลือดอยู่ในสภาพขาดฮีโมโกลบินซึ่งเป็นสาระสำคัญในเม็ดเลือดแดง มีหน้าที่เป็นตัวนำออกซิเจนไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆทั่วร่างกาย

⇒ หน้าเหลือง ตาเหลือง
เกิดจากโรคดีซ่าน เช่น เป็นโรคตับอักเสบ ฝีในตับ ตับแข็ง มะเร็งในตับ โรคนิ่วในถุงน้ำดี การกินสารอาหารที่มีสีเหลือง เช่น มะละกอสุก ส้ม แครอต มะเขือเทศ อาจทำให้ตาเหลือง หน้าเหลืองได้ โดยไม่ได้เป็นโรค ส่วนคางเหลืองเป็นคำเปรียบเทียบหมายถึงเหนื่อยมากหรือป่วยหรือบาดเจ็บมากจนแทบเสียชีวิตจริงๆ แต่คางไม่ได้เป็นสีเหลือง

⇒ หน้าดำ
คร่ำเครียดมักเกิดในคนมีความทุกข์และวิตกกังวล ส่วนหน้าดำที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของผิว เช่น เป็นฝ้าเนื่องจากกินยาคุมกำเนิด หรืออยู่ระหว่างตั้งครรภ์ หรือสูงอายุ มีไฝฝ้า และตกกระ หรือเป็นฝ้าแดดที่พบในผู้ที่มีอาชีพทำงานกลางแจ้ง ที่ต้องตากแดดตลอดเวลา หรือฝ้าจากแพ้เครื่องสำอางโดยเฉพาะประเภทสมุนไพรที่ทำจากพืช
บางคนมีปานดำที่หน้าหรือตกกระ ซึ่งถือเป็นความผิดปกติเฉพาะที่ผิวหนัง ไม่ใช่อาการจากความผิดปกติในร่างกาย หน้าที่ดำคล้ำที่ไม่ใช่โรคผิวหนังอาจเป็นอาการของโรคตับ เช่น ตับแข็ง มะเร็งตับ เป็นต้น

⇒ หน้าแดง
เป็นอาการแสดงความเอียงอายเกิดจากเลือดสูบฉีดจนหน้าแดง แต่อาการหน้าแดงเป็นประจำอาจจะต้องนึกถึงโรคความดันเลือดสูง เป็นโรคที่จะต้องหาสาเหตุและรักษาให้ตรงกับสาเหตุที่เป็น ไม่ควรซื้อยาลดความดันมากินเอง
ถ้าหน้าเป็นรอยแดงบริเวณแก้มทั้งสองข้างและดั้งจมูก ทำให้มีรูปร่างเหมือนปีกผีเสื้ออยู่กลางหน้า โดยเฉพาะเมื่อถูกแดดจะยิ่งแดงจัด อาการเช่นนี้อาจเกิดร่วมกับโรคของระบบภายในร่างกายที่เรียกว่า “เอสแอลอี” ซึ่งเป็นโรคภูมิแพ้ชนิดหนึ่งที่มีอาการของระบบอวัยวะภายในร่วมด้วย อาจมีอาการหนักถึงขนาดไตอักเสบ หลอดเลือดอักเสบ ข้ออักเสบ กล้ามเนื้ออักเสบ
หน้าแดงอีกชนิดเกิดจากอาการแพ้แสงแดด ถูกแดดทีไรหน้าจะแดง และมีตุ่มคันตามมาอาจลามไปถึงคอ หลังมือ และแขน ต้องนึกถึงโรคที่เกิดร่วมกับการแพ้แสงซึ่งมีเป็นจำนวนมาก ตั้งแต่โรคทางพันธุกรรม โรคขาดวิตามิน โรคแพ้ยาโดยเฉพาะยาจำพวกปฏิชีวนะ
ส่วนโรคผิวหนังที่ทำให้หน้าแดงก็มีตั้งแต่สิว โรคภูมิแพ้ แพ้เครื่องสำอาง และลมพิษ เป็นต้น

⇒ หน้าบวม
ที่เราเห็นอยู่บ่อยๆและเกิดร่วมกับรอยฟกช้ำดำเขียวจากการถูกตบตีหรือถูกต่อย มักพบในนักมวย ซึ่งเป็นอาการบาดเจ็บทั่วไป แต่ถ้าหน้าเกิดบวมขึ้นมาเองโดยไม่มีใครทำ เกิดได้ในคนไข้โรคหัวใจ โรคไต โรคตับ โรคต่อมธัยรอยด์ และโรคโลหิตจาง โรคขาดอาหารก็ทำให้หน้าบวมได้
บางคนกินยาจนหน้าบวม เช่น ยาจำพวกคอร์ติโคสตีรอยด์ซึ่งเป็นยาแก้แพ้ชนิดหนึ่ง ซึ่งแพทย์จะใช้ยานี้ในรายที่จำเป็น เช่น มีอาการแพ้รุนแรง จำเป็นต้องยับยั้งปฏิกิริยาให้หายโดยเร็ว แต่ถ้ายานี้ถูกนำมาใช้ในระยะยยาวจะเกิดอาการหน้าบวมเป็นวงพระจันทร์ แถมมีสิวหรือมีขนขึ้นมากผิดปกติ
หน้าบวมเฉียบพลันเกิดในคนแพ้อาหาร เช่น แพ้อาหารทะเล สำหรับคนที่แพ้มากกินเข้าไปยังทันถึงชั่วโมงจะเกิดหน้าบวมตาบวมจนลืมตาไม่ขึ้น ร่วมกับอึดอัด หายใจไม่ออก ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต

⇒ หน้าด่าง
ก็เป็นสีหน้าที่ผิดปกติอีกกลุ่มหนึ่ง หน้าที่เกิดรอยด่างขาวเป็นวงๆ มีขุยเล็กน้อย พบเป็นในเด็กและวัยรุ่น เห็นได้ชัดในคนผิวคล้ำ บางทีลามมาที่แขน ยิ่งตากแดดตากลมจะยิ่งเป็นมากขึ้น ซึ่งอาจเกิดร่วมกับโรคภูมิแพ้ เช่น ลมพิษ โรคหอบหืด โรคแพ้ฝุ่นและเกสรดอกไม้ ถ้ามีวงขาวจัดสีเหมือนน้ำนมต้องนึกถึงโรคด่างขาว
หน้าด่างขาวอีกพวกหนึ่งเกิดจากการใช้ครีมลอกฝ้าที่มีขายอยู่ตามท้องตลาด (ขอเตือนให้ผู้ใช้พึงระวัง)

เมื่อรู้เช่นนี้ท่านก็คงจะคอยตรวจดูสีหน้าของตัวเองหรือของพรรคพวกเพื่อนฝูงกันดูบ้างว่ามีสีหน้าแปลกๆหรือเปล่า หากผิดสังเกตจะได้ทำการตรวจและหาทางรักษาให้ถูกต้องเสียแต่เนิ่นๆ จะเห็นว่าสีหน้านั้นมิใช่มีไว้แสดงอารมณ์อย่างเดียว อาจแสดงอาการของโรคได้ด้วย

 

ข้อมูลสื่อ

191-006
นิตยสารหมอชาวบ้าน 191
มีนาคม 2538
พญ.ปรียา กุลละวณิชย์