• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

เอดส์ สถานการณ์ปัจจุบัน

เอดส์ สถานการณ์ปัจจุบัน

ในเดือนมิถุนายน 2524 มีรายงานข่าวในประเทศสหรัฐอเมริกา พบชายหนุ่มที่เป็นเกย์(โฮโมเซ็กชวล) ซึ่งแข็งแรงมาก่อนได้ป่วยเป็นโรคปอดบวม แล้วบรรดาเกย์เหล่านี้ก็เกิดติดเชื้ออื่นๆติดตามมา ซึ่งในขณะนั้นยังไม่รู้สาเหตุของโรค

ในปี 2526 ทางสหรัฐอเมริกาได้ออกข่าวว่าได้พบสาเหตุแล้วว่า ไวรัสก่อโรคเอดส์เป็นไวรัสชนิดใหม่ที่เข้าไปทำลายเซลล์ระบบคุ้มกันของร่างกายทำให้ภูมิคุ้มกันเสียไป

นิตยสารหมอชาวบ้านได้ตีพิมพ์เรื่องโรคเอดส์ในฉบับพฤศจิกายน 2526 เขียนโดยนายแพทย์เดชา ตันไพจิตร คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ในเรื่องเอดส์โรคใหม่ที่กำลังเป็นปัญหา ในขณะนั้นคนไทยของเราดูเหมือนจะอยู่ห่างไกลกับโรคนี้มาก เพราะข่าวนั้นเกิดขึ้นอีกซีกโลกหนึ่งคือสหรัฐอเมริกา และกลุ่มที่พบโรคเอดส์คือ พวกเกย์ พวกติดยาเสพติด หลังจากนั้นประมาณเดือนกันยายน 2527 ประเทศไทยของเราก็มีรายงานพบว่ามีผู้ป่วยโรคเอดส์ ซึ่งเป็นผู้ป่วยที่ติดเชื้อจากสหรัฐฯ และกลับมาตายที่บ้านเกิดคือเมืองไทย

ในช่วงนั้นสังคมไทยเรายังมองว่าคนเป็นเอดส์คือ พวกรักร่วมเพศ ต่อมาก็มองว่าเป็นพวกติดยาเสพติด ต่อมาเป็นพวกสำส่อนทางเพศ คนทั่วๆไปไม่เกี่ยวข้อง

แต่ขณะนี้ กำแพงขวางกั้นในความเชื่อต่างๆได้ทะลายลง เมื่อปัจจุบันได้พบว่า ผู้เป็นเอดส์ เป็นตั้งแต่ แม่บ้าน พนักงาน บริษัท นักเรียน ข้าราชการ คนอาชีพต่างๆ(ตารางที่ 1 ) แยกตามปัจจัยเสี่ยง(ตารางที่ 2 ) จำแนกตามจังหวัดของประเทศไทย(ตารางที่ 3 ) และได้แพร่ระบาดไปยังทุกเพศทุกวัย(ตารางที่ 4 )
 

 

 

    

 


 

 

 

หมอชาวบ้านฉบับนี้ขอนำตารางสรุปสถานการณ์โรคเอดส์มาให้ท่านผู้อ่านได้ศึกษา ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องช่วยกันป้องกันตนเอง คนในครอบครัว ญาติ เพื่อนบ้าน และเพื่อนมนุษย์ให้พ้นจากโรคเอดส์ ในขณะเดียวกันก็ช่วยกันทำความเข้าใจและมอบความเมตตากรุณาแก่ผู้ติดเชื้อเอดส์ให้สามารถอยู่ร่วมกับเราในสังคมอย่างอบอุ่น

เอดส์...โรคซึ่งกำลังเป็นปัญหาสำคัญของโลกและของประเทศไทย วึ่งในประเทศไทยมีการแพร่ระบาดมาแล้วถึง 10 ปีเศษ และส่งผลกระทบทั้งทางด้านสุขภาพกายและจิตใจของผู้ป่วย ครอบครัว ตลอดจนทางเศรษฐกิจและสังคมของชุมชนเป็นอันมาก ทั้งนี้เนื่องจากความเจ็บป่วยจากภาวะที่ร่างกายต้องขาดภูมิคุ้มกันโรค แล้วซ้ำร้ายยิ่งกว่านั้นก็คือยังไม่มียารักษาโรคและไม่มีวัคซีนป้องกันจึงทำให้เกิดความวิตกกังวลทั้งแก่ผู้ติดเชื้อ ผู้ป่วย ญาติพี่น้อง และสังคมในส่วนรวมโดยทั่วไป
หมอชาวบ้าน ฉบับนี้ได้นำสถานการณ์เอดส์มารายงานให้ท่านผู้อ่านได้เห็นถึงความรุนแรงของโรคเอดส์ที่จะเกิดขึ้นตามมาในอนาคต พร้อมกันนี้ได้ถือโอกาสพูดคุยกับ นายแพทย์วิพุธ พูลเจริญ ผู้อำนวยการกองโรคเอดส์ กรมควบคุมโรคติดต่อ กระทรวงสาธารณสุข ในเรื่องสถานการณ์และทัศนะอื่นๆเกี่ยวกับโรคเอดส์

เรื่องเร่งด่วนของการระบาดของโรคเอดส์ขณะนี้คืออะไร
ถ้าเราดูจำนวนของหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อทั่วทั้งประเทศมีถึงร้อยละ 1.5 ทั้งที่หญิงเหล่านั้นไม่เคยมีพฤติกรรมเสี่ยง ไม่เคยสำส่อนทางเพศ ตรงนี้จึงเป็นมหันตภัยร้ายแรงที่คืบคลานเข้าสู่ครอบครัวและเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องร่วมมือกันแก้ไขให้เร็วที่สุด
ขณะนี้เรามีลูกของแม่ที่ติดเชื้อเอดส์มากขึ้น ปีๆหนึ่งเป็นหมื่น จะเพิ่มเป็น 2 หมื่น 3 หมื่น ไปเรื่อยๆ ตอนนี้รูปธรรมที่ชัดเจนจะต้องเร่งคือ หยุด ตรงนี้ให้ได้ ถ้าพูดแบบสถิติคือ ลดอัตราการติดเชื้อเอดส์จากหญิงตั้งครรภ์ให้ได้ ตรงนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เราต้องร่วมกันในทุกส่วนที่จะหยุดการแพร่ระบาด ยกตัวอย่าง ผู้หญิงคนหนึ่งจะแต่งงานกับผู้ชายคนหนึ่ง ถ้าคุณรักกันจริงคุณก็แต่งงานกัน แต่ถ้าฝ่ายใดรู้ว่าตนเองติดเชื้อเอดส์ ไม่ใช่บอกว่าไม่ต้องแต่งงาน แต่จะต้องป้องกันตัวไม่ให้ติดคู่ครองของเรา นี่เป็นความรับผิดชอบต่อสังคม ต่อครอบครัว ในอดีตแม้แต่หมอเอง ไปถามหมอจะแต่งงานเจาะเลือดตรวจเอชไอวีมั้ย จะตอบว่าไม่ตรวจ ถ้าตรวจไปแล้วเห็นว่าไม่ต่างกัน โอเค มันไม่ต่างกันในตัวของคุณ แต่คนอื่นเขาต่างแน่ คู่ครองของคุณจะติดจากคุณไปได้ ถามว่าตรงนี้มันเป็นความรับผิดชอบหรือเปล่า หรือในเรื่องถ้าคุณแต่งงานมาก่อนแล้วคุณตัดสินใจมีลูกเมื่อไรตรวจเลือดก่อนได้มั้ย จะได้ป้องกัน
เอาแค่หยุดตรงนี้อย่างเดียว การติดเชื้อในหญิงตั้งครรภ์ก็ลดลงแล้ว
ตรงนี้จะต้องสร้างแนวคิดให้เห็นว่าเป็นความรับผิดชอบเบื้องต้นเวลาเราจะสร้างครอบครัวขึ้นมา

จุดไหนที่คุณหมอคิดว่า ถ้าเราสามารถไปถึงจะสามารถหยุดยั้งเชื้อโรคเอดส์ให้เบาบางลง
ผมเคยคุยกับนักมานุษยวิทยาชาวออสเตรเลียและอเมริกา เขาบอกว่า คนไทยมีวัฒนธรรมที่แตกต่างกว่าเขา พวกเขาก่อนแต่งงานจะมีอิสระในการเลือกคู่หรือเปลี่ยนคู่ แต่เมื่อแต่งงานแล้วเขามักจะไม่ไปเที่ยวสำส่อนหรือเปลี่ยนคู่ แต่คนไทยก่อนแต่งงานจะไม่ไปเที่ยวหรือไปบ้าง หลังจากแต่งงานแล้วกลับไปเที่ยวโสเภณีมากขึ้น ในประเทศของเขาปัญหาภรรยาหรือลูกที่ติดเชื้อเอดส์จึงมีน้อย
ในกรณีของบ้านเรา การมีปัญหาผู้ชายเที่ยวโสเภณี มีซ่อง มีสถานบริการมากมาย กรณีมองผู้หญิงเป็นเหมือนกับเครื่องบำบัดความใคร่หรืออะไรต่อมิอะไร ถามว่าเพราะอะไร วัฒนธรรมมันหล่อหลอมขึ้นมาเป็นเวลานาน ทุกคนก็เกิดมาในสังคมที่ถูกหล่อหลอมมาแบบนี้ เราผ่านรูปแบบวรรณคดีขุนช้างขุนแผน รูปแบบของจีน ของอินเดีย มันเป็นการหล่อหลอมทางวัฒนธรรมที่ต้องยอมรับ มันไม่ใช่ความผิดของใครคนใดคนหนึ่ง เราต้องยอมรับว่ามันเป็นปัญหาของสังคม ซึ่งสังคมของเราสร้างกันมา มันทำให้เราเกิดมามีความคิด มีการสืบทอด มีการดำเนินชีวิตแบบหนึ่งขึ้นมา เป็นสิ่งที่มีและเป็นสิ่งที่ต้องแก้ คนที่เป็นโรคเอดส์ก็คือเหยื่อของวัฒนธรรม เหยื่อของสังคมที่เขาต้องรับมันไป เพราะเขามีเงื่อนไขแบบนี้ ถ้าจะแก้จุดแรกนั้น ก็จะต้องมามองเรื่องนี้

เราต้องให้การศึกษาในเรื่องบทบาทความเป็นผู้ชายผู้หญิงให้มีการหล่อหลอมเด็กนักเรียนตั้งแต่อนุบาล ประถม ถึงมัธยมว่าผู้ชายควรมีบทบาทอย่างไรในครอบครัว มีความรับผิดชอบอย่างไร ผู้หญิงควรมีบทบาทอย่างไรในครอบครัว มีความรับผิดชอบอย่างไร ต้องเข้าใจว่าเป็นอีกเรื่องของเพศศึกษา
เรื่องความรู้เรื่องเอดส์ เอดส์ ไม่ใช่ปัญหาโดยตรง มันเป็นผลพวงของปัญหาที่เกิดขึ้น ผมอยากจะบอกว่า วิธีคิดวิธีที่จะกำหนดพฤติกรรมของคนมักถูกโปรแกรมมาแล้ว และถ้าไปแก้ที่เพศอย่างเดียวมันไม่ได้ผล ในเมื่อคนไม่เปลี่ยนทัศนคติเปลี่ยนพฤติกรรมที่ฝังเป็นวัฒนธรรม เราใส่อะไรไปบางอย่าง เช่น เรื่องถุงยางอนามัยอะไรก็แล้วแต่ อันนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่ง
ถ้าจะแก้จุดแรกก็ต้องมามองเรื่องวัฒนธรรม

มีคนกล่าวว่าเป็นเอดส์ก็ตาย ไม่เป็นเอดส์ก็ตาย คุณหมอมีความเห็นอย่างไร
ผมเคยทำงานเรื่องอุบัติเหตุมาก่อนที่จะมาทำเรื่องนี้ คนตายเพราะอุบัติเหตุนั้นปัจจุบันยังตายมากกว่าเอดส์ แต่ตายแล้วก็จบ ญาติพี่น้องที่อยู่อาจเดือดร้อน ในเรื่องผลกระทบต่อสังคมไม่มากเท่ากับเอดส์ มันไม่เหมือนเอดส์ที่ตายทั้งเป็น จะต้องอยู่ ต้องดิ้นรน ต้องต่อสู้ มีบางคนอาจบอกว่าติดเชื้อเอดส์หรือไม่ติดเชื้อก็ตายเหมือนกัน ใช่ต้องตาย ปัจจัยหลักของการตายก็คือการเกิด ถ้าไม่เกิดมันก็ไม่ตาย เพราะฉะนั้นยังไงก็ตายแน่ๆ แต่ว่าคนเป็นเอดส์ปัญหาใหญ่ไม่ใช่แต่เพียงทำให้ชีวิตสั้น ปัญหาใหญ่เป็นเรื่องความรังเกียจเดียดฉันท์ ความรู้สึกตรงนี้สำคัญ เขาอาจสร้างบาดแผล สร้างผลกระทบ เหวอะหวะกับสังคมมาก ลองคิดดู คนติดเชื้อคนหนึ่ง จะรู้สึกถูกบีบคั้นจากสังคมแล้วไปทำอะไร อาจสร้างบาดแผล สร้างผลกระทบ เหวอะหวะกับสังคมมากมาย

ปัจจุบันมีสถานรับผู้ป่วยเอดส์มากขึ้น ในเรื่องนี้คุณหมอมีความเห็นอย่างไร
ผมคิดว่าเรายังไม่ควรประชาสัมพันธ์ให้กว้าง เพราะขณะนี้มีกระแสอีกอันหนึ่งที่พูดถึงเรื่องสถานที่รับไว้ตาย เรื่องนี้ถ้ารีบพูดจะทำลายสถาบันครอบครัวมาก ผมถามว่ามันเป็นวัฒนธรรมของไทยหรือว่า เอาคนไปตายที่ใดที่หนึ่ง ไม่เคยมี ผมเป็นหมออยู่ต่างจังหวัดกว่า 10 ปี คนไข้โดนหมาบ้ากัด หมอบอกตายแน่ ไม่มีทางรักษา ญาติเอากลับบ้าน เอาไปตายที่บ้าน แต่นี่เอดส์ จะให้บอกเอาไปทิ้งไว้ที่สถานที่ใดที่หนึ่งให้ตาย หรืออันนี้มันแสดงให้เห็นว่าทำลายสายสัมพันธภาพของครอบครัวไป
ผมเข้าใจถึงผู้ที่เปิดสถานรับผู้ป่วยเอดส์ ว่าทำด้วยใจ มีสปิริตจริงๆ แต่เราไม่สามารถสร้างคนแบบนี้ขึ้นมากๆ เราจะหาคนจิตใจเช่นนี้ได้ที่ไหนได้มากๆ เพราะฉะนั้นหากมีการขยายหรือประชาสัมพันธ์มาก เราจะหางบประมาณมาเท่าไรก็ไม่พอ เราต้องช่วยกันสร้างความเข้าใจให้กับครอบครัวที่มีผู้ป่วยโรคเอดส์ เอดส์ไม่ใช่ติดง่ายๆ ครอบครัวต้องช่วยกันดูแล ให้ความรัก จึงจะแก้ปัญหาอันใหญ่นี้ได้


 

ข้อมูลสื่อ

188-003
นิตยสารหมอชาวบ้าน 188
ธันวาคม 2537
บทความพิเศษ
กองบรรณาธิการ