ก้าวใหม่ 7 สมุนไพรไทย
สมุนไพรกับมนุษยชาติ : คุณค่าอยู่คู่โลก
สมุนไพรทรงคุณประโยชน์และมีค่าอยู่ในตัว ไม่ว่าจะถูกนำมาใช้หรือถูกละเลยทอดทิ้งตามสภาพธรรมชาติ(เป็นของคู่โลกคู่มนุษย์มาแต่โบราณ) การที่มนุษย์รู้จักนำสมุนไพรมาใช้ประโยชน์เป็นยา หนึ่งในปัจจัยสี่ได้นั้นแสดงถึงความรอบรู้ในธรรมชาติของต้นไม้นานาชนิด ความรอบรู้นี้ได้พัฒนาขึ้นมาเป็นลำดับถึงขั้นเป็นศิลปวิทยาด้านสมุนไพร บ่งบอกถึงอารยธรรมของแต่ละชนชาติ
จากประวัติศาสตร์สมัยพุทธกาล มีการบัญญัติและกล่าวถึงสมุนไพรในพระไตรปิฎก เช่น ขมิ้น ขิง ดีปลี สมอ มะขามป้อม มหาหิงคุ์ เป็นต้น รวมทั้งเรื่องราวของชีวกโกมารภัจจ์ ปรมาจารย์แพทย์แผนโบราณ
จีนและอินเดียมีความเจริญก้าวหน้าทางด้านสมุนไพรมากที่สุดในภาคตะวันออก เพราะนอกจากจะมีตำรายาสมุนไพรใช้สืบต่อกันมายาวนานแล้ว ยังได้รับส่งเสริมให้มีการวิจัยและพัฒนาอย่างเป็นระบบครบวงจรจากวัตถุดิบถึงผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป ทั้งในรูปยาแผนโบราณและยาแผนปัจจุบันมาโดยตลอดและต่อเนื่อง
สมุนไพรกับคนไทย (อดีต) : ภูมิปัญญาไทยถูกลืมเลือน
คนไทยมีความศรัทธาและใช้ยาสมุนไพรแผนโบราณมา โดยได้รับอิทธิพลจากประเทศจีนและอินเดีย เข้ามาพร้อมๆกับการเผยแพร่พระพุทธศาสนา ประเทศไทยมีตำรายาแผนโบราณเป็นจำนวนมากที่ได้รับการตรวจสอบความถูกต้องทั้งทางด้านตำรับยาและสรรพคุณ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าให้จารึกไว้ ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เมื่อ พ.ศ. 2375 ตำรายาแผนโบราณเหล่านี้ได้รับการตรวจสอบอีกครั้งในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เมื่อโรงเรียนแพทย์เปิดสอนครั้งแรก พ.ศ. 2432 ที่โรงพยาบาลศิริราชพยาบาล ใช้ยาสมุนไพรตามแผนโบราณทั้งหมด ต่อมา พ.ศ. 2456 จึงมีการใช้ยาฝรั่ง(แผนปัจจุบัน)ด้วย ความสะดวกต่อการเตรียมยา เก็บยา และจ่ายยาสำเร็จรูปแผนปัจจุบันสะดวกกว่ายาปรุงแผนโบราณ ยาสมุนไพรจึงถูกลืมและเลิกใช้ไปอย่างรวดเร็ว
ในช่วงเวลาดังกล่าวนี่เองเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่ทำให้วิทยาการเกี่ยวกับสมุนไพรและการแพทย์แผนโบราณหยุดชะงักกระจัดกระจาย และขาดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ก่อให้เกิดผลกระทบที่สำคัญคือ
1) ประชาชนขาดการสนใจในเรื่องสมุนไพรและยาแผนโบราณ
2) ผู้ประกอบโรคศิลปะแผนโบราณได้ใช้สมุนไพรมาปรุงยารักษาโรคตามความเชื่อที่สืบทอดมา แต่ยังขาดความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาสนับสนุนสรรพคุณยาแผนโบราณที่ปรุงขึ้น
3) ยังไม่มีการควบคุมการผลิต จำหน่ายสมุนไพร ทำให้ไม่สามารถคุ้มครองผู้บริโภคได้ ประชาชนไม่เชื่อมั่นในสมุนไพร
4) การศึกษาวิจัยสมุนไพรทางด้านเภสัชวิทยา พิษวิทยา และการพัฒนาตำรับยา มีไม่เพียงพอทำให้แพทย์สมัยใหม่ยอมรับกันน้อยมาก
สมุนไพรกับคนไทย (ยุคใหม่) : ภูมิปัญญาไทยได้รับการสืบทอดเพื่อคนไทย
นับแต่ปี พ.ศ. 2456 จุดเริ่มที่สมุนไพรและยาแผนโบราณถูกลืม กาลเวลาถึงแม้จะผ่านไป แต่คุณค่าของสมุนไพรที่อยู่คู่โลกมานานแสนนาน ทำให้มนุษยชาติต้องหันกลับมาใช้ เมื่อวงการแพทย์แผนปัจจุบันเริ่มประจักษ์ถึงอันตรายจากฤทธิ์ข้างเคียงของยาแผนปัจจุบันซึ่งมาปรากฏในระยะหลังๆประกอบกับการวิจัยค้นคว้าพบตัวยาใหม่ๆจากสมุนไพรต่างๆ และหันกลับมาผลิตยาจากสมุนไพรเพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับ ตั้งแต่ผลิตยารักษาโรคความดันเลือดสูงจากรากระย่อม ยารักษามะเร็งในเม็ดเลือดจากแพงพวยฝรั่ง ยารักษาแผลเรื้อรังจากใบบัวบก ยารักษาโรคแผลในกระเพาะจากสมุนไพรเปล้าน้อยของไทย เหล่านี้ได้กระตุ้นความสนใจของชาวโลกให้หันกลับมาสู่การรื้อฟื้นใช้ประโยชน์สมุนไพรอย่างรวดเร็วอีกครั้งหนึ่ง
สำหรับประเทศไทยมีการตื่นตัวนำเอาสมุนไพรมาใช้ในการสาธารณสุข โดยกำหนดไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2526-2530) จนมาเป็น “โครงการพัฒนาสมุนไพรเพื่อใช้เป็นยา” ในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 6 (พ.ศ.2531-2535) พร้อมๆกับมีมติคณะรัฐมนตรี(วันที่ 13 ตุลาคม 2530) อนุมัติให้กระทรวงสาธารณสุข แต่งตั้ง “คณะกรรมการสมุนไพรแห่งชาติ” เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2530
ยาสมุนไพร : สรุปบทเรียนจากอดีต
จากปัญหาการใช้สมุนไพรที่ผ่านมา นักวิจัยของหน่วยงานสถาบันทั้งหลาย คณะกรรมการต่างๆ และองค์การเภสัชกรรมจึงใช้แนวทางพัฒนาสมุนไพรเพื่อใช้เป็นยา โดยมุ่งให้ประชาชนมั่นใจ แพทย์และผู้ประกอบโรคศิลปะยอมรับและแก้ปัญหาสาธารณสุขของชาติ และนี่คือที่มาของการเลือกสมุนไพรที่มีผลวิจัยทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา พิษวิทยา ผสมผสานกับวิทยาการผลิตที่ทันสมัย เพื่อสุขภาพและการพึ่งตนเองของคนไทย
หมอชาวบ้านใคร่ขอแสดงความยินดีต่อความสำเร็จในการผลิตยาจากสมุนไพร และขอโอกาสนำเสนอต่อคนไทย
แนะนำยาจากสมุนไพร ผลิตธดยองค์การเภสัชกรรม 8 ตำรับ : ผลงานภูมิปัญญาไทยยุคใหม่
ชื่อยาสมุนไพร สรรพคุณ วิธีใช้ คำเตือน ราคา |
1.ยาระบายมะขามแขก ⇒ยาระบาย ⇒ กินก่อนนอน ⇒ ห้ามใช้เมื่อมี 4 บาท
(บรรจุซองละ 10 เม็ด) (ท้องผูกหมายถึง หรือตื่นนอนเช้า อาการปวดท้อง
ถ่ายอุจจาระแข็ง ผู้ใหญ่ ครั้งละ หรือคลื่นไส้
หรือไม่ถ่ายอุจจาระ 3-4 เม็ด อาเจียน
นานหลายวันเกิน เด็ก 6-12ปี
กว่าปกตินิสัย ) ครั้งละ 1-2 เม็ด
2.ยาชงมะขามแขก ⇒ ยาระบายอ่อนๆ ⇒ ดื่มน้ำที่ได้จากการ ⇒ ห้ามใช้เมื่อมี 10 บาท
( 1 ซองมี 5 ถุง ) แช่ถุงยาชงในน้ำร้อน อาการปวดท้อง
จัด ( ประมาณ 70 หรือคลื่นไส้
องศาเซ,เซียล ) 1 อาเจียน
ถ้วย (150 มิลลิลิตร ) นานประมาณ 10-20
นาที่ ครั้งละ 1-2 ถุง
ก่อนนอน หรือก่อน
อาหารเช้าครึ่งชั่วโมง
3.มะแว้ง ⇒ แก้ไอ ⇒ อมครั้งละ 3-4 เม็ด --------- 6 บาท
(บรรจุซองละ 20 เม็ด) ขับเสมหะ เมื่อมีอาการไอหรือ
อมบ่อยๆ
4.ขมิ้นชันแคปซูล ⇒ บรรเทาอาการ ⇒ กินครั้งละ 2 แคปซูล ⇒ หากมีอาการ 6 บาท
(บรรจุแผงละ 10 ท้องอืด ท้องเฟ้อ วันละ 4 ครั้ง ท้องเสียให้
แคปซูล จุกเสียด แน่นท้อง หลังอาหารและ หยุดยาทันที่
อาหารไม่ย่อย ก่อนนอน หรือตาม
แพทย์สั่ง
5.กระเทียมสกัด ⇒ ลดระดับโคเลส ⇒ กินครั้งละ 1 แคปซูล ⇒ อาจมีอาการ 32 บาท
(บรรจุแผงละ 10 เตอรอลในเลือด วันละ 2 ครั้งหลัง แพ้ เช่นปวดท้อง
แคปซูล ) ⇒ ละลายลิ่มเลือด อาหารเช้าและเย็น มีผื่นคันถ้ามีอาการ
หรือตาทแพทย์สั่ง แพ้ควรหยุดยาและ
(เก็บในที่แห้งและ ปรึกษาแพทย์
เย็น อุณหภูมิไม่เกิน สำหรับเด็กต้อง
25 องศาเซลเซียล ) ปรึกษาแพทย์ก่อนใช้
6.ไพลจีซาน ⇒ บรรเทาอาการ ⇒ ทาและถูเบาๆบริเวณ ⇒ ห้ามทาบริเวณ 35 บาท
( หลอดละ 30 กรัม ) ปวดเมื่อย ปวด ที่มีอาการวันละ ตา ถ้าเกิดอาการ
บวมจากกล้ามเนื้อ 3-5 ครั้ง (ทาแล้ว แพ้ เช่นมีผื่นคัน
อักเสบ เคล็ดขัด ไม่ร้อนและไม่เหนียว) ให้หยุดใช้ยาทันที
7.เจลว่านหางจระเข้ ⇒ รักษาแผลไฟไหม้ ⇒ ทาบริเวณที่ถูก ⇒ ห้ามทาบริเวณ 30 บาท
(หลอดละ 30 กรัม) น้ำร้อนลวก (แผล ไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ห้ามกิน ไม่
ไม่รุนแรงและ วันละ 2-3 ครั้ง ระคายเคืองต่อ
ขนาดไม่กว้าง ) ( เก็บในที่เย็น ผิวหนัง
อุณหภูมิไม่เกิน
25 องศาเซลเซียล)
8.ครีมพญายอ ⇒ ใช้รักษาโรคเริม ⇒ ทาบริเวณที่มีอาการ ⇒ ห้ามใช้ทา 98 บาท
( หลอดละ 5 กรัม ) ที่มีอาการติดเชื้อ อักเสบ ปวดเเสบ บริเวณเยื่อบุ
จากไวรัสประเภท ปวดร้อน วันละ 4 ต่างๆ เช่น
เฮอร์ปีส์ซิมเพล็กซ์ ครั้ง ติดต่อกัน 5 ตา เป็นต้น
การวิเคราะห์โรค วัน ถ้ายังไม่หาย
ดูจากแนะยา- แจง ให้ทาต่อไปอีก
โรค ฉบับที่ 163/25) 5 วัน
ยาจากสมุนไพรดังกล่าวท่านสามารถหาซื้อได้จากร้านจำหน่ายยาขององค์การเภสัชกรรม ทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด นอกจากนี้โรงพยาบาลและสถานีอนามัยบางแห่งก็มียาสมุนไพรเหล่านี้ไว้บริการด้วย แต่ "หมอชาวบ้าน " ก็ยังเป็นห่วงท่านที่ไม่สามารถหาซื้อได้ หรืออยู่ในชุมชนที่มีสมุนไพร จึงใคร่ขอแนะนำสมุนไพรทั้ง 7 ชนิด เพื่อประโยชน์ในการในมาใช้
แนะนำสมุนไพร 7 ชนิด : คุณค่าทีทมีการพิสูจน์แล้ว
1.ชื่อ/ชื่อพฤกษศาสตร์ : มะขามแขกCassia acutifolia Delile Cassia angustifolia Vahl
ลักษณะพืช : เป็นไม้ล้มลุกขนาดเล็ก เป็นพุ่ม ใบเป้นใบประกอบคล้ายมะขามไทย แต่
รูปร่างยาวเรียวและปลายใบแหลมกว่า ดอกเป็นช่อสีเหลือง ฝักคล้ายถั่ว
ลันเตา แต่ป้อมแบนกว่า ฝักอ่อนมีสีเขียวใส และเปลี่ยนเป็นสีดำเมื่อแก่
สรรพคุณยาไทย : ใบและฝักใช้เป็นยาถ่ายแต่ใบจะทำให้มีอาการไซ้ท้องมากกว่า(มะขาม
แขกเหมาะกับผู้สูงอายุที่ท้องผูกเป็นประจำ แต่ควรใช้เป็นครั้งคราว หญิง
ตั้งครรภ์หรือหญิงมีประจำเดือนห้ามใช้ )
ส่วนที่ใช้เป็นยา/วิธีใช้ : ใบแห้งและฝักแห้ง ใช้ใบแห้ง 1-2 กำมือต้มกับน้ำดื่ม หรือใช้วิธีบดเป็น
ผงชงน้ำดื่ม หรือใช้ฝัก 4-5 ฝักต้มกับน้ำดื่ม บางคนดื่มแล้วเกิดอาการไซ้
ท้องแก้ไขโดยใช้ร่วมกับยาขับลมจำนวนเล็กน้อย
2.ชื่อ/ชื่อพฤกษศาสตร์ : มะแว้งเครือ Solanum trilobatum Linn.
ลักษณะพืช : เป็นพรรณไม้เถา ขนาดล็ก ลักษณะของลำต้นเป็นเถา มีสีเขียว ลำต้นมี
แหลมคม ใบเป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับกัน ดอกเป็นช่อๆหนึ่งมีดอกอยู่
ประมาณ 5-12 ดอก มีสีม่วงอมชมพู ผลมีลักษณะกลม ผิวเรียบเกลี้ยง
ขนาดเล็กกว่าผลของมะเขือพวง ผลอ่อนมีลายเป็นสีขาวๆ เมื่อแก่หรือสุก
จะเปลี่ยนเป้นสีแดงสด มีรสขม
สรรพคุณยาไทย : ผลใช้ทั้งผลดิบและผลสุกละลายเสมหะ แก้ไอ แก้น้ำลายเหนียว ลดไข้
ขับปัสสาวะ บำรุงน้ำดี
ส่วนที่ใช้เป็นยา/วิธีใช้ : ใช้ผลสดใช้แก้ไอ ขับเสมหะ โดยใช้ขนาด 4-10 ผล โขลกพอแหลก คั้น
เอาน้ำใส่เกลือเล็กน้อย จิบบ่อยๆ หรือเคี้ยวเกินเฉพาะน้ำจนหมดรส
3. ชื่อ/ชื่อพฤกษศาสตร์ : ขมิ้นชัน Curcuma Longa Linn
ลักษณะพืช : เป็นพรรณไม้ล้มลุก มีเหง้าอยู่ใต้ดินมาก เนื้อในจะมีสี้หลืองอมส้ม และมี
กลิ่นหอม ลำต้นสูงประมาณ 40-70 เซนติเมตร ใบเดี่ยว ขนาดใหญ่รูป
หอก กว้างประมาณ 8-10 เซนติเมตร และยาวประมาณ 30-40
เซนติเมตร จะออกดอกเป็นช่อใหญ่ ก้านช่อดอกนั้นจะบาง พุ่งออกมา
จากใต้ดินยาวประมาณ 5-8 เซนติเมตร ส่วนใบประดับสีเขียวอ่อนๆ หรือ
สีขาว ตรงปลายช่อดอกจะมีสีชมพูอ่อน จัดเรียงซ้อนกันอย่างเป็น
ระเบียบ
สรรพคุณยาไทย : เหง้าของขมิ้นชันมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบททีเรีย เชื้อรา ลดการอักเสบ
และมใทธิ์ในการขับน้ำดี
ส่วนที่ใช้เป็นยา/วิธีใช้ : อาการแพ้อักเสบ แผล ฝี พุพอง แมลงสัตว์กัดต่อยภายนอก ใช้เหง้ายาว
ประมาณ 2 นิ้ว ฝนกับน้ำต้มสุกทาบริเวณที่เป็นวันละ 3 ครั้ง หรือใช้ผง
ขมิ้นโรยทา
4.ชื่อ/ชื่อพฤกษศาสตร์ : กระเทียม Allium sativum Linn
ลักษณะพืช : เป็นพรรณไม้ล้มลุก ต้นสูงประมาณ 30-45 เซนติเมตร มีหัวอยู่ใต้ดิน
หลายหัวรวมกัน มีเปลือกนอกสีขาวหุ้ม 2-3 ชั้น ใบเขียวแก่ แบน แคบ
และกลวง ปลายใบแหลม มีดอกสีขาวแต้มสีม่วง หรือขาวอมชมพู ออก
ดอกเป็นช่อ
สรรพคุณยาไทย : หัวใช้สดหรือแห้งเป็นทั้งอาหารและยา มีสรรพคุณรักษาโรคความดันเลือด
สูง โรคแผลเน่าเปื่อย โรคกลาก-เกลื้อน โรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด ฆ่า
เชื้อโรคภายในปาก แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด แน่นท้อง
ส่วนที่ใช้เป็นยา/วิธีใช้ : รักษาไขมันอุดตันในหลอดเลือด ใช้หัวกระเทียมที่ปอกเปลือกแล้วใส่ใน
ภาชนะที่เป็นไหหรือโหลไว้ ใส่น้ำผึ้งชนิดบริสุทธิ์ลงผสมให้ท่วมหัว
กระเทียม ปิดฝาให้มิดชิด ดองทิ้งไว้ประมาณ 1 สัปดาห์ ใช้กินก่อนนอน
วันละ 3 หัวพร้อมน้ำผึ้งกินติดต่อกันเป็นเวลา 1 สัปดาห์
5.ชื่อ/ชื่อพฤกษศาสตร์ : ไพล Zingiber purpureum Rosc
ลักษณะพืช : เป็นพืชล้มลุก มีลำต้นใต้ดินเรียกว่า เหง้า มีขนาดใหญ่ เนื้อในเป็นสี
เหลืองอมเขียว มีกลิ่นหอม ใบมีลักษณะเรียวยาว และปลายแหลม ดอก
ออกรวมกันเป็นช่อ
สรรพคุณยาไทย : เหง้าแก่จัด รักษาอาการฟกช้ำ บวม ปวดท้อง ลมจุกเสียด บิด และใน
หญิงที่มีประจำเดือนมาไม่ปกติ
ส่วนที่ใช้เป็นยา/วิธีใช้ : ยาทาภายนอกใช้เหง้าสดฝนทาแก้เคล็ดขัดยอก ฟกบวม เส้นตึง เมื่อยขบ
เหน็บชาสมานแผล
6.ชื่อ/ชื่อพฤกษศาสตร์ : ว่านหางจระเข้ Aloe vera Linn
ลักษณะพืช : พืชล้มลุก ลำต้นสั้นเห็นแต่ใบเรียงซ้อนกัน ใบหนาสดเเละอวบน้ำ รูปร่าง
ยาวปลายเรียวแหลม ริมใบมีหนามเล็กๆ เริ่มเก็บใบมาใช้ได้เมื่อพืชอายุ
ได้ 1 ปี
สรรพคุณยาไทย : ยางใช้เป้นยาระบาย ส่วนวุ้น ใช้รักษาแผลเรื้อรังจาการฉายรังสี กระเพาะลำ
ไส้อักเสบ แก้ฝีและตะมอย แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แก้ท้องผูก แก้แผล
ในปาก
ส่วนที่ใช้เป็นยา/วิธีใช้ : รักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก นำใบมาประมาณ 4 ใบ ล้างให้สะอาดแล้วก็
ขยี้ให้เมือกออกมา ใช้ทาบริเวณที่ถูกไฟลวกทันที่
7.ชื่อ/ชื่อพฤกษศาสตร์ : พญายอ Clinacanthus nutans (Burmf) LIndau
ลักษณะพืช : ไม้พุ่มเลื้อย พบขึ้นตามป่า หรือปลูกตาทบ้านลำต้นและกิ่งก้านสีเขียว ใบ
เป็นใบเดี่ยว ออกตรงข้ามกันเป็นรูปรีแคบ ปลายและโคนใบแหลม ริมใบ
เรียบ ดอกเป็นช่อมี 5 ดอกย่อยขึ้นไป กลีบดอกสีแดงส้ม โคนกลีบดอกติด
กันเป็นหลอด ปลายแยกเป็น 2 ส่วน
สรรพคุณยาไทย : ทั้งต้นและใบรักษาพิษแมลงกัดต่อย เช่น มด ยุง ใช้รักษางูสวัด ไฟลามทุ่ง
สารสกัดจากใบสดรักษาอาการอักเสบจากเริมในปาก
ส่วนที่ใช้เป็นยา/วิธีใช้ : ยาภายนอกใช้ใบสด 4-10 ใบ ตำหรือขยี้ทา ใช้ใบสด 1 กิโลกรัม ปั่นให้
ละเอียด เติมแอลกฮอล์ 70 เปอร์เซ็นต์ 1 ลิตร อังไอน้ำให้ปริมาณลดลงครึ่ง
หนึ่งเติมกลีเซอรีนเท่าตัว
ผลจากการศึกษาของแพทย์ผู้ทำการวิจัยและใช้ยาสมุนไพรรักษาคนไข้ |
ศาสตราจารย์นายแพทย์วิษณุ ธรรมลิขิตกุล และคณะ
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
“ขมิ้นชันแคปซูลขององค์การเภสัชกรรมมีประสิทธิภาพลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ เทียบเท่ากับยาแฟลทูแลนซ์ (flatulance) และดีกว่ายาหลอก ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยทดสอบในผู้ป่วย 106 ราย”
รองศาสตราจารย์แพทย์หญิงเผือดศรี วัฒนานุกูล และคณะ
หน่วยโลหิตวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
“กระเทียมสกัด ป้องกันและช่วยละลายลิ่มเลือดที่เกิดขึ้นในหลอดเลือดได้ โดยทดสอบในอาสาสมัครจำนวน 90 คน พบว่าทำให้ค่ายูโกลบูลิน ไลซิส เทส (Euglobulin Lysis Test - ELT) สั้นลง และแอนติทรอมบิน ไทม์ (Antithrombin III Time – AT III time) ยาวขึ้น”
ศาสตราจารย์นายแพทย์วิชัย ตันไพจิตร และคณะ
ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
“กระเทียมสกัด สามารถลดระดับโคเลสเตอรอลชนิดเบา มีผลให้ระดับโคเลสเตอรอลรวมลดลงด้วย โดยทดสอบประสิทธิภาพในผู้ป่วยไขมันในเลือดสูง จำนวน 21 ราย สามารถลดระดับได้อย่างมีนัยสำคัญเมื่อใช้กระเทียมสกัดได้ 4 สัปดาห์”
ศาสตราจารย์นายแพทย์อวย เกตุสิงห์ และคณะ
“ไพลจีซาล มีประสิทธิภาพในการลดรอยเลือดที่เกิดจากการฟกช้ำ”
นายแพทย์วิรุฬห์ เหล่าภัทรเกษม และคณะ
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
“ไพลจีซาล มีประสิทธิภาพสูงในการรักษาอาการบวม โดยทดสอบในนักกีฬาที่บาดเจ็บ ข้อเท้าแพลงโดยเฉพาะในช่วง 2-3 วันแรกของการรักษา และสามารถลดอาการปวดได้ดี”
ศาสตราจารย์นายแพทย์วิวิฒน์ วิสุทธิโกศล และคณะ
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
“เจลว่านหางจระเข้ที่องค์การเภสัชกรรมผลิต ทำให้เนื้อเยื่อหายบวมได้ มีสารที่สามารถฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ ทำให้แผลสะอาด และพบว่าสามารถทำให้เกิดเลือดมาหล่อเลี้ยงบริเวณบาดแผลมากขึ้น ทำให้เนื้อเยื่อหนังกำพร้างอกเร็วขึ้น ส่วนบริเวณเนื้อเยื่อหนังแท้ที่ถูกไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ก็จะมีเนื้อเยื่อเกิดขึ้นมาแทนที่เร็วกว่าปกติ”
คณะวิจัยจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โรงพยาบาลตากสิน และโรงพยาบาลบางรัก
“ครีมพญายอที่ผลิตขึ้นมีประสิทธิภาพในการรักษาโรคเริมในผู้ป่วยได้ดีเท่ากับยามาตรฐาน อะไซโคลเวียร์ (Acyclovir) และไม่ทำให้ผู้ใช้มีอาการแสบหรือระคายเคือง”
คงจะเห็นกันแล้วนะครับว่า ยาจากสมุนไพรที่ผลิตโดยองค์การเภสัชกรรมนั้น มีที่มาและที่ไปอย่างไร หน้าตาของตำรับยาก็ทันสมัย สะดวกใช้และประหยัด จนแพทย์แผนปัจจุบันเองยังยอมรับและใช้รักษาคนไข้ได้
หมอชาวบ้านจึงยินดีเหลือเกินที่จะเผยแพร่ไปถึงผู้อ่าน เพื่อประโยชน์ต่อสุขภาพและการพึ่งตนเอง หากท่านผู้ผลิตใดไม่ว่าจะเป็นของรัฐฯ หรือเอกชน มีตำรับยาที่พัฒนาจากการคัดเลือกสมุนไพรซึ่งพิสูจน์ผลแล้วผสมผสานวิทยาการผลิตสมัยใหม่ได้ตำรับยาที่มีคุณภาพ สะดวกใช้ ราคาประหยัด เพื่อการพึ่งตนเองล่ะก็ แจ้งรายละเอียดมายังหมอชาวบ้านได้ เรายินดีจะเผยแพร่เป็นวิทยาทานต่อไป
- อ่าน 13,426 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้