อาหารที่เรากินทุกวันนี้ล้วนแต่มีส่วนผสมของน้ำตาลอยู่ ทั้งที่มีโดยธรรมชาติในตัวอาหารหรือที่มนุษย์เราแต่งเติมลงไป น้ำตาลที่กล่าวถึงนี้ส่วนใหญ่อยู่ในรูปที่เรียกว่า ซูโครส ซึ่งพบมากในน้ำตาลอ้อย ในน้ำตาลมะพร้าว และน้ำตาลทรายขาว
ในผักและผลไม้จะมีน้ำตาลกลุ่มที่เรียกว่าฟรักโทสและกลูโคส จะเป็นน้ำตาลที่มีขนาดเล็กที่สุดอยู่ตามธรรมชาติ
ถ้าเราเอาน้ำตาลซูโครสมาย่อยด้วยเอนไซม์จะได้น้ำตาลฟรักโทสและน้ำตาลกลูโคสอย่างละ 1 ตัวแล้ว
ฟรักโทสจะเป็นน้ำตาลที่หวานที่สุด แต่กลับถูกดูดซึมผ่านผนังลำไส้เข้าสู่กระแสเลือดได้ช้ากว่ากลูโคสบางคนอาจเคยได้ยินคำว่า น้ำตาลแล็กโทส
ตัวอย่าง ปริมาณและชนิดของน้ำตาลในผักและผลไม้ต่อ
ผัก/ผลไม้ | จำนวนน้ำตาลทั้งหมด(กรัม) | ฟรักโทส(กรัม) | กลูโคส(กรัม) | ซูโครส(กรัม) | มอลโตส(กรัม) |
แอบเปิ้ล | 11 | 6 | 1 | 4 | - |
องุ่น | 19 | 8 | 7 | 2 | 2 |
สตอเบอรี่ | 13 | 5 | 5 | 1 | 2 |
แตงโม | 8 | 4 | 2 | 2 | - |
กะหล่ำปลี | 3 | 1 | 2 | 0.1 | - |
ดอกกะหล่ำ | 3 | 1 | 1 | 1 | - |
แตงกวา | 2 | 1 | 1 | - | - |
ขึ้นฉ่าย | 1.1 | 0.4 | 0.4 | 0.3 | - |
น้ำตาลแล็กโทสจะเป็นน้ำตาลเพียงชนิดเดียวที่ได้จากสัตว์ บางครั้งจะเรียกว่าน้ำตาลนม เพราะพบในผลิตภัณฑ์จากนมของสัตว์เท่านั้น
ส่วนน้ำผึ้งความจริงเป็นเพียงน้ำหวานจากดอกไม้ที่ผึ้งนำมาสะสมไว้เท่านั้น จะเป็นน้ำตาลฟรักโทสและกลูโคส
อาหารจากแป้งเมื่อร่างกายย่อย แล้วก็จะได้เป็นน้ำตาลดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือดเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาลใด ๆ ในอาหาร แบคทีเรียในปากจะดำรงชีพอยู่ได้ด้วยการย่อยสลายแป้ง และน้ำตาลที่คั่งค้างอยู่ในช่องปากทำให้เกิดกรดแล็กติก กรดแล็กติกนี้เองที่จะเป็นตัวทำลายเคลือบฟันให้กร่อน และบางลงจนเกิดฟันผุ
การกินน้ำตาล
ในวันหนึ่ง ๆ คนเราจะได้พลังงานจากน้ำตาลโดยเฉลี่ยร้อยละ 18 แต่ความแตกต่างของการกินนั้นยังขึ้นกับอายุและเพศอีกด้วย นอกจากนี้อาจจะมีการกินของหวานที่มีส่วนผสมของน้ำตาลเกิดขึ้นในกรณีพิเศษ เช่น ในงานตรุษ งานสารท หรืองานฉลองพิเศษ
อย่างไรก็ดี การกินของหวาน ยังเป็นนิสัยการกินประจำตัวหรือแม้แต่เชื้อชาติก็มีส่วนเกี่ยวข้อง
ชาวตะวันตกจะชอบกินของหวานมากกว่าชาวตะวันออก ตำรับของหวานที่ต้องใช้น้ำตาลเป็นส่วนประกอบหลัก ส่วนใหญ่จะเป็นตำรับฝรั่ง
ส่วนตำรับจีนและญี่ปุ่นแทบจะไม่มีระบุตำรับของหวานเลย
สำหรับคนไทยได้รับวัฒนธรรมการกินจากทั้งตะวันตกและตะวันออก และพิถีพิถันเรื่องการกินมาก ตำรับขนมหวานของไทยจึงมีเป็นร้อยชนิด ส่วนประกอบหลักคือน้ำตาล แป้งชนิดต่าง ๆ ไข่และกะทิ โดยเฉลี่ยคนไทยจะกินน้ำตาลทราย 60 กรัมต่อวัน
คนอเมริกันบริโภคน้ำตาลโดยเฉลี่ย 94 กรัมต่อวัน
ชาวยุโรป เช่น เบลเยี่ยม อังกฤษ เยอรมัน เดนมาร์ค บริโภคน้ำตาลโดยเฉลี่ย 97 กรัมต่อวัน
แต่การบริโภคน้ำตาลในปริมาณที่สูงไม่ใช่ปัญหาหลักที่จะทำให้เกิดฟันผุ ทั้งนี้เพราะในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาได้มีการรณรงค์แก้ไขปัญหาฟันผุด้วยการให้เด็กนักเรียนแปรงฟันหลังกินอาหารเป็นประจำ เพื่อลดเศษอาหารที่เกาะตามเนื้อฟันซอกฟันที่แบคทีเรียใช้ดำรงชีพต่อไป
นอกจากนี้ยาสีฟันแทบทุกประเภทจะมีการผสมสารฟลูออไรด์ เพราะฟลูออไรด์มีคุณสมบัติด้านเป็นความกรด กระตุ้นให้มีการสะสมของแร่ธาตุที่ฟันมากขึ้น และมีกลไกที่ช่วยยับยั้งแบคทีเรีย
การป้องกันฟันผุ
การรักษาสุขอนามัยของช่องปากนับว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดในทุกเพศทุกวัย เพราะถ้าสุขภาพภายในช่องปากดีจะทำให้การเกิดฟันผุได้น้อยลง ซึ่งสุขภาพภายในช่องปากจะรวมทั้งการป้องกันการเกิดเหงือก และเนื้อเยื่อในช่องปากอักเสบเรื้อรัง กระดูกที่เป็นเบ้าฟันต้องแข็งแรงและ การแปรงฟันที่ถูกวิธี
ส่วนความสัมพันธ์ของอาหาร ที่จะมีอิทธิพลต่อการเกิดฟันผุนั้น พบว่ามีผลโดยอ้อม เพราะเมื่อร่างกาย ขาดสารอาหารเกิดภาวะทุพโภชนาการจะมีผลต่อภาวะภูมิคุ้มกันของโรคต่ำลง การอักเสบของเนื้อเยื่อจะเกิดได้ง่ายกว่าปกติ ซึ่งจากการสำรวจประชากรจำนวน 21,559 คนทางระบาดวิทยาทั่วโลกด้วยทีมงานวิจัยที่ประกอบด้วยแพทย์ ทันตแพทย์ นักชีวเคมี นักโภชนาการ พบว่า กลุ่มที่มีภาวะเหงือกอักเสบ จะขึ้นกับอายุและสิ่งที่มีอิทธิพลอย่างมากคือการมีสุขภาพอนามัยของช่องปากที่ไม่ดีถึงร้อยละ 66 และได้มีการกล่าวสรุปในที่สุดว่า “สิ่งที่ดีที่สุดของการรักษาสุขภาพช่องปากมิได้ขึ้นอยู่กับอาหารที่กินเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นกับการขจัดคราบที่เกาะที่เรียกว่า พลาค (plaque) ด้วยวิธีแปรงฟันที่ถูกวิธี”
ในเด็กทารกที่ยังไม่สามารถแปรงฟันได้ ควรทำความสะอาดฟันทุกครั้งหลังจากการกินนม อาจให้ดูดน้ำมาก ๆ หลังจากดูดนมแล้วและควรใช้ผ้านิ่ม ๆ เช็ดฟันให้สะอาด การให้เด็กดูดนมจนหลับไปจะทำให้เกิดฟันผุมาก
เมื่อเด็กโตขึ้นสามารถที่จะเคี้ยวอาหารได้ การให้เด็กได้กัดเคี้ยวผัก ผลไม้ที่มีเส้นใยและรสไม่หวานจะมีประโยชน์ในแง่ที่ช่วยขจัดคราบและทำให้ฟันสะอาดและช่วยบริหารเหงือกด้วย แต่มิได้หมายความว่าจะเป็นวิธีที่ใช้แทนการแปรงฟันได้
อย่างไรก็ตามการแปรงฟัน อย่างน้อยที่สุดวันละสองครั้งจะเป็นวิธีที่ทำความสะอาดฟันได้ดี โดยเฉพาะคนที่มีลักษณะโครงสร้างของฟันที่เรียกว่าฟันห่างจะมีเศษอาหารติดได้ง่าย รวมทั้งคนที่มีโครงสร้างของตัวฟันใหญ่ หนา แต่คอฟันและกรามมีขนาดเล็กทำให้เกิดช่องว่าง การทำความสะอาดฟันจะเป็นสิ่งที่ยากมากขึ้น
เมื่อทำความเข้าใจถึงการเกิดภาวะฟันผุแล้ว อาจกล่าวโดยสรุปได้ว่าการกินอาหารไม่จำเป็นต้องงดอาหารแป้งและน้ำตาลเลยเสียทีเดียว แต่ควรกินอาหารให้ได้สัดส่วนและควรลดการส่งเสริมการเกิดภาวะฟันผุ
เคล็ดลับฟันดี |
1. ลดอาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง รวมทั้งท็อฟฟี่ ของหวานที่รสหวานจัด
2. กินผลไม้และผักสดที่มีเนื้อและเส้นใยแข็งบ้าง เพื่อช่วยขจัดคราบเศษอาหารแทนการกินขนมหวานต่าง ๆ
3. เลือกอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย มีความสมดุลของอาหารที่พอเหมาะไม่ว่าจะเป็นแป้ง ข้าว เนื้อสัตว์ ไขมัน ผัก ผลไม้
4. กินอาหารให้เป็นเวลา ไม่ควรกินจุบกินจิก เพราะโอกาสเกิดกรดในช่องปากมีมากขึ้น
5. เสริมความแข็งแรงของฟันโดยการให้ฟลูออไรด์ในเด็ก
6. แปรงฟันให้ถูกวิธีและปฏิบัติจนเป็นกิจวัตรอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง
7. ควรตรวจสุขภาพฟันทุก 6 เดือน
- อ่าน 13,595 ครั้ง
พิมพ์หน้านี้