• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

“ห้องพิเศษน่ะมีไหม”

                นพ.ประจินต์  เหล่าเที่ยง  ผู้อำนวยการโรงพยาบาลวัดจันทร์ เฉลิมพระเกียรติ อ.กัลยาณิวัฒนา จ.เชียงใหม่  เล่าให้ฟังว่า  นายอำเภอเคยเจ็บป่วยต้องนอนที่โรงพยาบาลวัดจันทร์อยู่ 2 ครั้ง  ครั้งแรกจากอุบัติเหตุรถยนต์แหกโค้ง  ครั้งที่สองถูกกับดักสัตว์ของชาวบ้านหนีบข้อเท้า  ซึ่งทั้งสองครั้งต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล  ท่านต้องนอนอยู่แผนกสามัญห้องรวมกับผู้ป่วยอื่นๆ เพราะว่าโรงพยาบาลเป็นโรงพยาบาลขนาดเล็กแค่ 10 เตียง  ไม่มีห้องพิเศษอยู่ในแบบแปลนอาคาร

                โชคดีที่นายอำเภอเป็นคนติดดิน เรียบง่าย ท่านจึงไม่ติดใจอะไร  แต่ถ้าเป็นข้าราชการผู้ใหญ่บางท่าน  คงต้องนั่งรถเกือบ 4 ชั่วโมงเข้าเมืองเพื่อหาห้องพิเศษนอน

                ปัญหาเรื่องห้องพิเศษไม่เพียงพอในโรงพยาบาล  โดยเฉพาะโรงพยาบาลรัฐบาลเป็นปัญหาเรื้อรังอมตะนิรันดร์กาล  ซึ่งเป็นมาตลอดไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลขนาดเล็ก กลาง ใหญ่  โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ หัวเมือง ชนบท ล้วนแล้วประสบปัญหาแบบเดียวกันทั้งสิ้น  จะต่างกันตรงที่ว่า ที่ไหนคิวสั้น คิวยาว มากน้อยกว่ากัน

                ผู้เขียนเอง  แม้ไม่ได้ทำงานในโรงพยาบาลมานานแล้ว  แต่ก็ต้องรับโทรศัพท์จากพรรคพวกเพื่อนฝูงบ้าง  ญาติบ้างอยู่เป็นประจำเพื่อให้ช่วยใช้ความคุ้นเคย เส้นสายหาห้องพิเศษให้ (บางครั้งก็เหมือนลัดคิวนั่นแหละครับ)

                สาเหตุที่คนไข้และญาติส่วนใหญ่ต้องการนอนห้องพิเศษ  ยินดีควักกระเป๋าจ่ายเงินเอง  แม้จะมีโครงการหลักประกันสุขภาพรองรับค่าใช้จ่ายด้านรักษาพยาบาลให้แล้ว  เพราะตึกสามัญ ห้องรวม มักมีเสียงดัง พลุกพล่าน มีญาติคนไข้เดินเข้าออก  บางครั้งมีเสียงร้องครวญคราง หรือมีกลิ่นหยูกยา กลิ่นเลือด ทำให้รบกวนสมาธิพักผ่อนของผู้ป่วย

                ระยะหลังๆมานี้  นับตั้งแต่มีการติดต่อของโรคระบาดทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัดนก โรคSAR หลายโรงพยาบาลต้องกันห้องพิเศษไว้เป็นห้องแยกโรคต่างหากอีก  บางโรงพยาบาลต้องมีห้องแยกให้ผู้ป่วยวัณโรคที่ยังอยู่ในระยะแพร่เชื้อ  ทำให้จำนวนห้องพิเศษในโรงพยาบาลยิ่งร่อยหรอลงไปอีก...

                โรงพยาบาลรัฐบาลเนื่องจากมีงบประมาณจำกัด และมีปริมาณผู้ป่วยมาก จึงทำให้จำนวนห้องพิเศษมีน้อย ไม่พอเพียงต่อความต้องการ ในสภาวะที่งบประมาณของแต่ละโรงพยาบาลล้วนแล้วแต่ต้องบริหารด้วยความระมัดระวังและประหยัด  การมีห้องพิเศษถือเป็นรายได้เข้าโรงพยาบาลที่ให้ผลตอบแทนคุ้มค่าการลงทุน

                สมัย ดร.อาทิตย์  อุไรรัตน์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข  เคยมีดำริที่ให้รัฐและเอกชนร่วมมือกัน โดยให้เอกชนเข้าไปลงทุนก่อสร้างอาคารที่มีห้องพิเศษในโรงพยาบาลของรัฐได้ แล้วแบ่งรายได้ ผลประโยชน์กัน แต่ก็ไม่สำเร็จ  พ้นจากวาระสมัยไปก่อน

                พญ.วลัยรัตน์  ไชยฟู  ผู้อำนวยการโรงพยาบาลปาย  จ.แม่ฮองสอน ซึ่งเป็นโรงพยาบาลชุมชนขนาด 60 เตียง  มีห้องพิเศษอยู่ประมาณไม่ถึง 10 ห้อง  เล่าว่า อำเภอของท่านนอกจากต้องดูแลคนพื้นที่ประมาณ 20,000 คน ยังต้องดูแลคนที่มาจากจังหวัดอื่นที่มาทำงานในสถานประกอบการโรงแรม รีสอร์ท ที่สำคัญคือ มีนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะฝรั่งและคนจีนเข้ามาใช้บริการทุกวัน วันละไม่ต่ำกว่า 20 ราย  มีอุบัติเหตุจราจรซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากนักท่องเที่ยวกว่าวันละ 10 ราย  ทำให้ไม่สามารถมีห้องพิเศษไว้รองรับได้พอเพียง

                ติดรั้วโรงพยาบาลปาย  มีรีสอร์ทขนาด 3 ดาว  มีห้องพักกว่า 60 ห้อง ซึ่งกิจการไม่ค่อยดีนัก  ด้านหลังรั้วโรงพยาบาลปาย ก็กำลังมีการก่อสร้างโรงแรมขนาด 4 ดาว อีก 1 แห่ง  ผมยังอดสงสัยว่าแค่เปิดรั้วให้เดินทะลุเข้าหากันได้แล้วให้ใช้ห้องพักของเอกชนเป็นห้องพิเศษได้  โดยมีเพียงหมอและพยาบาลเดินเข้าออกได้  อย่างนี้ก็จะเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย  เรียกว่าอยู่ในสถานะ win-win  ทั้งผู้ป่วย  โรงพยาบาล และสถานประกอบการเอกชน  ลักษณะของการบริหารจัดการแบบนี้ เรียกว่า “รัฐร่วมเอกชน” (Private-Public Partnership)ซึ่งควรเปิดระเบียบให้สามารถกระทำได้  โดยรัฐไม่ต้องไปลงทุนเองทั้งหมด ทั้งที่ดินและสิ่งก่อสร้าง

                ประเทศไทยของเรานั้น  จริงๆแล้วไม่ได้ขัดสนเงินทองมากนัก  แต่สิ่งที่เป็นปัญหาหลักซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการให้บริการดูแลประชาชนด้านสุขภาพอนามัยอย่างหนึ่งคือ ระเบียบราชการที่ติดกรอบ กลัวคนโกง กลัวจะรั่วไหล หรือ ราชการเสียผลประโยชน์ ตลอดจนกรอบวิธีคิด (Mindset) ที่ยังรวบอำนาจการตัดสินใจต่างๆไว้ที่ส่วนกลางมากเกินไป

                ในต่างประเทศ เช่น ออสเตรเลีย  มีพัฒนาการของรัฐร่วมเอกชนที่ก้าวหน้ามากในโรงพยาบาลหนึ่งแห่ง  อาจมี 2 ซีก คือ ซีกที่บริหารแบบราชการ และอีกซีก บริหารแบบเอกชน  โดยใช้ผู้บริหาร (CEO) ชุดเดียวกัน (ดังนั้นเราจะเห็นอาคารหลังเดียวกันที่มีระบบราชการอยู่ปีกหนึ่ง และระบบเอกชนอยู่ปีกหนึ่ง)  นอกจากนี้ยังมีระบบแบบที่แยกผู้บริหารเป็น 2 ชุดก็มี  ระบบดังกล่าวมีประโยชน์ตรงที่สามารถนำผลกำไรจากภาคบริหารแบบเอกชนมาเสริมส่วนขาดในภาครัฐได้

                ในประเทศไทยนี้  กำลังมีการออกกฎหมายฉบับใหม่ที่มีชื่อพระราชบัญญัติกิจการเพื่อสังคม (Social Enterprise) ที่ให้ความสำคัญกับองค์กรแบบใหม่ซึ่งตั้งขึ้นมาเพื่อแสวงกำไร  แต่นำผลกำไรนั้นบางส่วนไปเกื้อกูลประโยชน์ต่อสังคมโดยตรง

                กรณีห้องพิเศษในโรงพยาบาลนั้น  หลายโรงพยาบาล ผู้อำนวยการใช้วิธีของบบริจาคภาคส่วนต่างๆมาสร้างห้องพิเศษรองรับ  บางแห่งใช้ชื่อว่าตึกสงฆ์อาพาธ  แต่มีส่วนหนึ่งเท่านั้นที่ใช้ประโยชน์สำหรับพระสงค์  ที่เหลือใช้เป็นห้องพิเศษ  หลายโรงพยาบาลใช้วิธีเลี่ยงบาลีแบบนี้  ในการสร้างอาคารโดยใช้งบประมาณแผ่นดิน  เพื่อสร้างห้องพิเศษในโรงพยาบาล  ทั้งนี้และทั้งนั้นขึ้นอยู่กับกำลังทรัพย์และฝีไม้ลายมือของผู้บริหารโรงพยาบาลแต่ละแห่ง

                เรื่องจริงที่น่าเศร้าใจคือ  ในขณะที่โรงพยาบาลรัฐบาลต้องการห้องพิเศษอีกมากมายแต่ไม่พอ  ในโรงพยาบาลเอกชน กลับมีห้องพิเศษเหลืออยู่อีกจำนวนมาก  ปล่อยว่าง ทิ้งไว้ ไม่ได้ใช้งาน...

                ขอห้องพิเศษให้ชาวบ้านหน่อยเถิดครับ...ท่านที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหลาย อย่าอ้างแต่ว่าไม่มีวงบประมาณ ผิดระเบียบ...

ข้อมูลสื่อ

435-1330
นิตยสารหมอชาวบ้าน 435
กรกฎาคม 2558
นพ.วีระวัฒน์ พันธ์ครุฑ