• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

ปัญหาสุขภาพผู้ต้องขัง

                “หากคุณอยากรู้ว่า  ผู้คนในประเทศนั้นมีมโนทัศน์และความสัมพันธ์กันเช่นไร  ทัณฑสถานและเรือนจำเป็นที่หนึ่งที่ตอบคำถามนี้ได้”

เนลสัน  เมนเดล่า

(อดีตประธานาธิบดีแอฟริกาใต้)

                                        

                …เมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมานี้  มีข่าวแพร่หลายใน social media เรื่องกรมราชทัณฑ์และรัฐบาลไทย  นิรโทษกรรมผู้ต้องขังในเรือนจำทำให้นักโทษ ๓๐,๐๐๐ คนได้รับการปล่อยตัว  ความเป็นห่วงเป็นใยของหลายคนคือ อดีตผู้ต้องขังเหล่านี้จะกลับมาก่อคดีและสร้างปัญหาให้กับสังคมไทย  ทำให้เกิดความเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้าหรือไม่  บางคนอาจจะห่วงใยเกินไปกว่าเหตุหรือเปล่า

                ไม่ว่าเราจะเรียกเขาว่า นักโทษก็ดี ผู้ต้องขังก็ดี คนคุกก็ดี ขณะนี้ในเรือนจำและทัณฑสถาน ๑๘๘ แห่งทั่วประเทศ  มีผู้ต้องขังอยู่ถึง ๓ แสนคน หรือ ๑ : ๒๒ ประชากร หรือ เท่ากับประชากรในจังหวัดพังงาทั้งจังหวัด  ซึ่งในจำนวนนี้ประมาณ ๗๐% เป็นผู้ต้องขังที่ต้องคดียาเสพติด  โดยเป็นผู้ต้องขังหญิงประมาณ ๑๕%

                ตัวเลขที่น่าตกใจคือ  สัดส่วนคนติดคุกของประเทศไทยสูงที่สุดใน ASEAN และสูงเป็นอันดับ ๖ ของโลก (คิดต่อแสนประชากร)  หลายคนอาจจะคิดไปไกลถึงว่าประเทศไทยเป็นเมืองพุทธ ที่ผู้คนนับถือศาสนาพุทธเป็นศาสนาหลัก  สอนให้ผู้คนยึดมั่นในการกระทำความดี มีศีลธรรม แต่เหตุไฉนเราจึงมีคนถูกจับติดคุกมากมายขนาดนี้

                สถานการณ์ปัจจุบัน  เรื่องผู้ต้องขังในคุกของเรากำลังกลายเป็นระเบิดลูกใหญ่ที่กำลังจะปะทุในเร็ววันนี้  เพราะเต็มไปด้วยปัญหารุมเร้าทั้งเรื่องความแออัดยัดเยียด  บุคลากรในเรือนจำไม่พอเพียง  งบประมาณไม่พอ  สภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม  ปัญหาด้านสุขภาพผู้ต้องขัง  ไปจนถึงการจัดการของกรมราชทันฑ์ กระทรวงยุติธรรมและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องที่ละล้าละลัง และตอบสนองปัญหาเหล่านี้อย่างเชื่องช้า...

                เคยมีความพยายามและข้อเสนอของกรมราชทันฑ์ในการสร้างเรือนจำเพิ่มอีก ๔๔  แห่ง  ซึ่งเป็นข้อเสนอที่ไม่โดนใจรัฐบาล เพราะเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ  ไม่ว่าเราจะสร้างเรือนจำเพิ่มขึ้นอีกสักเท่าไร  ก็คงไม่พอที่จะดูแลผู้ต้องขังที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆอย่างรวดเร็ว

                ปัญหาด้านสุขภาพของผู้ต้องขังถือเป็นปัญหาใหญ่ที่สำคัญที่กระทบต่อคุณภาพชีวิตมาก  ปกติผู้ต้องขังในเรือนจำส่วนใหญ่มีชีวิตเหมือน “บัวแล้งน้ำ”  รู้สึกตัวเองด้อยคุณค่า  ไม่มีอนาคต ใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ  ความน่าอดสูด้านสิ่งแวดล้อมที่เป็นอยู่ในขณะนี้ไม่ว่าจะเป็นความแออัดในเรือนนอน (ซึ่งทำให้บางคนนอนไม่พอ หรือนอนไม่หลับ) เวลาอยู่ในโรงนอนที่นานเกินไป (๑๔-๑๕) ชั่วโมง  ได้อาบน้ำแค่ ๕ ขัน  อาหารการกินที่ด้อยคุณค่าทางโภชนาการ (มีรายงานผู้ต้องขังในเรือนจำทางภาคใต้แห่งหนึ่งป่วยเป็นโรค Beri Beri หลายรายซึ่งเกิดมาจากการขาด VitaminB1 เพราะบริโภคข้าวที่เสื่อมสภาพ  ประมูลมาในราคาต่ำ  เป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจมาก)  ไปจนถึงปัญหาทัศนคติของผู้คุมที่มีต่อผู้ต้องขัง  ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพที่เปราะบางและความเจ็บป่วยที่ตามมา  นักโทษจำนวนมากถึงแก่ชีวิตในเรือนจำก่อนครบกำหนดโทษทั้งๆ ที่อายุยังน้อย เพราะปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ที่สุมรุมเร้าอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

                ปัญหาด้านสุขภาพของผู้ต้องขังที่สำคัญ  ได้แก่

•       การเข้าไม่ถึงบริการ หรือเข้าถึงได้ช้าในเวลาเจ็บป่วย เช่น ปัญหาด้านทันตกรรม โรคชรา ปัญหาด้านสูตินรีเวช เพราะบุคลากรในเรือนจำ เช่น พยาบาล หรือผู้คุมที่จะพาไปโรงพยาบาลมีไม่พอ

•      ความแออัดทำให้การเจ็บป่วยเป็นโรคทางเดินหายใจสูง สถิติพบว่าผู้ต้องขังในเรือนจำมีอัตราการป่วยเป็นวัณโรคที่สูงมาก

•      โรคติดต่อทางอาหาร ท้องเสีย เพราะการปนเปื้อนในอาหารและน้ำดื่ม                     

•      ปัญหาทันตกรรม  ซึ่งปกติโรงพยาบาลจะไม่ส่งเจ้าหน้าที่มาดูแล เพราะบุคลากรไม่เพียงพอในระบบบริการปกติอยู่แล้ว

•      ปัญหาสุขภาพจิต ได้แก่ ภาวะซึมเศร้า จิตตก บางคนมีอาการเหมือนคนวิกลจริตเมื่ออยู่ในเรือนจำไปนานๆ  การฆ่าตัวตายพบอยู่เป็นประจำ

•      ระบบการสนับสนุนเงินงบประมาณของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ  โอนเงินผ่านไปที่โรงพยาบาลประจำพื้นที่ที่ให้กรมราชทัณฑ์ไม่เอื้อต่อการพัฒนางานสร้างเสริมสุขภาพและรักษาพยาบาลภายในเรือนจำ

•      สำหรับผู้ต้องขังหญิง  จะมีปัญหาเฉพาะตัวที่แตกต่างบางอย่าง เช่น ไม่มีการคัดกรองและเฝ้าระวังมะเร็งปากมดลูก  และมะเร็งเต้านม  บางคนตั้งครรภ์ต้องเลี้ยงลูกในเรือนจำ  บางคนถูกละเมิดทางเพศโดยผู้ต้องขังด้วยกัน  การใช้เวลาของพวกเธอในแต่ละวันให้ล่วงเลยไปเป็นเรื่องขมขื่นใจมาก

เป็นที่น่ายินดีว่าขณะนี้  พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ได้ทรงเล็งเห็นปัญหาคุณภาพชีวิตของผู้ต้องขัง  จึงได้ทรงพัฒนาโครงการกำลังใจขึ้น  ซึ่งกรมราชทัณฑ์ได้ร่วมมือกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ตอบสนองดำริของพระองค์ท่านโดยการพัฒนามโนทัศน์และโครงการใหม่ๆ ได้แก่

–     การเปิดพื้นที่เรือนจำออกสู่สังคม เช่น ศูนย์เชื่อมโยงเรือนจำกับสังคม

–     การสร้างพลังชีวิตผ่านการทำงานอิสระและสร้างสรรค์ เป็นการสร้างงานที่มีผลผลิตและมีรายได้แก่ผู้ต้องขัง

–     การฝึกโยคะ  การนวดแผนไทยในเรือนจำ

–     การสร้างกุญแจดอกที่สอง เพื่อเปิดพื้นที่ให้ผู้ต้องขังที่พ้นการจองจำแล้วมีพื้นที่ยืนในสังคม

–     การจัดให้ผู้ต้องขังในเรือนจำได้เข้าถึงบริการด้านสุขภาพได้ง่ายขึ้น  เช่น  การคัดกรองมะเร็งปากมดลูก หน่วยแพทย์เคลื่อนที่เข้าทำงานด้านทันตกรรมในเรือนจำ

สังคมไทย  ควรเปิดใจและเข้าใจชีวิตของผู้ต้องขังในเรือนจำให้มากขึ้น  คนเหล่านี้เมื่อพ้นจากเรือนจำออกมา  ก็ยังกลับมาเป็นพลเมืองที่สร้างผลผลิตทางเศรษฐกิจและสังคมให้แก่ประเทศได้  ขอแต่เพียง “ให้โอกาส” เขาบ้าง  อย่าตีตราและตอกย้ำความผิดพลาดของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ข้อมูลสื่อ

441-1330
นิตยสารหมอชาวบ้าน 441
มกราคม 2559
นพ.วีระวัฒน์ พันธ์ครุฑ