• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

ร่วมด้วยช่วยกันเยียวยาโลกธรรมสัญจรสู่มูลนิธิพุทธฉือจี้

ร่วมด้วยช่วยกันเยียวยาโลกธรรมสัญจรสู่มูลนิธิพุทธฉือจี้
(เขียนเมื่อ 30 พฤศจิกายน 2549)



3 ท่านธรรมาจารย์เจิ้งเหยียน (ต่อ)

ชินหยุนอยู่กับแม่ที่บ้านต่อมาอีก 1 ปีโดยไม่พูดถึงแผนในอนาคตของเธอนางหว่องมารดาของเธอกลัวลูกสาวจะหนีไปอีกจึงคอยเฝ้าระวังอยู่ แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปความระวังระไวก็น้อยลง เพราะเชื่อว่าลูกสาวล้มเลิกความคิดที่จะบวชชีแล้วการที่ไปมาหาสู่กับหลวงพี่เมฆเมตตาก็เป็นเพียงเพราะความเป็นเพื่อนกัน
แต่ความเป็นเพื่อนของทั้งสองก็เข้มข้นขึ้นหลวงพี่เมฆเมตตาเล่าให้ชินหยุนฟังว่าเธอเคยอยู่ในประเทศญี่ปุ่นมาก่อน ลีลาชีวิตของพระภิกษุและแม่ชีในญี่ปุ่นต่างจากในไต้หวัน นอกจากสวดมนต์และเทศนาแล้ว ภิกษุและแม่ชียังทำประโยชน์ต่อสังคมด้วยกิจกรรมอื่นๆ อีกหลายอย่าง

" หลังจากกลับมาไต้หวัน ฉันไม่คุ้นเคยกับลีลาชีวิตที่นี่ ฉันอยากเห็นแม่ชีในวัดของฉันทำประโยชน์แก่สังคมอย่างพระภิกษุและแม่ชีในญี่ปุ่น แต่ก็ยากมากที่จะไปเปลี่ยนประเพณีที่เคยชิน "
คำพูดของหลวงพี่เมฆเมตตามีผลกระทบต่อชินหยุนอย่างลึกซึ้ง เมื่อพบกับหลวงพี่เมฆเมตตาในครั้งต่อมา เธอบอกกับเพื่อนของเธอว่า
" ในภายภาคหน้าถ้าฉันบวชชี ฉันจะเปลี่ยนประเพณีนั้น ลูกศิษย์ของฉันต้องไม่เป็นแต่ผู้น่าเคารพเท่านั้น แต่ต้องทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อสังคมด้วย " ด้วยความกระตือรือร้นของหญิงสาววัย 24 ปี ชินหยุน
กล่าวต่อไปว่า "ด้วยเพศแม่ชี ฉันจะมีเป้าหมาย 2อย่าง อย่างหนึ่งจะต้องทำงานเพื่อให้ได้มาซื้ออาหาร ลูกศิษย์และฉันจะไม่ดำรงชีวิตด้วยการรับบริจาค วันไหนไม่ทำงาน วันนั้นก็ไม่ต้องกิน เป้าหมายที่ 2 คือการรับใช้สรรพชีวิตทั้งมวลภายใต้โลกหล้า และสอนพุทธศาสนาให้ทุกๆ คน ไม่ว่าอายุเท่าใด เพศอะไร ยากดีมีจน มีการศึกษาหรือไม่ หรือมีอาชีพอะไร "
หลวงพี่เมฆเมตตาไม่พูดอะไรสักคำ เพียงแต่พยักหน้าอย่างเห็นด้วย

คิมหันตฤดูก็เคลื่อนเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง และก็ได้เวลาเกี่ยวข้าว เช้าตรู่วันหนึ่ง ชินหยุนไปจ่ายตลาดตามปกติ ไม่ช้าตะกร้าหวายของเธอก็เต็มไปด้วยกับข้าว เธอจ้างเด็กส่งของให้นำตะกร้ากับข้าวไปส่งที่บ้าน เธอเดินตัวเปล่าออกไปชานเมืองฟอนหยวน และไปถึงอารามเมฆเมตตา วัดนี้มีทุ่งนาอยู่รอบๆ พวกแม่ชีกำลังเกี่ยวข้าวกันอยู่ เมื่อพวกแม่ชีมองมาเห็นชินหยุนก็โบกมือให้

หลวงพี่เมฆเมตตาก็เกี่ยวข้าวอยู่ในหมู่แม่ชี เมื่อมองมาเห็นชินหยุน เธอก็ยิ้มและพูดว่า
" มาช่วยกันหน่อย "

โดยไม่ลังเลใจ ชินหยุนขอยืมหมวกใส่แล้วเข้าไปร่วมเกี่ยวข้าว แดดในฤดูเก็บเกี่ยวอบอุ่น ลมพัดอ่อน ท้องฟ้าใสปราศจากเมฆ นกบินหนีมาจากบริเวณอากาศหนาว ชินหยุนแหงนหน้ามองท้องฟ้าเป็นครั้งคราว ชอบความสงบและความงาม เธอเกี่ยวข้าวอยู่เคียงข้างหลวงพี่เมฆเมตตา

ช่วงหนึ่งหลวงพี่หยุดพักเพื่อดัดหลังให้ตรง และถามชินหยุนว่า "เธอยังต้องการบวชชีอยู่หรือเปล่า ถ้ายังต้องการจะหนีไปพร้อมกับฉันไหม "

ชินหยุนสะดุ้งกับคำถามอย่างกะทันหัน ไม่ตอบทันที แน่นอน เธอยังต้องการบวชชีอยู่ แต่ก็ยังจำได้ถึงที่แม่ตามไปเอาตัวกลับมา

หลวงพี่เมฆเมตตาพูดต่อไปว่า " ฉันไตร่ตรองมาสักพักแล้วว่า จะหาวัดสักแห่งที่ห่างไกลจากที่นี่จะได้ริเริ่มทำสิ่งใหม่ๆ ถ้าเธอต้องการ เราก็ไปด้วยกัน เดี๋ยวนี้เลย"

" เดี๋ยวนี้เลยหรือ"
ชินหยุนถาม คงจะดีถ้าไปกับแม่ชีที่มีประสบการณ์ แต่เธอก็ไม่ได้เตรียมตัวมาเลย
"แต่ฉันไม่มีอะไรในกระเป๋าเลยนอกจากลมแห่งฤดูใบไม้ร่วง"

"ถ้ายังงั้น เธอก็ต้องเดินทางด้วยกระเป๋าที่มีแต่ลม"หลวงพี่เมฆเมตตากล่าว
"ถ้าเธอกลับไปจัดของที่บ้าน เธอก็ไม่ได้ไป"ชินหยุนมองเข้าไปในตาเพื่อน แล้วก็เกิดความกล้าขึ้นมาอย่างทันทีทันใด
"เธอพูดถูก ถ้าตั้งใจแล้วว่าจะทำอะไร เดี๋ยวนี้เป็นเวลาที่ดีที่สุด! "

ปรึกษากันสั้นๆ ทั้งสองก็ตัดสินใจว่าเนื่องจากชินหยุนไม่มีอะไรติดตัว หลวงพี่เมฆเมตตาจะต้องเตรียมของใช้สำหรับ 2 คน และมีเงินติดตัวไปด้วยเล็กน้อย ทั้งสองทิ้งหมวกชาวนาไว้ข้างกองฟาง แล้วเดินออกจากทุ่งนาไป หลวงพี่เมฆเมตตาเดินไปที่วัด ส่วนชินหยุนเดินไปที่ถนนใหญ่ซึ่งเชื่อมระหว่างเมืองฟอนหยวนกับเมืองไตชุง

ชินหยุนยืนรออยู่บนริมทางหลวงกลางแสงแดด ใจเต้นตึ๊กตั๊ก เวลามีรถถีบผ่านมาก็กลัวว่าจะมีใครที่เธอรู้จักนั่งมาด้วย หลวงพี่เมฆเมตตาใช้เวลาไม่นานนักในการจัดของ แต่สำหรับชินหยุนแล้วช่างเป็นการรอคอยที่นานแสนนานกว่าเพื่อนจะปรากฏตัว

" เราไปสถานีรถไฟกัน " หลวงพี่เมฆเมตตากล่าว "เราจะต้องเลือกระหว่างสถานีฟอนหยวนกับสถานีไตชุง "
"ฉันคิดว่าสถานีไตชุงจะปลอดภัยกว่า " ชินหยุนว่า
"งั้นเราก็ไปไตชุง " หลวงพี่เมฆเมตตาเห็นด้วยทั้งสองรอรถถีบคันต่อไปโดดขึ้นนั่ง สั่งให้ไปสถานีไตชุง

ไตชุงตั้งอยู่ตอนกลางของเกาะไต้หวัน เป็นเมืองที่ใหญ่กว่าฟอนหยวนมาก สถานีรถไฟมีผู้คนแน่น หน้าห้องขายตั๋วก็มีคิวยาวเป็น 2 แถว แถวหนึ่งสำหรับผู้เดินทางไปทิศเหนือ อีกแถวหนึ่งสำหรับผู้เดินทางไปทิศใต้
"เราจะไปทางเหนือหรือใต้" หลวงพี่เมฆเมตตาถาม
"ไม่รู้เหมือนกัน " ชินหยุนตอบและพูดต่อไปว่า "ให้กรรมเป็นเครื่องตัดสินก็แล้วกัน ถ้ารถไฟที่จะไปทางใต้มาก่อน เราก็จะไปทางใต้ ถ้ากลับกันเราก็จะไปทางเหนือ"

ทั้งสองคนเช็กตารางรถไฟ พบว่าขบวนแรกที่จะมาไตชุงจากทางเหนือวิ่งลงใต้ ก็เลยซื้อตั๋วไปเมืองเกาชุงซึ่งอยู่ทางใต้สุดของเกาะไต้หวัน
รถไฟวิ่งผ่านแม่น้ำหลายสาย มองจากหน้าต่างไปที่สะพาน
ชินหยุนพูดว่า "แม่น้ำไม่ได้พูดเลยว่าจะไหลไปไหน กรรมเป็นผู้ตัดสินหนทางของน้ำ เธอกับฉันเป็นเหมือนน้ำก็แล้วกัน ให้กรรมเป็นเครื่องตัดสินเส้นทางเดินของเรา "

มาถึงเกาชุง โดยสัญชาตญาณทั้งสองไม่อ้อยอิ่งอยู่ที่สถานีรถไฟ แต่ไปที่จอดรถประจำทาง เกาะไต้หวันมีภูเขาตรงกลางแบ่ง เกาะเป็นซีกตะวันออกเรียกว่าข้างหลัง ซีกตะวันตกเรียกว่าข้างหน้า
"เราจะไปทางตะวันออกหรือตะวันตก"หลวงพี่เมฆเมตตาถาม
"เธอต้องการด้านหน้าหรือด้านหลังของภูเขา"
"ครั้งที่แล้ว ฉันไปทางด้านหน้าภูเขาแล้วไปพักอยู่ที่อารามจิตสันติได้ 3 วัน แม่ก็ไปหาฉันเจอ คราวนี้ไปด้านหลังภูเขาดีไหม"
ชินหยุนตอบ


เขาก็เลยซื้อตั๋วไปไตตุง ซึ่งเป็นเมืองทางฝั่งตะวันออกของไต้หวัน และแล้วเขา ก็ไม่มีเงินเหลืออยู่เลย หลวงพี่เมฆเมตตา พูดว่า "ฉันมีพี่ชายคนรองเป็นทันตแพทย์อยู่ที่ไตตุง ฉันไม่ได้พูดถึงเขา เพราะเราไม่สนิทกันเท่าไร แต่คราวนี้อาจจะจำเป็นต้องขอพักอยู่กับเขาชั่วคราว "
ทั้งสองไปค้างคืนที่บ้านพี่ชายของหลวงพี่เมฆเมตตา ยืมเงินพี่มาจำนวนหนึ่ง แล้วเช้าวันรุ่งขึ้นก็ไปสถานีรถไฟอีก

"เราจะไปไหน " ชินหยุนถามขณะที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะขายตั๋ว "เราจะต้องตัดสินใจ..."เธอชะงัก เพราะได้ยินเสียงผู้ชายตะโกนเรียก "ชอนุ้ย" ชอนุ้ยแปลว่าเด็กหญิงที่อุทิศตัวให้พ่อแม่
" ชอนุ้ย " เสียงเรียกซ้ำมาจากอีกด้านหนึ่งของสถานี
ชินหยุนเห็นชายผู้หนึ่งวิ่งมาหาและพูดว่า "ฉันเห็นผมยาวของเธอจากระยะไกล และคิดว่าต้องเป็นเธอแน่ "ชินหยุนจำได้ว่าชายผู้นี้เป็นเพื่อนกับพ่อ เห็นว่าไม่มีทางหนีทันจึงยืนรอเขาอยู่
" ชอนุ้ย " ชายผู้นั้นมองชินหยุนและหลวงพี่เมฆเมตตาด้วยความสงสัย "แม่เธอรู้ หรือเปล่าว่าเธออยู่ที่ไหน "

ชินหยุนอ่านใจของชายชราผู้นี้ได้ว่าเขาสงสัยว่าเธอจะหนีแม่เพื่อไปบวชชีอีก ชินหยุนตัดสินใจว่าจะไม่พูดความจริง "แม่รู้ว่าฉันอยู่ที่ไหน ฉันกำลังพักร้อน พักจากงานบ้านทั้งปวง "
ชายชราผู้นั้นมองอย่างไม่เชื่อ ทำตาปริบๆ แล้วก็เดินจากไป เขาเดินไปที่รถมอเตอร์ไซค์ ที่จอดอยู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ขี่รถออกไป แต่เมื่อชินหยุนโล่งอกได้ชั่วครู่เดียว เขาก็ขับรถซิกแซกผ่านฝูงชนเข้ามาจอดข้างเธอ
" ชอนุ้ย เธอไม่ได้โกหกนะ แม่เธอรู้จริงๆ หรือว่าเธออยู่ที่ไหน เธอไม่ควรหนีออกจากบ้านเหมือนเมื่อปีที่แล้วอีก "
ชินหยุนใจหายวาบ เธอหลอกชายชราผู้ฉลาดไม่สำเร็จ แต่ก็พยายามที่จะทำให้เขาเชื่อ เขาจากไปอย่างละล้าละลัง ชินหยุนรู้ว่าถึงจะไม่ถูกพาตัวกลับไปบ้าน แต่ก็ไม่ปลอดภัยจากการตามตัวของมารดาถ้าจะอยู่ในไตตุงต่อไป "หลวงพี่เมฆเมตตา เราจะต้องเดินทางออกจากไตตุงเดี๋ยวนี้ "
หลวงพี่พยักหน้า " เรามีเงินพอซื้อตั๋วรถไฟ 2 ใบ แต่เราจะไปไหน "
ชินหยุนก็ไม่รู้เหมือนกัน ปรึกษากันแล้วก็ตัดสินใจว่าแล้วแต่กรรมจะพาไปก็แล้วกัน หลวงพี่เมฆเมตตามองดูรายการที่อยู่เหนือโต๊ะขายตั๋ว แล้วตาเบิกกว้าง " รถไฟขบวน ถัดไปจะไปสวนกวาง หมู่บ้านแห่งหนึ่งใกล้เมืองหัวเหลียน...ทำไมชื่อนี้ทำให้ตัวฉันสั่นอย่างนี้?"

เพ่งมองไปที่ชื่อ ใบหน้าของชินหยุนสุกสกาวด้วยรอยยิ้ม " สวนกวาง " เป็นชื่อ ของหมู่บ้านหนึ่งในตอนเหนือของอินเดียเมื่อกว่า 2 พันปีมาแล้ว! หลังจากออกจากพระราชวังมาเป็นภิกขุ เจริญภาวนาอยู่หลายปีและตรัสรู้ พระพุทธองค์ทรงแสดงปฐมเทศนา ที่สวนกวาง!
" ถ้างั้นเราไปสวนกวางกันเลย " หลวงพี่เมฆเมตตาสนอง
" ตั๋ว 2 ใบไปสวนกวาง" ทั้งสองบอกกับคนขายตั๋วพร้อมกัน

" ไม่มีอะไรจะสำเร็จเสร็จสิ้น ถ้าเราเพียงแต่จะยืนรอให้มีมือยื่นมาช่วยจากฟากฟ้านภากาศ "

                                                                                                                 ธรรมาจารย์เจิ้งเหยียน

" สวนกวางนี่เป็นอย่างไรนะ " ชินหยุนถามคนขนกระเป๋า เมื่อรถไฟมาจอดที่สถานี
ชายผู้นั้นยักไหล่ " เป็นหมู่บ้านที่เกือบไม่มีคนอยู่เลย มีร้านขายของเล็กๆ อยู่สองสามร้าน " เขารอให้ชินหยุนและหลวงพี่เมฆเมตตาลงจากรถไฟ แล้วตะโกนตามหลังไป
" อยู่แถวเดียวกับสถานีรถไฟนี่เอง! "

ชินหยุนและหลวงพี่เมฆเมตตามองดูรอบๆ ตามปกติสถานีรถไฟจะมีคนหนาแน่นที่สุดในเมือง แต่สถานีสวนกวางเงียบเหงา หน้าร้าน 3 ร้านมีคนอยู่กลุ่มหนึ่งใส่เสื้อผ้าขาดวิ่น
" มีวัดอยู่ที่ไหนบ้างหรือเปล่า " ชินหยุนถามชาวบ้านคนหนึ่ง
ชาวบ้านมองผู้มาใหม่ด้วยความแปลกใจ เพราะที่นี่ไม่ค่อยมีใครมาจึงดูผิดปกติที่มีหญิงสาวสวยกับแม่ชีมาด้วยกัน หญิงคนหนึ่งตอบว่า " มี " และชี้ไปยังภูเขาสูง "มีวัดเดียว อยู่เกือบถึงยอดเขาโน่น "ชินหยุนขอบคุณหญิงผู้นั้นและหันไปพูดกับหลวงพี่เมฆเมตตา
พร้อมที่จะปีนเขาหรือยังฉันมีทางเลือกด้วยหรือ"หลวงพี่ถอนใจ

เมื่อเดินมาถึงตีนเขาก็เป็นเวลาสายแล้ว ทางเดินแคบๆ มีต้นหญ้าปกคลุม มีต้นไม้ระเกะระกะสองข้างทาง ที่เกี่ยวแขนและหน้าของบุคคลทั้งสอง ซึ่งปีนเขาขึ้นไปจนถึงเวลาเที่ยง เสื้อผ้าชุ่มไปด้วยเหงื่อ ร่างกายฟกช้ำดำเขียว
ต้องเป็นตรงนั้นแน่เลย " ชินหยุนชี้ไปที่ที่พักหลังเล็กๆ
" แต่มันไม่ใช่วัดนี่  " หลวงพี่เมฆเมตตาพูดด้วยความ ผิดหวัง" มันเป็นศาลเจ้าที่สร้างโดยพวกญี่ปุ่น! " 

                                                                                                                                              (ยังมีต่อ)

ข้อมูลสื่อ

333-016
นิตยสารหมอชาวบ้าน 333
มกราคม 2550
ศ.นพ.ประเวศ วะสี