• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

15 คำถามน่ารู้ เด็กหลอดแก้ว

15 คำถามน่ารู้ เด็กหลอดแก้ว

1. เด็กหลอดแก้วคืออะไร ทำไมจึงเรียกเด็กหลอดแก้ว ?  ?

คนทั่วไปมักไม่รู้หรือเข้าใจผิดว่า การทำ “เด็กหลอดแก้ว” หมายถึงการก่อให้เกิดตัวอ่อนมนุษย์และเลี้ยงดูอยู่ภายในหลอดแก้วจนโตเป็นเด็กตัวเล็กๆ จากนั้นจึงนำมาเลี้ยงต่อด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ในตู้อบ จนกลายเป็นทารกน่ารักเหมือนกับเด็กที่คลอดออกมาตามธรรมชาติ ความจริงเป็นความเข้าใจผิด เพราะเราไม่สามารถเลี้ยงเด็กในหลอดแก้วจริงๆได้ เราเลี้ยงได้เฉพาะ “ตัวอ่อน” ของมนุษย์ในระยะ 2-3 วันแรกเท่านั้น จากนั้นต้องรีบนำกลับเข้าสู่ร่างกายสตรี มิฉะนั้น “ตัวอ่อน” จะตาย

การทำ “เด็กหลอดแก้ว” ในภาษาไทยนั้นตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า “IVF” (In Vitro Fertilization) หมายความว่า การช่วยเหลือให้เกิดการปฏิสนธิของไข่และตัวอสุจิภายนอกร่างกายในหลอดแก้วทดลอง ภายใต้สิ่งแวดล้อมอุณหภูมิคล้ายกับภายในร่างกาย เมื่อได้ “ตัวอ่อน” ที่สมบูรณ์ ในขนาดที่เหมาะสม ก็นำกลับเข้าสู่ภายในร่างกายของสตรีผู้นั้น เพื่อให้ฝังตัวและเจริญเติบโตเป็นทารกภายในโพรงมดลูกต่อไป

2. เด็กหลอดแก้ว มีความเหมือนหรือแตกต่างจากการผสมเทียมอย่างไร ? ?

แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เพราะการผสมเทียม (Artificial Insemination) หมายถึง การฉีด “เชื้ออสุจิ” เข้าไปในช่องคลอดหรือมดลูก โดยอาศัยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ช่วยเหลือ จะมีการปฏิสนธิหรือไม่ ยังไม่ทราบ และหากมีการปฏิสนธิเกิดขึ้น ก็เป็นการปฏิสนธิภายในร่างกาย

แต่การทำ “เด็กหลอดแก้ว” เป็นการนำเอา “ไข่” ของสตรีออกมาภายนอกร่างกายแล้วมาผสมกับ “เชื้ออสุจิ” ในหลอดแก้วทดลอง เพื่อให้มีการปฏิสนธิภายนอก ภายใต้บรรยากาศสิ่งแวดล้อมที่จัดให้เหมาะสมแก่การดำรงชีวิตของ “ตัวอ่อน” ได้

3. ในการทำ “เด็กหลอดแก้ว” มีขั้นตอนหรือกรรมวิธีอย่างไร ?

ขั้นตอนในการทำเด็กหลอดแก้ว

ขั้นตอนที่ 1. “การกระตุ้นไข่” โดยใช้ยาหรือฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองส่วนหน้ามากระตุ้น เพื่อให้ได้ไข่จำนวนมากๆ 

ขั้นตอนที่ 2. “การเก็บไข่” โดยใช้เข็มยาวที่ทำขึ้นมาเฉพาะเจาะเก็บไข่ทางหน้าท้องหรือทางช่องคลอด แต่ส่วนใหญ่เจาะเก็บไข่ผ่านทางช่องคลอด เพราะสามารถมองเห็นไข่ได้โดยตรงจากการใช้อัลตราซาวนด์ช่วย ทำให้เจาะเก็บไข่ได้จำนวนมาก

ขั้นตอนที่ 3. การเตรียม “เชื้ออสุจิ” เป็นการ “คัดเชื้อ” เพื่อให้ได้ตัว  “เชื้ออสุจิ” ที่มีคุณสมบัติดีพอที่จะปฏิสนธิกับไข่ โดยใช้  “ตัวอสุจิ” ขนาดความเข้มข้นประมาณ 1oo,ooo ตัว ต่อไข่ 1 ใบ 

การเก็บเชื้ออสุจิ โดยปกติจะใช้วิธีให้ช่วยตัวเอง (masturbation) ไม่ควรใช้วิธีร่วมเพศก่อนแล้วมาหลั่งภายนอก หรือใช้ถุงยางอนามัย เนื่องจากสารหล่อลื่นภายในถุงยาง จะทำลายตัวอสุจิได้

ขั้นตอนที่ 4. การเลี้ยง “ตัวอ่อน” เป็นขั้นตอนสำคัญที่สุดในกระบวนการทำ “เด็กหลอดแก้ว” 
ภายหลังจากที่ได้ไข่มาแล้ว ก็จะนำมาเลี้ยงในหลอดแก้วทดลองที่อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส ประมาณ 3- 6 ชั่วโมง จากนั้นจึงทำการใส่ “เชื้ออสุจิ” ที่ผ่านการคัดเชื้อแล้วลงไป เมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 18 ชั่วโมง ก็มาตรวจดูว่ามีการปฏิสนธิเกิดขึ้นหรือยัง

ถ้าไม่มีการปฏิสนธิเกิดขึ้น ก็อาจใส่เชื้ออสุจิอีกเป็นครั้งที่สอง หรือเฝ้าสังเกตการณ์ต่อไป

ถ้ามีการปฏิสนธิเกิดขึ้น ก็ต้องตรวจดูว่า มีการปฏิสนธิที่ผิดปกติหรือไม่ หากมีก็คัด “ตัวอ่อน” นั้นทิ้งไป เหลือไว้แต่ “ตัวอ่อน” ที่ปกติเท่านั้น

ในวันที่สอง (ประมาณ 48-5o ชั่วโมงภายหลังจากเจาะไข่ออกมา)  “ตัวอ่อน” จะแบ่งตัวอยู่ในระหว่าง ๒-๘ เซลล์ “ตัวอ่อน” แต่ละตัวจะมีความสมบูรณ์ไม่เท่ากัน เราจัดลำดับความสมบูรณ์ของตัวอ่อนออกเป็นเกรด 1(A), 2 (B), 3 (C) , 4 (D) เกรด 1 ดีที่สุด เกรด 2 ดีรองลงมา ควรจะนำ “ตัวอ่อน” เฉพาะเกรด 1 และ 2 เท่านั้น ใส่กลับเข้าสู่ร่างกายคนไข้สตรี ส่วน “ตัวอ่อน” เกรด 3 และ 4 จะนำมาใช้เมื่อจำเป็นเท่านั้น

ขั้นตอนที่ 5 การนำ “ตัวอ่อน” กลับเข้าสู่ร่างกาย เราสามารถนำ “ตัวอ่อน” กลับเข้าสู่ร่างกายได้ ๒ ทางคือ ทางปาก มดลูก หรือทางปีกมดลูก

ขั้นตอนที่ 6 การแช่แข็ง “ตัวอ่อน” ตัวอ่อนของมนุษย์ที่เหลือจากการใส่กลับเข้าสู่ร่างกายเราจะนำมาแช่แข็งที่อุณหภูมิ – 196 องศาเซลเซียส “ตัวอ่อน” จะหยุดการเจริญเติบโต แต่ยังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้นานเป็นปีทีเดียว เมื่อไรจำเป็นต้องใช้ก็เพียงแต่ละลายกลับมาสู่อุณหภูมิปกติอย่างมีประสิทธิภาพ

4. ในการทำ “เด็กหลอดแก้ว” แต่ละครั้งมีจำกัดหรือไม่ว่าจะต้องใช้ไข่กี่ฟอง ?

เราไม่จำเป็นต้องจำกัดการใช้ “ไข่” เพราะเราจะนำไข่ทั้งหมดที่เจาะได้มาหยอด “เชื้ออสุจิ” เพื่อให้เกิดเป็น “ตัวอ่อน” มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่เราจำกัด “ตัวอ่อน” ที่จะนำกลับเข้าสู่ร่างกายไม่ให้เกิน ๔ ตัวอ่อน เพื่อไม่ให้เกิดแฝดจำนวนมาก ส่วน “ตัวอ่อน” ที่เหลือจะแช่แข็งเอาไว้ใช้ต่อไปในอนาคต 

5. มีอัตราความสำเร็จในการปฏิสนธิเท่าไร ?

การปฏิสนธิโดยทั่วไปขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ความสมบูรณ์ของ “ไข่” และ “เชื้ออสุจิ” ประสิทธิภาพของห้องปฏิบัติการ รวมถึงความชำนาญของผู้เชี่ยวชาญในการเลี้ยงตัวอ่อน 
 อย่างไรก็ตาม ได้มีผู้ศึกษาไว้ดังนี้

  • จำนวนของ “ไข่” ที่หยอด “เชื้ออสุจิ” ทั้งหมด 1,364 คิดเป็นร้อยละ 1oo
  • จำนวนของ “ไข่”ที่มีการปฏิสนธิปกติเท่ากับ 738 คิดเป็นร้อยละ 54.1
  • จำนวนของ “ไข่” ที่ไม่มีการปฏิสนธิเท่ากับ 486 คิดเป็นร้อยละ 35.6
  • จำนวนของ “ไข่” ที่มีการปฏิสนธิในเวลาที่เนิ่นนานออกไปจากปกติเท่ากับ 54 คิดเป็นร้อยละ 4.o
  • จำนวนของ “ไข่” ที่บริเวณเปลือกนอกไม่แตกออกเท่ากับ 39 คิดเป็นร้อยละ 2.9
  • จำนวนของ “ไข่” ที่สลายหรือภายในมีฟองอากาศเท่ากับ 12 คิดเป็นร้อยละ o.9
  • จำนวนของ “ไข่” ที่ยังไม่สุกพอที่จะสามารถปฏิสนธิได้เท่ากับ 1o คิดเป็นร้อยละ o.8

ในบางสถาบัน เมื่อพบ “ไข่” ไม่มีการปฏิสนธิในเวลา 12-24 ชั่วโมง ก็จะทำการหยอด “เชื้ออสุจิ” ลงไปอีกเป็นครั้งที่สอง แต่มักไม่คอยได้ผล ยกเว้นในกรณี “เชื้ออสุจิ” ของสามีไม่ดีในการหยอดครั้งแรก เมื่อหยอด “เชื้ออสุจิ” บริจาคของชายอื่นลงไปเป็นครั้งที่สองมักจะให้ผลดีพอสมควร

6. ในการนำ “ตัวอ่อน” กลับเข้าสู่ร่างกาย จะต้องใช้ “ตัวอ่อน” จำนวนเท่าไร ?

ปกติใช้ 3 ตัวอ่อน สูงสุดไม่เกิน 4 ตัวอ่อน ไม่ว่าจะเป็นการใส่กลับเข้าดำเนินการทางปีกมดลูก หรือทางปากมดลูก

7. หลังจากนำ “ตัวอ่อน” กลับเข้าสู่ร่างกาย ควรจะปฏิบัติตัวอย่างไร?

ในกรณีที่นำ “ตัวอ่อน” ใส่กลับเข้าทางปากมดลูกหลังจากนอนพักหลังหยอด “ตัวอ่อน” แล้วประมาณ 1-2 ชั่วโมง ผู้ป่วยสามารถกลับบ้านได้ แต่สมควรนอนพักต่อที่บ้านอีกประมาณ 12-24 ชั่วโมง หลังจากนั้น จึงสามารถทำงานเบาๆได้ ไม่ควรทำงานหนัก หรืองานที่ต้องใช้การเกร็งหน้าท้อง และไม่ควรมีเพศสัมพันธ์ในช่วงนี้

ในกรณีที่นำ “ตัวอ่อน” ใส่กลับเข้าสู่ร่างกายทางปีกมดลูก (ZIFT) ผู้ป่วยจะต้องนอนพักที่โรงพยาบาลอย่างน้อย 1 วัน เมื่อกลับบ้านยังควรพักผ่อนต่ออีกไม่ต่ำกว่า 3-4 วัน

8. ต้องใช้เวลานานเท่าไรจึงจะทราบว่าตั้งครรภ์ ?

ใช้เวลานานประมาณ 2 สัปดาห์หลังจากจบกระบวนการทำ “เด็กหลอดแก้ว” โดยการเจาะเลือดตรวจ
การตั้งครรภ์ที่แน่ใจว่าไม่น่าจะแท้ง ก็คือเมื่ออายุครรภ์ 8 สัปดาห์ ทำการตรวจดูอัลตราซาวนด์ทางช่องคลอดพบว่ามีการเต้นของหัวใจทารก

9. “ตัวอ่อน” ที่ใส่เข้าไปในร่างกายสตรีจะรอดเป็นทารกทุกตัวอ่อนหรือไม่ มีอัตราการรอดเป็นอย่างไร ?
ในทางการแพทย์ การรอดชีวิตของ “ตัวอ่อน” เท่าไรนั้น วัดได้จาก เมื่อเราหยอด “ตัวอ่อน” ลงไปจำนวนเท่าไร แล้วเหลือรอดชีวิตมาฝังตัวได้กี่ตัวอ่อน เราเรียกอัตราการรอดชีวิตของ “ตัวอ่อน” นี้ว่า “อัตราการฝังตัว” (Implantation Rate) โดยปกติจะพบประมาณร้อยละ 2o (หากใส่ “ตัวอ่อน” เข้าไป 1oo ตัวอ่อน จะฝังตัวได้ 2o ตัวอ่อน) ไม่ว่าจะเป็นการหยอด “ตัวอ่อน” ทางปากมดลูกหรือปีกมดลูก

ถึงแม้จะฝังตัวได้ แต่จะมีส่วนหนึ่งที่แท้งออกมา คิดเป็นร้อยละ 25 ของการตั้งครรภ์ ดังนั้นการรอดชีวิตของ “ตัวอ่อน” จึงมีไม่มากนักโดยเฉพาะในสตรีที่อายุเกิน 4o ขึ้นไป

1o. “ตัวอ่อน” ที่ใส่เข้าไปมีโอกาสเป็นแฝดหรือไม่ และจะเป็นแฝดแท้หรือไม่แท้ ?
มีโอกาสเกิดแฝดสองร้อยละ 21 แฝดสามร้อยละ 4.5 และแฝดสี่ร้อยละ o.2 ส่วนใหญ่แฝดที่เกิดจากกระบวนการทำ “เด็กหลอดแก้ว” เป็นแฝดไม่แท้ หรือพูดง่ายๆคือแฝดจากไข่คนละใบ หน้าตาจึงไม่เหมือนกันทีเดียวแต่จะคล้ายกับเป็นพี่น้องกันมากกว่า

11. อัตราความสำเร็จในการทำ “เด็กหลอดแก้ว” เท่ากับเท่าไร ?
ความสำเร็จในการทำ “เด็กหลอดแก้ว” วัดได้จากอัตราการตั้งครรภ์ อัตราการตั้งครรภ์ในการทำ “เด็กหลอดแก้ว” จากการหยอด “ตัวอ่อน” ทางปากมดลูก เท่ากับร้อยละ 1o-2o และจากการหยอด “ตัวอ่อน” ทางปีกมดลูก (ZIFT) เท่ากับร้อยละ 3o-4o 

12. ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการทำ “เด็กหลอดแก้ว” ครั้งละประมาณเท่าไร ?
ประมาณ 50o,ooo-1oo,ooo บาท แล้วแต่สถาบัน

13 อุปสรรคในการทำ “เด็กหลอดแก้ว” คืออะไร ?

อุปสรรคในที่นี้ หมายถึง ข้อจำกัดหรือสิ่งที่ขัดขวางการไปสู่ความสำเร็จในการทำ “เด็กหลอดแก้ว” อันนี้ขึ้นอยู่กับ

1. ความพร้อมของคู่สามีภรรยาที่มารักษา ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ หรือสุขภาพ ยกตัวอย่างอุปสรรคทางด้านสุขภาพ ได้แก่

  • ภรรยา มีปัญหาความผิดปกติทางสภาพร่างกาย เช่น รังไข่ไม่ทำงานหรือไม่ผลิตไข่ มดลูกมีเนื้องอกขัดขวางการฝังตัวของตัวอ่อน สิ่งเหล่านี้ต้องได้รับการแก้ไขก่อนที่จะทำ “เด็กหลอดแก้ว”
  • สามี มีปัญหาด้านความสมบูรณ์ของ “เชื้ออสุจิ” ไม่ว่าจะเป็นจำนวนที่น้อยเกินไป หรือการเคลื่อนไหวที่บกพร่องอย่างมาก แต่ปัจจุบันสามารถแก้ไขได้ง่ายด้วยวิธี เจาะไข่ใส่ “เชื้ออสุจิ”  เข้าไป (ICST “อิ๊กซี่”)

2. ความพร้อมของห้องปฏิบัติการ รวมทั้งบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการรักษา ห้องปฏิบัติการจะต้องทันสมัย มีเครื่องมือพร้อมมูล สะอาด บุคลากรต้องมีความรู้ความชำนาญ โดยเฉพาะแพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านการเลี้ยง “ตัวอ่อน” (Embryologist)

14 คนไข้ส่วนใหญ่ต้องทำกี่ครั้งจึงจะประสบผลสำเร็จ มีหรือไม่ที่ไม่ประสบความสำเร็จเลย
จะทำกี่ครั้งจึงประสบความสำเร็จนั้นคงตอบยาก ขึ้นอยู่กับสุขภาพและฐานะทางเศรษฐกิจของคู่สมรสที่มารักษา

โดยปกติ การทำ “เด็กหลอดแก้ว” แล้วหยอดตัวอ่อนทางปากมดลูก (กรณีมีเหตุจำเป็นที่ไม่สามารถใส่เข้าทางปีกมดลูกได้) มีอัตราการตั้งครรภ์ร้อยละ 1o-2o หมายความว่า ดำเนินการประมาณ 5 ครั้ง ประสบความสำเร็จ 1 ครั้ง

สำหรับการดำเนินการหยอด “ตัวอ่อน” ทางปีกมดลูก (ZIFT) จะมีอัตราการตั้งครรภ์ร้อยละ 3o-4o หมายถึง ดำเนินการ 3 ครั้ง มีโอกาสประสบความสำเร็จ 1 ครั้ง

แต่จะมีคนไข้จำนวนหนึ่งที่ไม่ว่าจะดำเนินการกี่ครั้ง ก็ไม่ประสบความสำเร็จเลย ดังนั้น จึงเป็นสิ่งที่คนไข้ควรจะขวนขวายหาความรู้เพื่อมาประกอบการตัดสินใจ ส่วนแพทย์ผู้รักษาก็ควรจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับพยาธิสภาพและการพยากรณ์โรคแก่คนไข้อย่างตรงไปตรงมามากที่สุดเท่าที่จะทำได้

15. การทำ “เด็กหลอดแก้ว” กับ การทำ “กิ๊ฟ” เหมือนกันหรือเปล่า  ?

ไม่เหมือนกัน เพราะการทำ “เด็กหลอดแก้ว” เป็นกระบวนการที่ก่อให้เกิดการปฏิสนธิภายนอกร่างกายในหลอดแก้วทดลอง จากนั้นจึงนำกลับเข้าสู่ร่างกาย แต่การทำ “กิ๊ฟ” เป็นกระบวนการนำเอา “เชื้ออสุจิ” และ “ไข่” เข้าไปใส่ไว้ในปีกมดลูก เพื่อให้มีการปฏิสนธิภายในร่างกาย

การทำเด็กหลอดแก้วก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่จะทำให้คนเป็นพ่อเป็นแม่สมหวัง หลังจากคุณได้อ่านบทความนี้แล้วคงจะตอบตัวเองได้ว่าจะเลือกทางนี้หรือเปล่า ?

 

                                                   ************************************

 

ข้อมูลสื่อ

207-003
นิตยสารหมอชาวบ้าน 207
กรกฎาคม 2539
บทความพิเศษ
พ.ต.ท.นพ.เสรี ธีรพงษ์