• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

ก่อนเกิด – หลังตาย

ก่อนเกิด – หลังตาย

เมื่อวันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม 2531 ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมป์ ได้จัดรายการอภิปรายเรื่อง “ตาย-เกิด” ขึ้นที่หอประชุมโรงพยาบาลสงฆ์ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา นักวิทยาศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง ได้ให้เกียรติมาร่วมอภิปรายด้วย คำอภิปรายของท่าน ล้วนเป็นงานค้นคว้าวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีคุณค่าต่อการสนับสนุน “หลักธรรมการเวียนว่ายตายเกิด” เป็นอย่างยิ่ง กระผมเห็นว่า เป็นธรรมโอสถวิเศษขนานหนึ่ง จึงเรียบเรียงนำมามอบเป็นของขวัญแด่ท่านผู้อ่าน “หมอชาวบ้าน” ที่รักของกระผมด้วย เชิญอ่านกันได้เลยครับ

ในทางด้านวิทยาศาสตร์นั้น เราก็มีการวิจัยค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องของการตายแล้วไปไหนค่อนข้างมากแล้ว และก็กระทำในหลายประเทศด้วยกัน ที่กระผมจะนำมาเล่าให้ฟังในวันนี้ ก็จะนำเอาผลของการวิจัยในแง่ของนักวิทยาศาสตร์จากสหรัฐอเมริกามาเป็นส่วนใหญ่

ที่จริงแล้ว โดยส่วนตัวกระผมเองนั้น ก็ได้ทำการวิจัยค้นคว้า ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้มาประมาณ 30 ปี และก็ได้เคยเห็นคนที่ตายไปแล้วมาเยี่ยม มีโอกาสได้พูดคุยกับหลายท่านที่ตายไปแล้วกลับฟื้นขึ้นมา เพราะฉะนั้นจึงได้มีโอกาสค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องลึกลับทั้งหลายมาเป็นเวลานาน โดยเฉพาะเคยเป็นนายกสมาคมฯ ที่ค้นคว้าเรื่องนี้ ในขณะที่ศึกษาอยู่ในต่างประเทศด้วย อย่างไรก็ตาม ก็คงไม่มีโอกาสเล่าได้ทุกเรื่อง จึงจะขอนำเอาการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน และที่เขากำลังทำการวิจัยอย่างต่อเนื่องกันอยู่อีกในสหรัฐอเมริกา มาเล่าให้ฟัง

ในการศึกษาเกี่ยวกับโลกอื่นที่ไม่ใช่โลกมนุษย์นี้ โดยเฉพาะเกี่ยวกับตัวเรานั้น ก็มีแนวทางอยู่ 2 ทาง นั่นคือ หลังจากที่เราตายไปแล้ว ร่างกายนี้หมดสภาพ ใช้งานไม่ได้ เรายังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า เราไปที่ไหน เราทำอะไร อีกแนวทางหนึ่งก็คือ ค้นคว้ากลับไปในอดีตว่า ก่อนที่เราจะเกิดนั้น เราอยู่ที่ไหน หรือเราเพิ่งจะมาเกิดในตอนนี้ หรือว่าเราเคยมีชีวิตกันมานานแล้ว นี่ก็คือ มีสองแนวทาง หลังจากชีวิตนี้หรือก่อนชีวิตนี้ ซึ่งมีนักวิทยาศาสตร์หลายคนกำลังค้นคว้ากันอยู่

หลังจากชีวิตนี้

ขอยกประเด็นนี้มากล่าวก่อน มีนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง ซึ่งได้เขียนรายงานเกี่ยวกับการตายแล้วไปไหนไว้มากมาย เขาอยู่ที่สหรัฐอเมริกา ชื่อ ดร.มูดี (Dr.Moody) ท่านผู้นี้อยากจะรู้ว่าตายแล้วไปไหน ได้พยายามนั่งคิดว่าทำอย่างไรจึงจะรู้ได้ เห็นมีอยู่ทางเดียวนั่นก็คือ โดยการสัมภาษณ์คนที่ตายไปแล้ว แต่จะไปสัมภาษณ์พูดคุยกับคนตายแล้วได้อย่างไร ได้นั่งคิด และพยายามหาทางที่จะติดต่อกับคนที่ตายไปแล้ว แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ในที่สุด ก็ได้เข้าไปที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในรัฐมิสซูรี เพื่อขอดูประวัติของคนตาย

ปรากฏว่า ที่โรงพยาบาลแห่งนี้มีผู้ป่วยหลายคนที่ตายไป หมายความว่า หัวใจหยุดเต้น ร่างกายไม่ทำงาน แต่ด้วยวิทยาการสมัยใหม่ เช่น ใช้ไฟฟ้าช็อต หรือได้ใช้วิธีการหลายๆอย่างสามารถทำให้คนที่ตายไปนั้นฟื้นขึ้นมาใหม่ อาจจะเป็น 5 นาที หรืออาจจะมากกว่านั้นก็ได้ บางทีเราอาจจะคิดว่า ถ้านานกว่า 5 นาทีแล้วสมองจะเสื่อม แต่ในกรณีที่ ดร.มูดี ไปค้นพบนั้น มีอยู่หลายรายที่เกินกว่า 10 นาที เมื่อฟื้นขึ้นมาแล้วสมองยังทำงานอยู่ จำอะไรได้ดี และยังมีที่นานกว่า 20 นาทีก็เคยมี

ผมเคยพบแพทย์ที่โรงพยาบาลตำรวจท่านหนึ่งและได้ถามท่านว่า ที่โรงพยาบาลตำรวจนั้นมีคนที่ตายไปแล้วอย่างนานที่สุดเท่าไรที่ได้ฟื้นขึ้นมา ท่านตอบว่า หนึ่งวันครึ่ง (36 ชั่วโมง) นี่เป็นเรื่องที่เกิดในเมืองไทย ที่โรงพยาบาลตำรวจนี่เอง เมื่อได้พบกรณีที่ผู้ป่วยตายแล้วฟื้นขึ้นมาได้เช่นนี้ ดร.มูดีก็ดีใจมาก ตัดสินใจว่า จะต้องติดตามไปถึงบ้านคนเหล่านั้น ไปศึกษา สัมภาษณ์ (เพื่อสอบถาม) ว่าแต่ละคนนั้นมีประสบการณ์อะไรบ้าง จำอะไรได้หรือเปล่า

อย่าลืมนะครับว่า คนพวกนี้เป็นชาวอเมริกันทั้งนั้น และ ดร.มูดี ก็ได้สัมภาษณ์เป็นจำนวน 1,000 กว่าคนแล้ว บุคคลเหล่านั้นให้สัมภาษณ์ว่า เขาไม่ได้ตาย เขายังมีชีวิตอยู่ เขามีความรู้สึกว่า ตัวเขาเองลอยออกมาจากร่างกาย เห็นตัวเองนอนอยู่ในโรงพยาบาล เห็นหมอ พยาบาล วิ่งกันวุ่นวายไปหมด พยายามจะช่วยชีวิตเขา แต่ตัวเขาเองรู้สึกสบายใจ รู้สึกอบอุ่น (มีอยู่ประมาณร้อยละ 90 ที่บอกว่ารู้สึกอบอุ่น สบายใจ) เขาบอกว่า เนื่องจากขณะที่เขาอยู่ในร่างกายนั้น เขาเจ็บป่วย ไม่สบาย และมีความทุกข์มาก แต่พอออกไปจากร่างกายเท่านั้น ความเจ็บป่วยและความทุกข์ทั้งหลายมันหายไป จึงรู้สึกโล่งและมีความสุข แต่ก็มีอยู่ไม่กี่เปอร์เซ็นต์ที่บอกว่า เขาเกิดความสับสนวุ่นวายมาก ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนที่เขาออกไปจากร่างกาย และบางคนก็เกิดความกลัว แต่ส่วนใหญ่แล้วบอกว่าอบอุ่น สบายใจดี

เขาเล่าต่อว่า ตัวเขาลอยเข้าไปในถ้ำมืดๆ ผ่านถ้ำมืดนั้นไป ตรงปลายถ้ำมีแสงสว่าง พวกนี้เป็นชาวอเมริกันที่ส่วนใหญ่ไม่ใช่ชาวพุทธ เขาไม่ได้เชื่อในเรื่องชีวิตต่อๆ ไป หรือชีวิตก่อนที่จะมาเกิด แต่เขาเล่าว่า เขาเห็นแสงสว่างตรงปลายถ้ำ จึงค่อยๆ ลอยผ่านความมืดไปโผล่อีกด้านหนึ่ง แล้วส่วนใหญ่ก็ยิ้มอย่างดีอกดีใจ เพราะปรากฏว่ามีผู้ที่ตายไปแล้วที่เขารู้จักมากมายมาคอยต้อนรับเขาอยู่ มาพูดคุยกับเขา มีญาติพี่น้องเพื่อนฝูง ที่เคยรู้จักหลายคน มายืนต้อนรับเขาอยู่ โดยเฉพาะมีแสงสว่างซึ่งปรากฏว่ามันเป็นรัศมีแสงสว่างรอบๆ กายของบุคคลหนึ่ง ซึ่งคนๆ นี้จะเรียกคนที่ตายไปเข้ามา และเริ่มพูดคุยกับผู้ตาย และภายในระยะเวลาอันสั้นที่เขาตายไปนั้น

ผู้ที่มีแสงสว่างในตัวจะชี้ให้เห็นถึงชีวิตที่ผ่านมา และข้อบกพร่องทั้งหลายที่ได้กระทำมา หลายคนรายงานว่า เหมือนกับเห็นในจอหนัง เห็นชีวิตของเขาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เขาจำได้หมดทุกอย่างที่เขายังไม่ได้ทำหรือทำไม่ดี ทำสิ่งที่ผิดพลาดไปในชีวิตของเขา เขารู้สึกตัวหมดเลย ภายในเวลาอันสั้น แล้วผู้ที่มีแสงสว่างในตัวนั้นก็ยกมือขึ้นและบอกว่า บัดนี้ยังไม่ถึงเวลา เธอจะต้องกลับไปใหม่ แล้วก็มีพลังดึงดูดให้เขากลับไป กลับไปยังร่างกายของเขาที่นอนอยู่ที่โรงพยาบาล แล้วก็ฟื้นขึ้นมา

ดร.มูดีสัมภาษณ์ต่อไปว่า เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว รู้สึกอย่างไร ส่วนใหญ่ตอบว่า ชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ประการแรก ไม่กลัวการตายอีกแล้ว เพราะเขารู้ว่าการตายไม่มี จึงไม่กลัว ไม่วิตกกังวลเกี่ยวกับเรื่องของการตาย นอกจากนั้น เขาเริ่มไปปรับปรุงชีวิตของเขา เนื่องจากในช่วงที่เขาได้ตายไปนั้น เขาได้เห็นอะไรต่ออะไรที่เป็นความบกพร่องของเขาที่จะต้องปรับปรุงแก้ไข ทำให้ชีวิตเปลี่ยนแปลงไปมาก กลายเป็นคนใจเย็น นี่คือ ผลงานของ ดร.มูดี ที่ได้สัมภาษณ์คนเป็นพันๆ คน และเป็นคนอเมริกันทั้งสิ้น ซึ่งไม่ได้เชื่อในเรื่องเหล่านี้ แต่บุคคลเหล่านี้ที่ได้ตายไป ยืนยันว่าการตายนั้นไม่มี

ข้อมูลสื่อ

123-030
นิตยสารหมอชาวบ้าน 123
กรกฎาคม 2532
ธรรมโอสถ
พอ.(พิเศษ)ทองคำ ศรีโยธิน