• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

อ้ายด่าง

 อ้ายด่าง



นายของผมชื่ออะไรผมก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าใคร ๆ ชอบเรียกว่า “อาแป๊ะ” ที่จริงอาแป๊ะก็ไม่ใช่คนแก่เฒ่าอะไร อายุก็ราว ๆ 50 เห็นจะได้ ร่างกายแข็งแรง เสียอย่างเดียวหลังโกงเล็กน้อย การที่อาแป๊ะหลังโกง ก็เพราะเป็นยี่ปั๊ว ขายน้ำแข็ง จำเป็นต้องยกน้ำแข็งก้อนโต ๆ เป็นประจำ
เมื่อยี่สิบปีก่อนอาแป๊ะเป็นเพียงลูกจ้างส่งน้ำแข็ง แต่ด้วยความขยันอดทน ตอนนี้ก็เลยเป็นเจ้าของกิจการส่งน้ำแข็งเสียเอง อาแป๊ะมีรถจี๊พคันหนึ่ง มีลูกสาวคนหนึ่ง และมีอ้ายด่างด้วย อ้ายด่างเป็นหมาลูกผสม ขนยาว สีขาวสลับดำ อาแป๊ะรักอ้ายด่างสุดสวาทขาดใจ

ชีวิตอาแป๊ะลำบากมามาก ทำงานหนักตลอดเวลา ปกติจะไม่ยิ้มกับใครเลย ยกเว้นกับอ้ายด่าง อ้ายด่างมันก็แสนจะรู้ใจอาแป๊ะ อาแป๊ะอยู่ทีไหนก็พบอ้ายด่างอยู่ที่นั่น แม้แต่อาแป๊ะเอาน้ำแข็งก้อนใหญ่ ๆ วางที่พื้นซีเมนต์หน้าบ้าน แล้วใช้เลื่อยใหญ่ ๆ ตัดน้ำแข็ง อ้ายด่างนั่งอยู่ใกล้ด้วย วันไหนอากาศร้อน ๆ อ้ายด่างก็จะเอาจมูกชนน้ำแข็งเล่น หรือไม่ก็นอนพิงก้อนน้ำแข็งเย็นสบายไป อาแป๊ะของผมก็ไม่ว่าอะไรเพราะความไม่รู้ประกอบกับความเคยชิน
อ้ายด่างของอาแป๊ะเป็นหมาที่เกิดในเมืองไทย ถึงแม้จะมีสายเลือดหมาไทยอยู่มากก็ตาม แต่ก็เป็นหมาที่ชอบอากาศเย็นมาก และถ้าร้อนก็จะโมโหเอาง่าย ๆ เสียด้วย ปกติอาแป๊ะก็จะเก็บน้ำแข็งก้อนใหญ่ ๆ ไว้กับพื้นบ้าน โดยมีกระสอบเก่า ๆ คลุมไว้ก่อนที่จะเลื่อยออกจำหน่าย สถานที่นั้นเลยกลายเป็นห้องแอร์ อ้ายด่างจะปีนขึ้นไปนอนบนกระสอบคลุมน้ำแข็งนั้นเย็นสบายไป

หลังจากอาแป๊ะเลื่อยก้อนน้ำแข็งแล้ว ก็จะบรรทุกขึ้นรถจี๊พ ซึ่งก็จะวางกับพื้นรถอีกนั่นแหละ อาแป๊ะมักจะใส่รองเท้าฟองน้ำปีนขึ้นปีนลงอยู่บ่อย ๆ ส่วนอ้ายด่างก็เช่นกันครับ พออาแป๊ะขนของเสร็จ อ้ายด่างก็กระโดดขึ้นไปสถิตอยู่บนก้อนน้ำแข็งท้ายรถตามเคย แถมโผล่หน้าชูคออย่างสบายอกสบายใจ อ้ายด่างไม่เคยใส่รองเท้า อึแล้วไม่เคยล้างก้น แถมยังชอบนั่งห้องแอร์และรถแอร์เสียด้วย คุณ ๆ ลองหลับตาดูสภาพคุณด่างกับก้อนน้ำแข็งซิครับ
ผมเองใจหายใจคว่ำทุกทีที่คุณด่างเสด็จอยู่บนน้ำแข็ง เพราะบางวันผมก็เห็น คุณด่างไปคุ้ยกองขยะที่อยู่หน้าบ้านอาแป๊ะ ดมโน่นดมนี่ คุ้ยอะไรต่ออะไรกิน พออิ่มหนำสำราญดีแล้ว คุณด่างก็ไปเลียก้อนน้ำแข็งแก้คอแห่ง เสร็จแล้วก็นอนบนก้อนน้ำแข็งนั้นเอง

เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงนะครับ ไม่เชื่อคุณก็แวะไปดูได้ที่ตึกแถวเกือบสุดซอยเกื้อวิทยา ถนนเจริญนคร มีให้ดูทุกวันครับ วันหนึ่งคุณด่างเธอก็ไปเหยียบเอากับระเบิดสีเหลืองเละ ๆ มีกลิ่นเหม็นอบอวล แต่คุณด่างเธอว่าหอม ดม ๆ แล้วเธอก็ลองกินดูเล็กน้อย ชะรอยจะรู้สึกว่ามีอะไรมาติดที่ปาก คุณด่างก็เลยรีบกลับบ้านเอาจมูกไปเช็ดกับกระสอบคลุมน้ำแข็ง แล้วก็เลียน้ำแข็งอีกเล็กน้อยตามระเบียบผมมองเห็นแล้วรู้สึกเสียวจริง ๆ
คุณ ๆ ลองเอากล้องจุลทรรศน์มาส่องดูกับระเบิด (อึ) ที่คุณด่างทั้งเหยียบทั้งกินดูซิครับ คุณจะพบว่ามีแบคทีเรียจำนวนมากมายก่ายกองทีเดียวครับ เพียงแต่ขนาดปลายหัวไม้ขีดก็มีแบคทีเรียเกินหนึ่งร้อยล้านตัวแล้วครับ คุณลองคิดถึงสภาพของน้ำแข็งผสมกับระเบิดซิครับ นี่ถ้าคุณ ๆ ไม่มีระบบคุ้มกันดีเยี่ยมละก็ ผมว่าตายกันไปหมดโลกแล้ว
แบคทีเรียนับร้อย ๆ ล้านตัว บนก้อนน้ำแข็ง มันไม่ตายนะครับ อย่าเข้าใจผิด น้ำแข็งมีคุณสมบัติทำให้แบคทีเรียไม่เพิ่มจำนวนมากขึ้นก็จริง แต่ไม่มีฤทธิ์ในการฆ่าเลยนะครับ แบคทีเรียที่ติดอยู่บนผิวน้ำแข็งยังอาจแทรกตัวเข้าไปในก้อนน้ำแข็งได้ โดยเฉพาะน้ำแข็งที่อัดตัวไม่แน่น มีฟองอากาศอยู่ด้วย
แบคทีเรียที่ติดมากับคุณด่าง ทั้งที่พามาจากก้อนอึ และพามาจากที่อื่น รวมทั้งจากอึของคุณด่างเอง ต่างก็นั่งกันสลอนบนก้อนน้ำแข็ง รอเวลาที่ใครคนหนึ่งมาจับเข้าปาก จะได้ทำการแพร่พันธุ์ต่อไป
ถ้าเป็นเชื้ออหิวาตกโรค ก็จะเกิดสงครามที่เพื่อนผมเคยเล่าให้ฟังแล้วในตอน “ยุทธนาวีที่แม่น้ำ” (ใน “หมอชาวบ้าน” ฉบับที่ 14 เดือนมิถุนายน 2523) แต่ถ้าเป็นเชื้ออื่น ๆ ก็จะมีอาการแปลก ๆ ออกไป แต่ส่วนใหญ่เข้าทางปากก็มีอาการท้องร่วงแหละครับ

อาแป๊ะของผมเป็นคนแข็งแรง ภูมิต้านทานโรคดีมาก เรียกว่า ดีแต่กำเนิด จะกินอะไร ๆ ก็ไม่ค่อยท้องเดินกับเขาง่าย ๆ ในลำไส้ใหญ่ของอาแป๊ะ มีนักเลงโตประจำถิ่นมากมาย มีระบบการควบคุมซึ่งกันและกันดีเยี่ยม ทำให้ระบบท้องของอาแป๊ะอยู่ในสภาพดี
ผมแบ่งนักเลงโตประจำถิ่นของลำไส้อาแป๊ะออกเป็น 3 พวกด้วยกัน พวกหนึ่งได้แก่ ส่า อีกพวกหนึ่งได้แก่แบคทีเรียที่ต้องการอ๊อกซิเจน และพวกสุดท้ายคือ แบคทีเรียที่ไม่ต้องการอ๊อกซิเจน เชื้อทั้งสามพวกนี้ จะควบคุมซึ่งกันและกันไม่ให้มากเกินไป ไม่ให้น้อยเกินไป ถ้ามีอะไรไปรบกวนความสมดุลนี้ เช่น การใช้ยาประเภท “มัยซิน” ทั้งหลาย จะมีเชื้อบางพวกตายไป ทำให้เชื้ออีกพวกหนึ่งเจริญมากจนควบคุมไม่ได้ ก็ทำให้เกิดโรคได้เหมือนกัน
พอถึงตอนนี้ผมก็ขออนุญาตไถลไปเรื่องอื่นสักหน่อยนะครับ เพราะติดใจผมมานานแล้ว ขณะนี้บ้านเรามีนมเปรี้ยวขวดเล็ก ๆ ขายส่งตามบ้านราคาตั้ง 3 บาท ทำการโฆษณาเสียจนกระทั่งรู้จักกันทั่ว ผมไม่เอ่ยชื่อละครับ เดี๋ยวบรรณาธิการของหมอชาวจะถูกเป็นจำเลย เอาเป็นว่านมเปรี้ยวขวดเล็ก ๆ ที่มีขายระบาดทั่วกรุงเทพฯนั่นแหละครับ

ที่ผมต้องเอามาพูดถึงก็เพราะผมเห็นโฆษณา คุณจะกินอาหารสำส่อนอย่างไรก็ได้ไม่เป็นไร ถ้าคุณกินนมเปรี้ยวชนิดนั้นเข้าไปด้วย นอกจากนั้นยังทำให้สุขภาพดี ผิวสวย ไม่อ้วน โอ๊ย ! สรรพคุณมากมายเหลือคณานับ มีข้อแม้ว่า จะเป็นอย่างนั้นได้ ต้องเสียเงินซื้อนมเปรี้ยวกินทุกวันนะครับ วันหนึ่งก็เป็นเงิน 3 บาท ปีหนึ่งก็ไม่ต่ำกว่าพันบาทละครับ สิ่งที่มีในนมเปรี้ยวก็คือ กรดชนิดหนึ่ง (กรดแล็คติคหรือกรดนม) น้ำตาลเล็กน้อย และแบคทีเรียประเภทแล็คโตบาซิลลัส (Lactobacillus) ซึ่งเป็นตัวทำให้นมเปรี้ยว ผู้ชายเขาก็จัดการโฆษณาว่าถ้ากินเชื้อนี้เข้าไปทุกวันแล้ว จะทำไมภูมิคุ้มกันของระบบทางเดินอาหารดี
คุณคิดดูซิครับ ระบบการคุ้มกันของทางเดินอาหารที่ธรรมชาติสร้างให้เรามาดีอยู่แล้ว เรื่องอะไรจะต้องกินตัวอะไรเข้าไปทุกวัน ๆ เพื่อสร้างระบบให้ดีด้วยเงินอีกตั้งหนึ่งพันบาทต่อปี ผมว่าคุณลองกินดูทุก ๆ วันสักปี สองปี ถ้าวันไหนไม่ได้กินละก็ ต้องเกิดอาการท้องเดินบ้างเป็นแน่ เพราะเท่ากับคุณไปสอนให้ลำไส้ของคุณชินกับการรับเชื้อแบคทีเรียจากภายนอกเข้าไป นอกจากนี้สิ่งแปลกปลอมที่เข้าไปใหม่นี้ ถ้าเข้ากับสมัครพรรคพวกนักเลงโตอยู่เดิมได้ก็ดีไป ถ้าเข้ากันไม่ได้ก็ยุ่งอีก

อาแป๊ะของผมไม่สนใจนมเปรี้ยวหรอกครับ แต่ลูกสาวตัวเล็ก ๆ ของแกอายุแค่ 6 เดือนเท่านั้น ได้กินนมเปรี้ยวทุกวัน สาเหตุก็เพราะว่าอาซ้อเมียอาแป๊ะถูกสาวขายนมเปรี้ยวเกี้ยวเอาจนเข้าใจว่านมเปรี้ยวนั้นดีต่อสุขภาพลูกของแกเป็นที่สุด ถึงกับสละเงินซื้อวันละ 3 บาท ปกติครอบครัวอาแป๊ะเป็นคนประหยัดอย่างมาก อาซ้อเผอิญมีน้ำนมน้อย ลูกของแกก็เลยได้กินนมข้นหวานแทนเพราะมันถูก แถมด้วยข้าวกล้องอีกวันละมื้อสองมื้อ ดูซิครับถ้าแกเอาเงินค่านมเปรี้ยวไปซื้อนมผงให้ลูกกิน เด็กจะได้อาหารที่ดีแทนที่จะได้อาหารที่เกือบไม่มีคุณค่าเลยจาก นมเปรี้ยว นมข้นหวาน และข้าวกล้อง
วันนี้เป็นวันเคราะห์ร้ายของครอบครัวอาแป๊ะ เพราะมีคนมาขอซื้อน้ำแข็งบด อาแป๊ะเผอิญเอาก้อนที่คุณต่างพากับระเบิดมาคิดไว้ไปเข้าเครื่องบด อาซ้อเผอิญอีกนั่นแหละหยิบก้อนน้ำแข็งเล็ก ๆ ใส่ปากลูกสาว เอาละครับสงครามเกิดขึ้นอีกแล้ว ในก้อนน้ำแข็งนั้นมีตัวพยาธิเล็ก ๆ จำนวนมากทีเดียวครับ คนไทยเรามักเรียกว่าบิดมีตัว ฝรั่งเรียก เอ็นตะมีบ้า ฮิสโตลัยติกา (Entamoeba histolytica) พยาธิที่ถูกกินเข้าไปอยู่ในลักษณะหุ้มเกราะหรือซีสต์(cyst) พอถึงกระเพาะและลำไส้เล็ก ก็จะออกมาจากเกราะ และแบ่งตัวแบบจาก 2 เป็น 4 จาก 4 เป็น 8 ไม่นานก็มีมากมาย และพากันไปอยู่ในแหล่งที่ตนชอบคือ ลำไส้ใหญ่

ลูกของอาแป๊ะเป็นเด็กที่ได้รับอาหารผิด ๆ อยู่แล้ว คือแทนที่จะได้สารอาหารที่สำคัญ คือโปรตีน ซึ่งมีอยู่ในนมผงหรือนมสด กลับได้แต่อาหารแป้งจากนมข้นหวานและจากแป้งข้าวกล้อง รวมทั้งมีนมเปรี้ยวควบ อาหารทั้งสามชนิดนี้ไม่มีโปรตีนเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย พยาธิชนิดนี้ชอบสภาพของลำไส้ที่มีแต่อาหารแป้งอย่างนี้มาก จึงเจริญเติบโตรวดเร็ว และเข้าไปเกาะผนังลำไส้ใหญ่ แล้วปล่อยน้ำย่อยทำให้เกิดเป็นแผลเล็ก ๆ ทั่วไป ถึงร่างกายลูกสาวอาแป๊ะจะมีทหารพี ทหารเอ็ม มาต่อสู้ แต่ผนังลำไส้ที่อ่อนแอจากการขาดโปรตีนและสภาพอาหารแป้งช่วยให้มีจำนวนพยาธิเพิ่มมากมาย ลูกสาวอาแป๊ะ ก็เกิดโรคบิดจนได้
ลูกสาวอาแป๊ะ ถ่ายเป็นมูกปนเลือดและร้องไห้โยเย งอแงมากทุกวันจนอาแป๊ะ ทนไม่ไหว ต้องพาไปหาหมอที่โรงพยาบาล หมอขออึไปตรวจพบพยาธิตัวบิดเดินกันยุบยิบไปหมด เลยรีบเอาลูกสาวอาแป๊ะ ไว้รักษา กว่าจะหายดีก็ใช้เวลานานพอควร โชคของอาแป๊ะยังดีที่หมอพยายามสอนเรื่องอาหาร หลังจากนั้นลูกสาวของอาแป๊ะก็ได้กินนมผงบ้าง ทำให้สุขภาพดีขึ้นเรื่อย ๆ

ที่จริงอาแป๊ะ ก็กินน้ำแข็งก้อนเดียวกับลูกสาวด้วย แต่ผมบอกแล้วอย่างไรครับว่า ลำไส้อาแป๊ะ แข็งแรงดีมาก พอพยาธิเข้ามาก็ถูกผ่านออกไป โดยทำอะไรอาแป๊ะ ไม่ได้ ผมผู้อยู่ในลำไส้ของอาแป๊ะ ก็ยังสุขสบายดีตามเดิม 


                                                                                       สวัสดีครับผม เซลล์ผนังลำไส้ของอาแป๊ะ

 

 

                                                                                ภาคพิเศษ

พยาธิบิดมีตัว (Entamoeba histolytica) เป็นโปรโตซัว (สัตว์เซลล์เดียว) ขนาดเล็ก มีการแพร่พันธุ์โดยการแบ่งตัว เชื้อนี้จะมี 3 ระยะ คือ ระยะตัวแก่ ที่เรียกว่า “โทรโฟซอยด์” (Trophozoite) เป็นระยะที่เคลื่อนไหวได้รวดเร็วแบบอะมีบ้า ระยะหุ้มเกราะหรือซีสต์ (cyst) และระยะก่อนหุ้มเกราะ (intermediate precyst) ปกติคนติดเชื้อโดยการกินซีสต์ ซึ่งถูกขับถ่ายออกมาทางอุจจาระ

เมื่อซีสต์เข้าไปในกระเพาะและลำไส้เล็กส่วนต้น มันจะถูกกระตุ้นให้เจริญเติบโตโดยจะมีตัวอ่อน 4 ตัว ออกมาจากแต่ละซีสต์ และแต่ละตัวก็จะแบ่งตัวต่อไปประมาณ 1-8 ตัว มันจะเคลื่อนไปอยู่ที่ลำไส้ใหญ่บริเวณซีกัม (cecum) และเพิ่มจำนวนและอายุขึ้น กลายเป็นตัวแก่ พวกตัวแก่จะปล่อยน้ำย่อยโปรตีน ทำลายผนังลำไส้ ทำให้เกิดเป็นแผลเล็ก ๆ ทั่วไป การเกิดเป็นแผลนี้เชื่อว่า มีการช่วยทำลายจากแบคทีเรียด้วย นอกจากนั้นยังขึ้นกับความรุนแรงของเชื้อ ความต้านทานของผู้ได้รับเชื้อ และที่สำคัญ พวกที่ได้รับอาหาร แป้งมากหรือพวกที่ขาดโปรตีน จะทำให้โรครุนแรงขึ้น

นอกจาก จะทำให้เกิดโรคบิดแล้ว ประมาณ 4% ของผู้ป่วย ยังทำให้เกิดฝีบิดในตับได้ ซึ่งเชื่อว่าเกิดจากการที่กลุ่มของตัวแก่หลุดเข้าไปในระบบเส้นเลือดของตับ (Portal circulation) และเกิดเป็นฝีที่ตับได้ สมัยก่อนผู้ป่วยมักตาย ถึงแม้ในสมัยนี้ก็เถอะ ถ้าทิ้งไว้จนเป็นมาก ก็อาจตายได้เช่นกัน


 

ข้อมูลสื่อ

15-017
นิตยสารหมอชาวบ้าน 15
กรกฎาคม 2523
ทันโรค
พญ.ศมนีย์ ศุขรุ่งเรือง