• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

ไข้หวัดต้องใช้ยาชุดหรือ?

ไข้หวัดต้องใช้ยาชุดหรือ?



ยาชุด หรือยาที่มากกว่า
1 ชนิดถูกจัดรวมเข้าให้กินพร้อมกัน กำลังเป็นที่นิยมแพร่หลายมากทั่วเมืองไทยในปัจจุบันนี้ โดยเฉพาะในชนบท มีการจัดยาชุดด้วยเทคนิคต่าง ๆ อย่างแพรวพราวทีเดียว มากไปด้วยสีสัน รูปแบบของเม็ดยา และจำนวนเม็ดในแต่ละชุด ผมเองเคยพบยาชุด ๆ ละ 8-10 เม็ดทีเดียว เรียกว่า กินลงไปแทบจะอิ่มเลย เกือบจะไม่ต้องกินข้าวก็ว่าได้

โดยเนื้อแท้แล้ว ยาชุดอาจไม่มีโทษภัยอะไรมากมายนัก ถ้าตัวยาในแต่ละชุดนั้นไม่ไปเสริมฤทธิ์หรือต้านฤทธิ์กันโดยตรงจนเกิดผลเสียขึ้น ไม่มียาที่ฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็นและตัวยาแต่ละชนิดมีวิธีกินเหมือนกัน

แต่ทุกวันนี้ ยาชุดถูกจัดขึ้นโดยไม่ได้คำนึงถึงเหตุปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวมาเลย จึงทำให้เกิดอันตรายจากยาเสริมฤทธิ์กันเกินขนาดบ้าง เกิดการดื้อยา เพราะยาไปต้านฤทธิ์กันทำให้ไม่ได้ผลในการรักษาบ้าง สูญเปล่าทางเศรษฐกิจ เพราะการยัดเยียดยาที่ไม่จำเป็นลงในยาชุดบ้าง

ท่านที่ได้อ่านหมอชาวบ้านมาหลาย ๆ ฉบับ ก็คงพอจะทราบดีแล้วว่า ไข้หวัด ไม่ว่าจะหวัดเล็ก หวัดน้อย หวัดใหญ่ หวัดรัสเซีย หวัดจีนแดง หรือหวัดอเมริกาก็แล้วแต่ ล้วนเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งในปัจจุบันยังไม่มียาอะไรที่จะฆ่าเชื้อนี้ได้ แต่ก็โชคดีที่เชื้อไวรัสมันแก่ตายเองบ้าง ถูกเชื้ออื่นกินไปบ้าง ความต้านทานของเราฆ่ามันบ้าง สรุปแล้วโรคนี้มักจะหายเองได้ภายใน 7-10 วัน
ยังมีหวัดอีกพวกหนึ่งเกิดจากการแพ้ไม่ว่าจะแพ้อากาศ แพ้ฝุ่นละออง แพ้ความเย็น หรือความร้อน บางคนถึงกับอ้างว่าแพ้ภรรยา บอกว่ากลับบ้านทีไรเป็นหวัดทุกที แต่ไปนอนบ้านอื่นไม่ยักเป็นไร (อันนี้คงไม่จริงมากกว่านะครับ คงเป็นโรคอย่างอื่นมากกว่าโรคหวัด) อย่างไรก็ตาม โรคหวัดจากการแพ้ มักจะไม่หายขาด เป็น ๆ หาย ๆ อยู่อย่างนั้นเอง มักเป็นเมื่อสัมผัสกับสิ่งที่แพ้เท่านั้น ถ้าหลีกเลี่ยงได้ก็มักจะหาย บางคนหาสาเหตุไม่ไดก็แย่หน่อยนะครับ

ถ้าอย่างนั้น ยาที่ใช้กับโรคหวัดทุกวันนี้ เขาให้กันไปทำไม” คงจะมีผู้สงสัย

ยาที่ใช้กันทุกวันนี้ เป็นเพียงยาบรรเทาอาการเท่านั้นเอง เช่น มีไข้ ก็ให้ยาลดไข้ มีน้ำมูก ก็ให้ยาลดน้ำมูก และอาการอื่นๆ ก็เหมือนกัน ก็ด้วยเหตุที่หวัดมีอาการหลายๆ อย่างนี่แหละ คงเป็นเหตุให้มีการจัดยาชุดโดยเอายาบรรเทาอาการต่างๆ ใส่รวมกันเป็นชุดๆ ให้ชาวบ้านกิน ส่วนใหญ่ที่นิยมจัดกันก็มี ยาลดไข้ ยาแก้แพ้ ยาแก้คัดจมูก ยาแก้ไอ อาจจะมียาขับเสมหะด้วย และยาที่มักจะแถมให้อย่างเกินความจำเป็นเสมอๆ ก็คือ ยาพวก สเตอรอยด์ (เช่น เพร็ดนิโซโลน เด๊กซ่าเมธาโซน) ยาปฏิชีวนะ และ วิตามิน ยาแต่ละชนิดอาจให้มากกว่า 1 เม็ด และบางเม็ดก็มียาหลายชนิดอยู่แล้ว ทำให้มีโอกาสที่ยาจะตีกัน จนคนกินแย่ไปเลย บางคนกินเข้าไปก็ใจสั่น นอนไม่หลับ บางคนกินเข้าไปก็หลับจนเกือบลืมตื่น บางคนก็แพ้ยา เป็นผื่นคัน เกาเป็นหนุมานไปเลยก็มี

เนื่องจากแต่ละคนที่เป็นหวัด อาการจะไม่เหมือนกันทุกคน บางคนอาจจะมีแต่ไข้กับน้ำมูกเท่านั้น บางคนอาจไอด้วย บางคนจามเฉย ๆ บางคนคัดจมูกอย่างเดียว เป็นต้น แต่ยาชุดที่จัด ๆ กันมักจะให้เหมือน ๆ กัน ครอบจักรวาลไปหมด คือเพียงแต่บอกว่าเป็นไข้หวัดก็จัดให้ได้เลย โดยไม่ต้องถามอาการ ดีไม่ดี หยิบยาชุดที่จัดล่วงหน้าไว้แล้วให้เสียด้วย

ถ้าไปเจอะร้านที่ถามอาการก่อนแล้วจัดตามอาการให้ก็ค่อยยังชั่วหน่อย แต่ยังไงก็คงจะไม่หายหวาดเสียวไปจากยาที่เกินความจำเป็น เช่น ยาปฏิชีวนะ (จำเป็นเฉพาะในรายที่มีอาการแทรกซ้อนจากเชื้อแบคทีเรียเท่านั้น) การใช้ยาปฏิชีวนะเกินความจำเป็นในโรคไข้หวัดนี้ กำลังเป็นปัญหาใหญ่ของบ้านเมืองเราทีเดียว เพราะทำให้เชื้อโรคต่างๆ ที่ไม่ได้ทำให้เป็นโรคหวัด แต่ร้ายแรงกว่าหวัด ดื้อยากันเป็นแถว ๆ และเมื่อผู้นั้นป่วยด้วยโรคนั้นเข้าจริง ๆ ก็มักจะรักษาหายยากกว่าที่ควรจะเป็น จะเรียกว่ากินยาไปเลี้ยงเชื้อให้แข็งแรงขึ้นก็คงจะไม่ผิดนักกระมังครับ
 

ยาพวกสเตอรอยด์ นอกจากไม่มีประโยชน์ในการรักษาแล้ว ยังทำให้ร่างกายมีความต้านทานต่อเชื้อโรคน้อยลง ทำให้มีโรคแทรกซ้อนได้ง่าย เช่น หลอดลมหรือปอดอักเสบไปเลยก็มี หรือต้องจ่ายค่าวิตามิน ซึ่งไม่ได้ช่วยในการรักษาหวัดแต่อย่างใด แม้แต่วิตามินซี ซึ่งเชื่อกันนักหนาว่าป้องกันและช่วยรักษาหวัดได้ ก็เป็นเพียงความเชื่อที่ยังไม่มีข้อพิสูจน์ชัดเจนแต่อย่างใด

นอกจากนี้ จากการวิจัยของกลุ่มศึกษาปัญหายา (ซึ่งเป็นกลุ่มของอาจารย์ เภสัชกร และผู้สนใจปัญหาเรื่องยา) เมื่อปีที่แล้วพบว่ามีการเอายาอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับโรคหวัด มาใส่ลงไปในยาชุดแก้หวัดด้วย เช่น ยากล่อมประสาท ยารักษาวัณโรค เป็นต้น โดยเฉพาะยากล่อมประสาทนี้ อาจจะไปเสริมฤทธิ์การกดประสาทของยาแก้แพ้ จนอาจทำให้เกิดอันตรายได้
ในเมื่อยาชุดแก้ไข้หวัดมีอันตรายเช่นนี้ เราควรจะทำอย่างไรดีเมื่อเป็นหวัด? คงจะเป็นคำถามที่น่าสนใจไม่น้อย
คำตอบสั้น ๆ ก็คือ อยู่เฉย ๆ นั่นแหละดี และถ้าอยากกินยาจริง ๆ ก็กินยาเหล่านี้คือ

1. ถ้ามีไข้ หรือปวดหัว ผู้ใหญ่ก็ใช้ยาเม็ดแอสไพริน (เม็ดละ 5 สตางค์) ครั้งละ 2 เม็ด หรือพาราเซตาม่อล (เม็ดละ 20-25 สตางค์) ครั้งละ 1-2 เม็ด ถ้าไม่หาย กินซ้ำได้ทุก 6 ชั่วโมง เด็กก็ให้ ยาเม็ดเบบี้แอสไพริน ครั้งละ 1 เม็ด ต่ออายุ 1 ขวบ หรือ พาราเซตาม่อลชนิดน้ำเชื่อม ครั้งละ 1/2-1 ช้อนชา

2. ถ้ามีอาการจาม คัดจมูก น้ำมูกใส ก็ใช้ ยาเม็ดคลอร์เฟนิรามีน (เม็ดละ 10 สตางค์) ผู้ใหญ่ครั้งละ 1 เม็ด เด็กครั้งละ 1/4-1/2 เม็ด วันละ 2-3 ครั้ง

นอกจากในรายที่มีน้ำมูกข้นออกเหลืองหรือเขียว ซึ่งแสดงว่ามีเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนแล้ว จึงจะใช้ยาปฏิชีวนะ ร่วมด้วย เช่น ผู้ใหญ่ให้กิน เตตร้าซัยคลีน (แคปซูลละ 1 บาท) ครั้งละ 2 เม็ด วันละ 3-4 ครั้ง เด็กให้กินยาเม็ดเพนวี (ขนาด 2 แสนยูนิต ราคาเม็ดละ 0.50 บาท) ครั้งละ 1/2-1 เม็ด
 

3. ถ้ามีอาการไอด้วย ก็ให้ยาแก้ไอน้ำดำ ขององค์การเภสัชกรรม (ขนาด 60 ซี.ซี,ขวดละ 4 บาท) จิบทีละน้อย พอชุ่มคอ เวลามีอาการไอ ทุก 4-6 ชั่วโมง แต่ถ้าเสมหะเหลืองหรือเขียวก็ให้ยาปฏิชีวนะเช่นกันถ้าเสมหะเหนียว หรือกินยาแล้วไอมากขึ้น ให้งด ยาคลอร์เฟนิรามีน และยาแก้ไอน้ำดำ ให้ดื่มน้ำอุ่นมาก ๆ แทน

การใช้ยาเพียงเท่านี้ ก็เพียงพอแล้วสำหรับบรรเทาอาการไข้หวัด และความจริงแล้ว การพักผ่อนให้มาก กินน้ำมาก ๆ พยายามกินอาหารให้เพียงพอ (แม้จะเบื่ออาหาร) มีความสำคัญมากกว่ายาเสียด้วยซ้ำ และถ้าเราอดทนต่ออาการต่าง ๆ ได้ ก็ไม่จำเป็นต้องกินยาอะไรเลยเสียด้วยซ้ำ
 


 

ข้อมูลสื่อ

17-012
นิตยสารหมอชาวบ้าน 17
กันยายน 2523
ยาน่าใช้
ภก.สงกรานต์ ภาคโชคดี