• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

ยาบำรุง

ยาบำรุง

ยาบำรุงเป็นยาที่เรารู้จักกันดี นับเป็นยากลุ่มหนึ่งที่มีปริมาณการใช้สูงมาก ทั้งจากการซื้อใช้เองและจ่ายโดยแพทย์
 

ยาบำรุง บำรุงอะไรกันนะ?
ชื่อ “ยาบำรุง” ก็บอกอยู่แล้วอย่างตรงไปตรงมาว่า เป็นยาที่ช่วยบำรุงหรือเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงสมบูรณ์ยิ่งขึ้น แต่จุดที่น่าสนใจอยู่ที่ว่า ใครบ้างที่น่าจะกินยาบำรุง และเราจะกินยาบำรุงไปทำไมกัน
ยาบำรุงไม่ใช่สิงจำเป็นสำหรับทุก ๆ คน ถ้าเราเป็นคนที่มีสุขภาพแข็งแรง มีชีวิตอย่างเป็นปกติสุข ไม่อ่อนแอหรือเจ็บไข้ได้ป่วยง่าย ๆ ถึงเราจะมีร่างกายที่ดูซูบผอมไปหน่อย ก็ไม่น่าจะเป็นปัญหากวนใจอะไรเลยนะคะ ไม่ต้องไปกังวลหรอกค่ะ และไม่ต้องไปหาหยูกยามาบำรุงด้วย เก็บเงินของคุณไว้ซื้อข้างของ เครื่องอุปโภค บริโภคที่จำเป็นอื่น ๆ ดีกว่า

แต่...ยาบำรุงเป็นสิ่งที่จำเป็นมากสำหรับบุคคลหลายประเภท ดังต่อไปนี้
1. ผู้ที่อยู่ในภาวะขาดอาหาร

ภาวะขาดอาหารเกิดขึ้นได้ง่ายมาก ในคนที่ไม่มีจะกิน ตัวอย่างชัด ๆ ที่เห็นได้ง่ายในขณะนี้ ก็คือ พวกเขมรอพยพบางคน นอกจากนี้ผู้ที่มีอันจะกินก็มีโอกาสขาดอาหารเช่นกัน กรณีหลังนี้มีสาเหตุหลายประการ เช่น ต้องลดความอ้วนเพื่อให้สวยงาม จึงพยายามอดอาหาร ทำให้ร่างกายผอมลงเพราะอยู่ในภาวะขาดอาหารทำให้สุขภาพอ่อนแอทรุดโทรมไปด้วย เช่น วิงเวียนง่าย เป็นลม หน้ามืดบ่อย ๆ นอกจากนี้ยังเกิดจากการกินไม่เป็น กินไม่เป็นในที่นี้ไม่ได้หมายความว่า กินของอร่อย ๆ ของดี ๆ ไม่เป็น แต่หมายความว่า กินอย่างมีคุณภาพ มีคุณค่าทางอาหารไม่เป็น อาการขาดอาหารในผู้มีอันจะกินยังเกิดขึ้นได้จากนิสัยการช่างเลือกกิน กินยาก เช่น ไม่กินอาหารทะเลเลยทำให้เกิดภาวะขาดธาตุไอโอดีนได้คนที่กินเจ ไม่กินเนื้อสัตว์เลยก็อาจเกิดภาวะขาดอาหารได้ ถ้าได้สารโปรตีนชดเชยจากพืชไม่เพียงพอและประการท้ายสุดที่ทำให้ขาดอาหารได้ ก็เห็นจะได้แก่ อาการเบื่ออาหาร เป็นระยะนาน ๆ เช่น ได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจชนิดที่รุนแรง จะทำให้คนเราซูบผอมลงและขาดอาหารได้อย่างรวดเร็ว
 

2. หญิงมีท้องและระหว่างให้นมลูก
มีความต้องการสารอาหารทุกชนิดเพิ่มขึ้น ในระหว่างตั้งท้องตัวแม่ต้องแบกภาระในการแบ่งอาหารต่าง ๆ ไปให้ลูก เพื่อให้ลูกเจริญเติบโตขึ้นมาอย่างมีอาการครบสามสิบสอง และให้ตัวแม่เองมีสุขภาพแข็งแรงด้วย ถ้าตัวแม่ไม่ได้รับการบำรุงที่ดีพอ ลูกจะดึงสารอาหารที่จำเป็นต่าง ๆ จากแม่ไปใช้ ทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ในตัวแม่ เช่น ฟันผุได้ง่าย โลหิตจาง ในระหว่างให้นมลูกก็เช่นกันร่างกายแม่จำเป็นต้องได้รับสารอาหาร, แร่ธาตุต่าง ๆ อย่างเพียงพอเพื่อนำไปสร้างน้ำนม

3. ผู้ที่ป่วยเป็นโรคเรื้อรังต่าง ๆ
เช่น เบาหวาน, วัณโรค ปอด, เป็นแผลในกระเพาะอาหาร, ผู้ป่วยโรคพยาธิ ฯลฯ

4. ผู้ที่กินยาบางชนิดเป็นระยะนาน ๆ
เช่น ยาปฏิชีวนะ ยารักษาโรค ฯลฯ ซึ่งทำให้ระดับวิตามินบางตัวในร่างกายต่ำลงจำเป็นต้องได้ยาบำรุงเสริม

5. ผู้ที่อยู่ในระยะพักฟื้น ร่างกายยังไม่แข็งแรง
ยาบำรุงจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับบุคคลต่าง ๆ ข้างต้น คนธรรมดาที่มีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ปกติสุข จึงไม่จำเป็นต้องดิ้นรนหายามาบำรุงอีก เพราะเท่ากับว่า ร่างกายได้รับสารเหล่านี้อย่างเพียงพอจากอาหารที่เรากินเข้าไปแล้ว ร่างกายของคนเรามีขีดจำกัดในการรับสารต่าง ๆ เหมือนกับที่ตัวเราเองมีขีดความสามารถจำกัดในการกินอาหาร ถ้าคุณกินวิตามินเกินขีดที่ร่างกายรับได้ ร่างกายก็จะขับมันออกมาทางปัสสาวะเปลืองเงินเปลืองทองโดยใช่เหตุเปล่า ๆ
 

ยาบำรุงบำรุงอะไรบ้าง
ยาบำรุงที่เรารู้จักมากและดีที่สุด เห็นจะได้แก่วิตามินชนิดต่าง ๆ นอกจากนี้ก็มีพวกเกลือแร่บางชนิด เช่น แคลเซี่ยม ธาตุ เหล็ก ฯลฯ
โดยปกติร่างกายได้สารเหล่านี้จากอาหาร ถ้ารู้จักเลือกอาหารที่มีคุณค่า และรู้จักวิธีปรุงที่ถูกหลัก เช่น ไม่ใช้ความร้อนสูงเกินไป หรือนานเกินไป หรือต้มผักแล้วทิ้งน้ำผัก ทำให้ได้วิตามินต่าง ๆ ลดลง เพราะความร้อนสูง ๆ ทำให้วิตามินในพืชผักอาหารสลายตัวได้ การทิ้งน้ำต้มผักก็ทำให้เราเสียวิตามินที่ละลายออกมาอยู่ในน้ำไป

ลองมาดูบทบาทและประโยชน์ของวิตามินและเกลือแร่แต่ละตัวกันดีกว่า
1. วิตามิน เอ.

ช่วยทำให้เรามองเห็นในที่มืดได้ ถ้าขาดจะทำให้มีอาการตาพร่า ตาฟาง ตามัว ตาแห้ง ในเด็กเล็ก ๆ โดยเฉพาะเด็กทารก ถ้าขาดวิตามินเออาจทำให้เกิด “โรคเกล็ดกระดี่ขึ้นตา” ถึงขั้นตาบอดได้ วิตามินเอ มีมากในผักต่าง ๆ ผักที่มีมากเป็นพิเศษ ได้แก่ ผักบุ้ง ผักตำลึง พืชผักผลไม้ที่มีสีเหลือง เช่น มะละกอสุก มะม่วง ฟักทอง นม ไข่แดง ตับสัตว์ น้ำมันตับปลา ฯลฯ

2. วิตามิน บี. มีอยู่หลายชนิดคือ
วิตามินบีหนึ่ง ช่วยในการทำงานของหัวใจและระบบประสาทปกติ ถ้าขาดจะทำให้เกิดอาการเหน็บชาตามปลายมือปลายเท้า มีมากในเนื้อสัตว์ ไข่ ถั่ว ข้าว ยิ่งเป็นข้างแดงหรือข้าวซ้อมมือ จะมีปริมาณวิตามินบีหนึ่งมาก ข้าวสีจะมีน้อยลง นอกจากนี้ถ้าซาวข้าวมากไปก็จะล้างเอาวิตามินบีหนึ่งออกไปมากด้วย นอกจากนี้ ในคนที่ชอบกินปลาร้า เมี่ยง ชามาก ๆ จะทำให้เกิดอาการขาดวิตามินบีหนึ่งได้ แม้จะได้กินอาหารที่อุดมไปด้วยบีหนึ่ง เพราะในปลาร้า เมี่ยง ชา มีสารที่ต่อต้านทำลายล้างวิตามินบีหนึ่งได้

วิตามินบีสอง ช่วยให้ขบวนการเผาผลาญในร่างกายเป็นปกติ บำรุงผิวหนังและตา ถ้าขาดจะทำให้เป็นโรคปากเปื่อย ปากนกกระจอก มีแผลที่ลิ้น นอกจากนี้ ยังทำให้มีอาการผิดปกติของตา ทำให้คันหนังตา แสบร้อน น้ำตาไหล สู้แสงไม่ได้ ตาพร่า วิตามินบีสองมีมากใน ตับ หัวใจ นม ไข่ ผักต่าง ๆ

วิตามินบีหก เกี่ยวข้องกับการเผาผลาญอาหารภายในร่างกาย ถ้าขาดจะทำให้อาการบวม ผมร่วง ผิวหนังอักเสบ ปวดเสียวตามมือ เท้า มีมาในเนื้อสัตว์ ตับ ผักใบเขียว ข้าวซ้อมมือ ข้าวโพด ไข่ นม

วิตามินบีสิบสอง ช่วยให้ร่างกายสามารถสร้างเม็ดเลือดได้อย่างปกติ ถ้าขาดจะทำให้เป็นโลหิตจางได้ ปกติในร่างกายของเราสามารถสังเคราะห์วิตามินนี้ขึ้นได้

3. วิตามินซี
ช่วยให้ผนังเส้นเลือดแข็งแรงไม่เปราะ บำรุงเหงือก ถ้าขาดจะทำให้เป็นโรคเลือดออกตามไรฟัน (ลักปิดลักเปิด) มีมากในพืชผักผลไม้ทั่วไป เช่นส้ม มะนาว มะขาม ฝรั่ง

4..วิตามินดี
ในบ้านเราไม่ค่อยมีปัญหาเพราะมีแสงแดดมาก แสงแดดจะช่วยให้ร่างกายสร้างวิตามินดี วิตามินดีช่วยให้ขบวนการดูดซึมของแคลเซียมและฟอสฟอรัส ในร่างกายเป็นปกติ ถ้าขาดจะทำให้เป็นโรคกระดูกอ่อนกระดูกผุ

5. วิตามินอี
เข้าใจว่าจะช่วยให้การทำงานของระบบกล้ามเนื้อประสาท และระบบหลอดเลือดเป็นปกติ ในสัตว์ทดลองพบว่า ช่วยทำให้ไม่เป็นหมัน แต่ผลในคนยังไม่ยืนยันแน่ชัด พบมีมากในข้าวโพด ถั่วลิสง มะพร้าว

6. วิตามินเค
ช่วยให้การแข็งตัวของเลือดเป็นปกติ ปกติร่างกายมีเชื้อแบคทีเรีย ช่วยสังเคราะห์ขึ้นได้ แต่บางคนอาจขาดวิตามินเคได้ เพราะร่างกายไม่สามารถดูดซึมวิตามินที่มีอยู่ไปใช้ได้ มีมากในพืชผักใบเขียว ดอกกะหล่ำ

7. ธาตุเหล็ก
เป็นองค์ประกอบสำคัญของเลือด ทำให้เลือดมีสีแดง ถ้าขาดจะทำให้เป็นโรคโลหิตจาง ซึ่งพบมากในคนที่ขาดอาหาร ในหญิงตั้งท้องระหว่างให้นมลูก อาหารที่มีธาตุเหล็กมากได้แก่ ผักใบเขียว ตับ เลือด สัตว์
 

8. ธาตุแคลเซียม
เป็นองค์ประกอบสำคัญของกระดูกและฟัน ถ้าขาดจะทำให้เป็นโรคกระดูกอ่อน เกร็ง กระตุก เป็นตะคริว มีมากในพวกนม เนย อาหารที่กินทั้งกระดูก หรือเปลือกได้ เช่น ปลากรอบ กุ้งเล็ก ๆ ที่กินพร้อมเปลือก
นอกจากนี้ยังมีแร่ธาตุอื่น ๆ อีกที่จำเป็นสำหรับร่างกาย แต่จะไม่กล่าวละเอียด ในที่นี้
 

ยาบำรุงชนิดต่าง ๆ
1. ยาเม็ดวิตามินบีหนึ่ง (Thiamine tablets) ใช้ป้องกันและรักษาโรคเหน็บชาประสาทอักเสบ ช่วย
เจริญอาหารให้กินครั้งละ 1 -2 เม็ด วันละ 3 ครั้งหลังอาหาร ราคาเม็ดละ 3 สตางค์

2. ยาเม็ดวิตามินบีรวม (Vitamin B Complex Tablets) ใช้ป้องกันและรักษาอาการขาดวิตามินบี
เช่น อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ลิ้นอักเสบ ริมฝีปากอักเสบ ช่วยบำรุงประสาท ถ้าจะใช้ป้องกันให้กินครั้งละ 1 เม็ด วันละ 1 ครั้ง ถ้าใช้รักษาให้กินครั้งละ 1-2 เม็ด วันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร ราคาเม็ด 10 สตางค์

3. ยาเม็ดวิตามินบีสอง ใช้รักษาอาการปากเปื่อยเป็นแผล ให้กินครั้งละ 1 เม็ด วันละ 3 ครั้ง หลัง
อาหาร กินยานี้แล้วจะทำให้สีของปัสสาวะมีสีเหลืองเข้มกว่าปกติ

4. ยาเม็ดวิตามินซี ใช้ป้องกันและรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน (โรคลักปิดลักเปิด) มีรสเปรี้ยวถ้า
ใช้ป้องกันให้กินวันละ 1 เม็ด ถ้าใช้เพื่อรักษาให้กินครั้งละ 2 เม็ด วันละ 3 ครั้งหลังอาหารเด็กกินครั้งละ 1 เม็ดก็พอ ราคาเม็ดละ 7 สตางค์

5. ยาเม็ดวิตามินรวม (Multivitamin Tablets) ใช้บำรุงร่างกายป้องกันและรักษาอาการขาดวิตามินต่างๆ ซึ่งทำให้เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ลิ้นปากเปื่อยอักเสบ ร่างกายอ่อนแอ ให้กินครั้งละ 1-2 เม็ดวันละ 3 ครั้งหลังอาหาร ราคาเม็ดละ 6 สตางค์
ยาวิตามินบีรวม มักนิยมทำเป็นยางเม็ดเคลือบน้ำตาล ควรสังเกตดูก่อนซื้อว่า เม็ดยาเป็นจุดด่างดำหรือเยิ้มหรือไม่ เพราะพวกวิตามินรวมมักเสียง่าย ถ้าถูกความชื้นหรือความร้อนสูง
ส่วนวิตามินรวมชนิดน้ำสำหรับเด็กก็เสียได้ง่ายมาก ควรเลือกซื้อยาที่มีลักษณะดี สีสันปกติ ไม่ขึ้นรา หรือมีกลิ่นเหม็นบูดหรือสิ่งผิดปกติอื่น ๆ

6. ยาวิตามินรวมกับแร่ธาตุต่าง ๆ สำหรับบำรุงสตรีที่กำลังตั้งท้อง จะประกอบด้วยวิตามินชนิดต่าง ๆ ธาตุแคลเซี่ยมสำหรับบำรุงกระดูกและฟัน ธาตุเหล็กสำหรับบำรุงเลือด และยังมักประกอบด้วยแร่ธาตุชนิดอื่น ๆ อีก ที่มีขายตามท้องตลาดมีมากมายหลายชนิด หญิงมีท้องควรกินยาวิตามินเหล่านี้ตลอดระยะที่ตั้งท้อง เพราะร่างกายอยู่ในภาวะที่ต้องการสารต่าง ๆ เหล่านี้เพิ่มขึ้น มิฉะนั้นตัวแม่เองจะลำบาก เพราะเด็กในท้องจะดึงเอาสารต่าง ๆ ที่จำเป็นไปใช้ ทำให้ร่างกายของแม่อ่อนแอเช่น ฟันผุ เลือดจาง เป็นตะคริวได้ง่าย

7. ยาบำรุงเลือด ที่ราคาถูกที่สุดเห็นจะได้แก่ เฟอร์รัสซับเฟต (Ferrous Sulphate) ราคาเม็ดละ 7 สตางค์ ใช้รักษาอาการซีด วิงเวียน เนื่องจากเลือดจางจากการขาดธาตุเหล็ก ควรกินยานี้หลังอาหารทันที เพราะยานี้ค่อนข้างจะระคายเคืองมาก ถ้ากินตอนท้องว่างจะทำให้มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องหรือท้องร่วงได้ ในรายที่มีอาการซีดมาก ให้กินครั้งละ 1 เม็ด วันละ 3 ครั้ง ติดต่อกันไปจนกว่าอาการซีดจะดีขึ้น ควรกินยาต่ออีกนาน 1-2 เดือน
สิ่งที่ควรทราบเวลากินยาบำรุงพวกเหล็ก คือ กินแล้วจะทำให้อุจจาระเป็นสีดำคล้ำได้ ไม่ต้องตกใจ แต่ถ้าถ่ายอุจจาระเป็นสีดำโดยที่ไม่ได้กินยาบำรุงนี้หรือ ไม่ได้กินเลือดสัตว์ ก็ต้องรีบไปหาหมอ เพราะแสดงว่ามีเลือดออกในกระเพาะอาหารแล้ว

หลักสำคัญข้อหนึ่งของการใช้ยาบำรุง ก็คือ ยาบำรุงใช้ช่วยเสริมเท่านั้น ลำพังการกินยาบำรุงอย่างเดียว โดยไม่ได้กินอาหารให้ถูกต้องในปริมาณที่พอเหมาะ จะไม่ทำให้คุณแข็งแรงสมบูรณ์ได้ดังใจเลย ทางที่ดี กินอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบทุกหมู่ ในปริมาณที่เพียงพอสำหรับคุณ จะทำให้คุณแข็งแรง มีสุขภาพดี แล้วเก็บไว้ถึงคราวจำเป็นจริง ๆ ดังได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ค่อยหาวิตามิน หรือยาบำรุงช่วยดีกว่าค่ะ

 

ข้อมูลสื่อ

20-008
นิตยสารหมอชาวบ้าน 20
ธันวาคม 2523
ยาน่าใช้
ภก.พนิดา จารุศิลาวงศ์