• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

ปวดท้องไปร้องหาใคร

ปวดท้องไปร้องหาใคร

1. ปวดท้องไปร้องหาใคร กล้วยทั้งเครือไม่เหลือสักใบ

คำพังเพยโบราณนี้เป็นที่ทราบกันทั่วไป ทั้งในกรุงและในชนบท ว่าสาเหตุของการปวดท้องนั้นส่วนใหญ่เนื่องจากการกินจุ จนกระเพาะอาหารมิสามารถจะย่อยได้ทัน กล้วยเป็นผลไม้หลักของชาวไทยที่นิยมกินกันมาแต่โบราณกาล โดยเฉพาะกล้วยน้ำว้า ซึ่งเป็นชื่อกล้วยของชาวละว้าหรือมีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า ลัวะ เมืองที่เขาอยู่เดิมเรียกว่าละโว้ หรือเมืองลพบุรีปัจจุบัน

เด็กที่คลอดใหม่ทั้งในกรุง และในชนบทปรากฏว่า ยังมีการป้อนกล้วยน้ำว้ากันจนบางครั้งทำให้กระเพาะเด็กแตก เพราะกระเพาะเด็กคลอดใหม่ทั้งบาง และยังไม่เจริญแข็งแรงเพียงพอ ยังคงปรากฏอยู่ในโรงพยาบาลเด็ก ที่ต้องรับผู้ป่วยประเภทนี้ไว้รักษา ซึ่งจะมีเด็กที่ป่วยเนื่องจากสาเหตุนี้ เข้ารักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลเด็กอยู่เนืองๆ

การรับประทานกล้วยมากๆ จะเป็นสาเหตุประการหนึ่งที่ทำให้ปวดท้องได้ คนไทยนิยมกินกล้วยมากจนมีเพลงรำวงว่า “กล้วยน้ำว้าเวลางอม ทั้งกล้วยหอมกินแล้วติดใจ ฉันชอบกล้วยไข่ เพราะมันไม่มีกระดูก”

อาการปวดท้องเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติประการหนึ่ง ที่จะคอยเตือนให้ทุกคนรู้จักยับยั้งการกระทำ และขวนขวายหาวิธีรักษาการปวด คำพังเพยโบราณที่ว่า “ปวดท้องไปร้องหาใคร กล้วยทั้งเครือไม่เหลือสักใบ” นั้นท่านมิได้หมายความถึงการกินกล้วยเท่านั้น แต่หมายความถึงการกินอาหารใดๆ ถ้ามากเกินกว่ากระเพาะอาหารจะรับได้แล้ว ก็จะปรากฏมีอาการปวดท้อง เพื่อเตือนให้หยุดการกินต่อไป การรักษาอาการปวดท้องแบบนี้ ก็คือ หยุดกินเป็นอันดับแรก นอกจากนี้การกินอาหารมากเกินขนาดไป ยังปรากฏว่ามีลมในกระเพาะอีกด้วยเพราะการกลืนอาหารทุกครั้ง มักจะมีลมปนไปกับอาหารด้วย โดยเฉพาะในเด็กและคนสูงอายุ การกินยาประเภทไล่ลม เช่น ยาเข้าน้ำมันสะระแหน่ หรือพวกยาหอมจะมีส่วนผสมของพิมเสนหรือการบูร ก็ช่วยให้มีอาการเรอเอาลมออกทางปาก ทำให้ทุเลาการปวด

เด็กคลอดใหม่และในระยะ 1 ขวบแรก หลังจากกินนม ซึ่งก็กลืนลมไปพร้อมกับนม จะร้องกวนหรือไม่ร้องก็ตาม ผู้เลี้ยงควรอุ้มเด็กให้ศีรษะเด็กพาดบ่าของผู้เลี้ยง เด็กจะเรอลมออกมา เป็นการช่วยไม่ให้ลมขังในกระเพาะ

2. ปวดท้องฉี่

แหล่งบริเวณแห่งการปวดจะอยู่ แถวบริเวณหัวเหน่า สาเหตุเกิดจากการคั่งค้างน้ำปัสสาวะหรือน้ำเยี่ยวในกระเพาะปัสสาวะมากเกินไป สำหรับในเด็กจะพบมีก้อนกลมอยู่เหนือบริเวณหัวเหน่า มือไปกดบริเวณนั้นเด็กจะร้อง เด็กพวกนี้มักจะถ่ายเองไม่ได้ การใช้สำลีชุบน้ำเย็นๆ บีบไล่บริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ จะเร่งให้เด็กคนนั้นถ่ายปัสสาวะเอง โดยพยายามทำเป็นเวลาอย่างน้อย 10 นาที หากไมได้ผลก็ควรส่งไปหาแพทย์ หรือผู้รู้วิชาแพทย์พอจะสวนปัสสาวะให้ได้

สำหรับผู้ใหญ่ที่โอกาสไม่อำนวยจะถ่ายได้ โดยเฉพาะผู้ชายสูงอายุที่ต่อมลูกหมากโต การปวดฉี่จะถี่กว่าคนปกติ ไม่ควรจะอายเมื่อปวดทั้งนี้เพื่อรักษาคุณภาพของการถ่ายในคราวต่อๆ ไป

สำหรับผู้ใหญ่สูงอายุที่เป็นหญิง การอดกลั้นการปวดฉี่ จะทำให้เกิดมีอาการปวดมากเมื่อไปฉี่ การแก้ไขอาการปวดแบบนี้ คือ การกินน้ำมากๆ เพื่อล้างกระเพาะปัสสาวะ ที่มักจะมีการอักเสบเมื่อกลั้นถ่ายนานๆ การถ่ายเมื่อมีการปวดฉี่ในสตรีสูงอายุเป็นวิธีป้องกันไม่ให้เกิดอาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบ

3. ปวดท้อง ท้องเสีย ท้องเดิน และอาเจียน

กินอาหารผิดเวลา กินอาหารเมื่อหิวเกินไป กินอาหารที่มีแมลงวันตอม กินอาหารที่ทิ้งไว้จนบูด แต่ด้วยความเสียดายอาหารประเภทหมักดอง อาหารที่มีรสจัด อาหารแปลกๆ ที่ไม่เคยกิน เช่น พวกเห็ดบางชนิด อาหารพวกดิบๆ สุกๆ อาหารที่มีสารเคมี หรือยากันบูดผสมอยู่ น้ำส้มเทียม อาหารพวกเหล่านี้ เมื่อกินเข้าไปแล้วจะมีอาการปวดท้อง อึกอัดแน่นท้อง ท้องเต็มไปด้วยลม ท้องหลาม บางรายมีอาการอาเจียน บางรายมีอาการท้องเดิน ถ่ายเป็นน้ำ กลิ่นเหม็นจัด กลิ่นคาวสีเหลือง การดูสีจะช่วยแยกสาเหตุจากโรคอหิวาต์ได้เหมือนกัน ลักษณะอุจจาระของพวกเป็นโรคอหิวาต์มีสีเป็นน้ำซาวข้าว บางรายมีทั้งอาเจียนและท้องเดิน

การแก้ไขอาการปวดท้อง อาเจียน และท้องเดิน

ก. ในรายที่มีอาเจียน ควรปล่อยให้อาเจียนจนหมด การอาเจียนจะช่วยให้กากอาหารที่เสียคั่งค้างออก ควรสังเกตลักษณะของอาเจียน มีกากอาหารอะไร สีเป็นอย่างไร ตอนแรกจะมีเศษอาหารต่อไปจะมีน้ำสีเหลือง แสดงว่าสิ่งที่เหลือค้างในกรเพาะหมดแล้ว น้ำดีขย้อนเข้ามาจากลำไส้เล็ดส่วนต้นเข้ามาในกระเพาะอาหาร ตอนนี้ผู้ป่วยจะบอกว่ามีรสขม ซึ่งในตอนแรกๆ จะบอกว่ามีรสเปรี้ยว เพราะเป็นรสของกรดในกระเพาะ ควรกลั้วคอด้วยน้ำเย็นหรือน้ำอุ่นๆ จะช่วยให้รู้สึกสบายและหายรสเปรี้ยวหรือขมในคอ

ข. ในรายที่มีแต่อาการปวดไม่มีอาเจียน การให้กินยาไล่ลมให้เรอออกมา บรรเทาการปวดท้องไปได้ ยาจำพวกเข้าน้ำมันสะระแหน่ หรือพวกฝิ่นการบูรขององค์การเภสัชกรรม ก็จะได้ผลดีเหมือนกัน การใช้ขวดน้ำอุ่นจัดหรือกระเป๋าน้ำร้อนจะช่วยบรรเทาอาการปวดได้

ค. อาการท้องเดิน ควรต้องงดอาหารทุกชนิด ให้กินน้ำชาจีนแก่ๆ จะผสมน้ำตาลด้วยก็ได้ เพื่อรสดี หากหิวจัดควรให้ดื่มน้ำข้าวข้น น้ำข้าวจะช่วยเคลือบผนังของลำไส้และช่วยให้ร่างกายได้รับน้ำทดแทนน้ำที่เสียไปทางอุจจาระ การให้กนยาสมานลำไส้ ยาแก้ท้องเดินตำราหลวง ยาที่มีส่วนผสมของฝิ่นและการบูรจะช่วยระงับการท้องเดินได้ดี ในรายที่มีอาการท้องเดินมาก ควรกินยาเหล่านี้ทุก 3 ชั่วโมง จนอาการถ่ายห่างลง จึงค่อยให้ยาห่างชั่วโมงออกไปอีก

4. การปวดท้องจากโรคบิด

ผู้ป่วยที่มีอาการปวดมวนท้อง มีการถ่ายอุจจาระบ่อย มีลักษณะและกลิ่นเหมือนหัวกุ้งเน่า เป็นลักษณะของโรคบิดจากตัวพยาธิชนิดหนึ่ง ที่มีชื่อว่า อะมีบ้า มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น จะเห็นโดยใช้กล้องจุลทรรศน์ขยาย พวกหมอมักจะบอกว่าเป็นโรคบิดชนิดมีตัว

ส่วนบิดอีกชนิดหนึ่ง หมอบอกว่าบิดชนิดที่ไม่มีตัว ซึ่งความจริงก็มีตัวสาเหตุอยู่เหมือนกัน แต่นักวิทยาศาสตร์เขาไปแยกให้เป็นพวกแบคทีเรียที่มีชื่อว่า ชีเกลล่า ลักษณะของอุจจาระของบิดประเภทนี้เป็นพวกมีมูกมาก และมีสีขาวเหมือนหนองจำนวนมาก เลือดมีเล็กน้อยเป็นสายหรือไม่มี ไม่เหมือนกับบิดพวกแรก และกลิ่นเหม็น ก็เหม็นต่างกันไม่เหมือนกุ้งเน่า

  • การช่วยเหลือผู้ป่วยเป็นบิดชนิดมีตัว (ชนิดเป็นมูกเลือด กลิ่นเหม็นเหมือนหัวกุ้งเน่า)

สำหรับชาวบ้านทางเหนือเปลือกโมกใหญ่เป็นยารักษาโรคบิดชนิดนี้มากว่าพุทธกาล ต้นโมกใหญ่ มีอยู่ในป่าทางภาคเหนือ นอกจากนี้อาจใช้ยาเม็ดโดเวอร์สซึ่งมีตัวยาฆ่าเชื้อบิดชนิดนี้กับฝิ่น ส่วนประกอบที่เป็นฝิ่นช่วยบรรเทาอาการปวดและลดการถ่ายลงได้ดี ยาปฏิชีวนะหรือยาต้านจุลชีพบางชนิดมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อบิดชนิดนี้ แต่ควรไปปรึกษาแพทย์ก่อนใช้

อาการแทรกซ้อนของบิดชนิดนี้ คือ ตัวเชื้อบิดเดินทางเข้าไปอยู่ในตับ ทำให้เกิดอาการเจ็บปวดบริเวณชายโครงด้านขวา มีอาการไข้ หนาวสั่น และสุดท้ายจะเกิดมีหนองฝีในตับ เมื่อถึงขั้นนี้การช่วยเหลือควรจะได้อยู่ในความดูแลของแพทย์

  • การช่วยเหลือผู้เป็นโรคบอดชนิดไม่มีตัว (ชนิดเป็นมูกและหนองสีขาว)

ผู้ป่วยประเภทนี้มักจะเป็นกันเป็นจำนวนมากๆ โดยเฉพาะในหมู่บ้านในชนบทที่รับประทานน้ำจากบ่อเดียวกัน การลดอาการถ่ายบ่อยๆ ด้วยยาที่มีส่วนผสมของฝิ่นการบูรจะช่วยทุเลาอาการ แต่ไม่สามารถจะฆ่าเชื้อนั้นได้ แล้วรอให้ร่างกายผลิตสิ่งที่ต่อต้านต่อเชื้อ วิธีนี้ช้าและกินเวลา ยาจำพวกซัลฟากัวนิดีนยาตำราหลวงที่ไม่ถูกดูดซึมทางลำไส้บางชนิด รักษาได้ผลดี ถ้าอาการไม่ดีขึ้นควรจะได้ปรึกษาแพทย์

อาหารของผู้เป็นโรคบิด อาหารที่มีความสำคัญในผู้ป่วยเป็นโรคบิด คือ อาหารอ่อน เช่น น้ำข้าวข้นๆ ข้าวต้มกับไข่ตุ๋น น้ำชาแก่ๆ จะใส่น้ำตาลเพื่อรสหวานด้วยก็ได้ อาหารพวกนมหรือเนื้อไม่ค่อยจะถูกกับโรคนี้นัก ปลาแห้งป่นย่อยง่ายกว่าเนื้อประเภทอื่น อาหารแข็งทุกชนิด อาหารพวกหมักดองต้องงดทั้งสิ้น

5. ปวดท้องจากพยาธิในลำไส้

พยาธิที่อาศัยอยู่ภายในลำไส้มีทั้งชนิดตัวแบน ตัวกลม พยาธิใบไม้ พยาธิเหล่านี้นอกจากจะอาศัยอยู่ในลำไส้แล้ว ยังจะแย่งอาหาร และการเคลื่อนไหวจะทำให้เกิดการระคายเคือง ทำให้มีอาการปวดท้อง (คนทางภาคเหนือจะว่า เจ็บท้อง ซึ่งทางภาคกลาง หมายถึง การจะคลอดบุตร) พยาธิตัวแบนและตัวกลมนี้จะออกมากับอุจจาระ สำหรับตัวแบนซึ่งติดมาจากการกินเนื้อหมู หรือเนื้อวัวดิบๆ สุกๆ จะออกมาเหมือนเส้นก๋วยเตี๋ยว จะออกมาพร้อมอุจจาระหรือออกมาเองและสามารถดิ้นไปมาได้ เห็นชัดด้วยตาเปล่า

พวกตัวกลมชนิดยาว 1 คืบหรือกว่า ในเด็กๆ มักจะออกมากับอุจจาระหรือบางครั้งถ้ามีจำนวนมาก อาจอาเจียนออกมาทางปาก ชนิดนี้เห็นได้ง่ายมาก ส่วนพยาธิตัวกลมที่มีลักษณะเป็นปากขอตัวเล็ก แต่สังเกตให้ดีจะเห็นได้ในอุจจาระ พยาธิปากขอติดได้โดยที่พยาธิตัวอ่อนชอนทะลุหนังเท้าเข้าสู่ร่างกายไปเจริญในลำไส้แล้วดูดเลือดกินเป็นอาหาร ผู้ป่วยจะซีดและผอมลง

  • พยาธิใบไม้

สาเหตุมาจากการกินกระจับดิบ ตัวพยาธิจะไปเจริญในลำไส้ รูปร่างเหมือนใบไม้จังเรียกตามรูปร่าง

นอกจากนั้นยังมีพวกพยาธิที่อาศัยอยู่ในตับ โดยเฉพาะมีชุกชุมทางภาคอีสาน ที่ชาวบ้านนิยมกินปลาดิบ พวกนี้จะทำให้ตับโตและมีอาการปวดบริเวณตับ มีอาการผอมแห้ง และมักจะลงเอยด้วยการเป็นมะเร็งในตับ

  • การช่วยเหลือผู้ป่วยเป็นพยาธิตัวแบน

ทางภาคเหนือมีต้นหาด ซึ่งฟองของเปลือกต้นหาดนี้ เมื่อนำมาเคี่ยวกับน้ำแล้วจะได้ฟอง ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า ปวกหาด มีประสิทธิภาพในการขับพยาธิตัวแบนได้ดี

  • การช่วยเหลือผู้ป่วยเป็นโรคพยาธิตัวกลม

เมล็ดมะเกลือโขลกกับน้ำกะทิเป็นยาขับพยาธิตัวกลมดี เมื่อเร็วๆ นี้ทางราชการกระทรวงสาธารณสุขประกาศห้ามการใช้มะเกลือขับพยาธิ เพราะปรากฏว่ามีผู้กินแล้วเกิดมีอาการตาบอด จึงเกิดการกลัวขึ้น ความจริงต้องรู้จักเก็บมะเกลือที่ไม่สุกเกินไป อันตรายเช่นนี้มีน้อยมาก หรือ อาจใช้ยาถ่ายพยาธิตำราหลวงสำหรับพยาธิไส้เดือนและพยาธิเส้นด้าย อาจซื้อได้ตามร้านขายยา

ในปัจจุบันมียาที่จะนำมาใช้ในการรักษาพยาธิตัวแบน ตัวกลมและพยาธิใบไม้ ยาอะไรจะดีกับพยาธิชนิดไหนนั้น แพทย์ทั่วไปจะให้คำแนะนำท่านได้ จึงควรปรึกษา ถ้าใช้วิธีแบบชาวบ้านไม่ให้ผลเท่าที่ควร

6. ปวดท้องเนื่องจากกินยาแก้ปวดมาก

ยาแก้ปวดขนานแรก คือ แอสไพริน ปีหนึ่งๆ มีผู้กินยาแก้ปวดชนิดนี้มากกว่ายาใดๆ พวกพี่น้องชาวไร่ชาวนาที่หลั่งสู่ฟ้าหน้าสู่ดินอยู่ตลอดเวลากลางวัน เมื่อกลับมาบ้านก็มักจะมีอาการปวดเมื่อยเป็นธรรมดา การพักผ่อนเพียงพอตลอดคืนจะช่วยทุเลาอาการปวดเมื่อยตามธรรมชาติแบบนี้ได้ดี แต่เมื่อครั้นทางการแพทย์มียาแก้ปวดแอสไพริน ก็ปรากฏเป็นที่นิยมกินกันเป็นประจำเพื่อแก้อาการปวดเมื่อย เมื่อกินบ่อยๆ ก็ติดเป็นนิสัยที่ต้องกินทุกวัน ยาแอสไพรินกินมากๆ จะเป็นผลเสียต่อเยื่อบุกระเพาะอาหาร ทำให้เกิดการอักเสบมีเลือดออกในกระเพาะอาหาร ทำให้อุจจาระสีดำเหมือนถ่าน หรือบางรายอาจอาเจียนเป็นเลือด ฉะนั้นการกินยาแก้ปวดแอสไพรินมากๆ และนานก็จะทำให้เกิดอาการปวดท้องได้

ปัจจุบันยาแก้ปวดที่โฆษณาขายกันทั่วไปได้มีส่วนผสมของตัวยาอื่นๆ ที่มีฤทธิ์ทำให้กระเพาะอาหารอักเสบ ตกเลือดในกระเพาะอาหารและกระเพาะอาหารเป็นแผลและทะลุได้ง่าย ที่โรงพยาบาลเมืองขอนแก่นเมื่อ 5-6 ปีก่อนปรากฏมีผู้ป่วยเป็นโรคแผลกระเพาะอาหารทะลุวันละคน เมื่อได้ไปกวดขันเจ้าหน้าที่อาหารและยาประจำจังหวัดให้เอาใจใส่ในการขายยาแก้ปวดอันตราย ก็ปรากฏว่าผู้ป่วยโรคกระเพาะอาหารทะลุลดจำนวนน้อยลงมาก

จึงใคร่ขอเตือนผู้ใช้ยาแก้ปวดจนเป็นนิสัยทั้งหลาย ให้ระมัดระวังยาแก้ปวดเมื่อย เมื่อรับประทานนานๆ จะหายเมื่อยจริง แต่จะกลับปวดท้องจนถึงกระเพาะทะลุได้ยาแก้ปวดเมื่อยที่ดี คือ การพักผ่อนให้เพียงพอเป็นวิธีดีที่สุด

7. ปวดท้องก่อนมีประจำเดือนและเมื่อมีประจำเดือน

สตรีบางคนโดยเฉพาะผู้ที่กำลังอยู่ในวัยสาว และวัยกลางคน มักจะบ่นเรื่องมีการปวดท้องก่อนมีประจำเดือนวันสองวัน ทั้งนี้เนื่องจากในระยะนี้ตามธรรมชาติจะปรากฏมีโลหิตมาคั่งที่บริเวณมดลูก ช่องมดลูกและรังไข่ ผู้ที่มีอารมณ์อ่อนไหวอาจทนต่อการเจ็บปวดไม่ได้จนต้องหายาแก้ปวดมากิน ส่วนที่มีอาการปวดในขณะมีประจำเดือนก็เนื่องจากการบีบตัวของมดลูก เพื่อให้เลือดระดูไหลออก บางคนจะไม่มีความรู้สึกเจ็บปวด บางคนมีอาการปวดมากจนต้องหายารับประทาน สตรีประเภทนี้เมื่อแต่งงานและมีบุตรแล้วอาการปวดประจำเดือนก็จะหายไป ยาแก้ปวดที่ดีก็คือ แอสไพริน

8. ปวดท้องเนื่องจากไม่สบอารมณ์

อาการปวดท้องเนื่องจากการไม่สบอารมณ์ อาจเกิดขึ้นได้ เด็กๆ ที่ไม่อยากไปโรงเรียน อยากจะเล่นอยู่กับบ้าน ผู้ใหญ่ที่มีอารมณ์เครียด หรือมีอะไรไม่ถูกใจ อาจจะเกิดมีอาการปวดท้อง เพื่อเรียกร้องความเห็นอกเห็นใจ หรือให้มีความเหมาะสมกับเหตุการณ์ การแก้อาการปวดท้องแบบนี้จะต้องใช้ปัญญา รู้จักสังเกตประวัติความเป็นมาและเหตุการณ์ก่อนจะมีอาการปวดท้อง การให้ยาแก้ปวดอาจจะทุเลาอาการได้บ้าง แต่การรู้จักให้ในสิ่งที่ผู้ป่วยปรารถนานั้น จะช่วยบำบัดอาการปวดแบบนี้ได้ดี

การปวดท้องที่ต้องพาไปพบแพทย์

การปวดท้องทีได้กล่าวมาแล้วนั้น เป็นอาการปวดท้องที่ท่านอาจทราบสาเหตุได้ จากประวัติเรื่องราวของท่านเอง หรือผู้ใกล้ชิดกับท่าน ที่ท่านอาจช่วยเหลือได้ แต่ถ้าภายใน 24-48 ชั่วโมง อาการไม่ดีขึ้น ท่านควรนำไปหาแพทย์ อาการที่ไม่ดีขึ้นนั้นมีอย่างไรบ้าง กล่าวคือ

1. อาการปวดนั้นทวีความรุนแรงขึ้น บางครั้งจนเหงื่อแตก

2. มีอาการอาเจียนชนิดติดต่อกันไม่หยุด

3. มีอาการเป็นลม เหงื่อแตก

4. มีอาการไข้ขึ้นสูง

5. ผู้ป่วยกระวนกระวายมาก หรือนอนซึมไม่อยากเคลื่อนไหว

การปวดท้องที่ต้องรีบพาไปพบแพทย์

1. ปวดท้องเนื่องจากแผลกระเพาะอาหารทะลุ ผู้ป่วยที่เป็นโรคแผลในกระเพาะอาหารอาจพบได้ตั้งแต่เด็กจนถึงผู้ใหญ่ที่กำลังอยู่ในวัยทำงาน แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่า ผู้อยู่ในวัยชราจะเป็นไม่ได้ ผู้เป็นโรคแบบนี้มักจะมีอาการปวดท้องเมื่อท้องว่าง หรือเมื่อหิว กินอาหารไม่เป็นเวลา บางรายอาจมีอาการปวดหลังจากกินอาหารก็ได้ แล้วอยู่มาวันหนึ่งเกิดมีอาการปวดท้อง รู้สึกเป็นลม มีเหงื่อแตกหรือไม่มีก็ได้ ถ้าดูใบหน้าจะพบหน้าซีด

บางรายมีประวัติรับประทานยาแก้ปวดติดต่อกันเป็นเวลานาน ยาแก้ปวดบางชนิดมีส่วนผสมที่เป็นตัวเร่งให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารจนแผลทะลุก็ได้ ผู้มีประวัติและอาการดังกล่าวแล้ว ไม่ควรให้อะไรรับประทานเลย แล้วท่านว่าให้พาไปหาหมอแล

2. ปวดท้องจากไส้ติ่งอักเสบ ระดับของไส้ติ่งอยู่ในเส้นที่ลากจากสะดือไปยังปุ่มกระดูกเชิงกรานด้านขวา เวลานอนหงายจะเห็นปุ่มกระดูกนี้ได้ชัด ผู้เป็นโรคนี้จะค่อยๆ เคลื่อนไหว เพราะมีอาการปวดท้องเมื่อเคลื่อนไหว ฉะนั้นใครที่มีอาการปวดท้องดิ้นทุรนทุรายไม่ใช่เป็นโรคไส้ติ่งอักเสบแน่นอน ผู้ที่มีอาการปวดท้องแล้วฟาดแข้งฟาดขาก็มิใช่เป็นโรคนี้ อาการท้องผูกก็เป็นอาการที่ต้องสังเกต ไส้ติ่งอักเสบแล้วมีท้องเดินหายากมาก อาการอาเจียนก็ไม่ค่อยมี หายาก เวลาเดินจะงอตัวเพราถ้าจะยืดตัวก็เจ็บ ผู้ใดมีอาการอย่างนี้ท่านว่า จงพาไปหาหมอแล

3. ท้องนอกมดลูกแล้วแตก สตรีที่มีท้องนอกมดลูก สาเหตุส่วนใหญ่มาจากการอักเสบของท่อรังไข่ โดยเฉพาะจากเชื้อหนองใน การอักเสบในท่อรังไข่จะทำให้ไข่ที่ผสมแล้วเดินทางเข้าสู่มดลูกได้ยาก ไข่ที่ผสมแล้วจึงไปเกาะอยู่ในท่อรังไข่ ครั้นเมื่อเจริญเติบโตใหญ่ขึ้น ท่อรังไข่รับไว้ไม่ไหวก็จะแตกมีเลือดออกในช่องท้อง นั่นคือ การแท้งที่มองไม่เห็น โลหิตจะตกออกมาจากมดลูกเหมือนการแท้งทั่วไป ผู้ป่วยจะมีอาการปวดท้อง บางครั้งอาจเป็นลมหน้าซีด มีเหงื่อแตก มือเท้าเย็น ประวัติการขาดประจำเดือนพร้อมทั้งการปวดท้องและตกโลหิตก็ควรจะเพียงพอแก่การ ต้องรีบพาไปหาหมอแล คนท้อง 100 คน จะมีท้องนอกมดลูก 1 คน

4. ปวดท้องเนื่องจากก้อนนิ่วในท่อไต ผู้ป่วยที่เป็นโรคนิ่วในไต มักจะมีอายุในวัยกลางคนไม่พบในเด็ก ก้อนนิ่วในไตนั้นอาจหลุดลงสู่ท่อไต แล้วท่อไตจะช่วยบีบให้หลุดลงมาสู่กระเพาะปัสสาวะ ระยะที่ก้อนนิ่วผ่านมายังท่อไตจะมีอาการเจ็บปวดท้องมาก บางครั้งปวดหลัง ความปวดมุ่งไปสู่หัวเหน่า หรือในชายสู่ลูกอัณฑะ ผู้ป่วยอาจปวด จนอาเจียนดิ้นกระวนกระวายผุดลุกผุดนั่ง ถ้าให้ปัสสาวะดู อาจจะพบเลือดในปัสสาวะเป็นสีแดง การตรวจดูปัสสาวะที่ถ่ายของผู้ป่วยดูซ้ำอีก ควรให้ถ่ายปัสสาวะลงในภาชนะ เพื่อตรวจหาก้อนนิ่วที่อาจหลุดมากับปัสสาวะ ไม่ควรให้ถ่ายลงในส้วม จะหาก้อนนิ่วไมได้ อาการปวดของผู้ป่วยนิ่วในท่อไตจะตรงข้ามกับผู้ป่วยไส้ติ่งอักเสบคือ ดิ้นรนผุดลุกผุดนั่ง ผู้ใดมีอาการอย่างนี้ ท่านว่าให้นำไปหาหมอแล

5. ปวดท้องจากนิ่วในถุงน้ำดี ผู้มีลักษณะอ้วน อายุเข้า 40 ปีหรือกว่า ชอบกินของมัน ถ้าเป็นสตรีมักจะมีบุตรมาแล้วหลายคน มีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอเหม็นเปรี้ยว แน่นท้องเมื่อกินอาหารอิ่มมากมักจะมีนิ่วประเภทไขมันมนกระเพาะน้ำดี จำนวนเม็ดเดียวหรือหลายสิบเม็ด วันดีคืนดีอาจจะมีอาการปวดชายโครงด้านขวา มีอาการคลื่นไส้ อาเจียนแน่นหน้าอกกินยาไล่ลมแล้วไม่หาย อาการแน่นหน้าอกกลับรุนแรง ท่านว่าเป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดี ให้รีบพาไปหาหมอแล

6. ปวดท้องจากนิ่วในไตและกระเพาะปัสสาวะ ผู้ที่มีภูมิลำเนาอยู่ในภาคเหนือและภาคอีสาน การขาดธาตุโปรตีนและเกลือแร่ หรือมีธาตุบางอย่างในอาหารโดยเฉพาะพวกผัก อาจเป็นโรคนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งจะมีอาการปวดเมื่อถ่ายปัสสาวะจะขุ่นและเป็นหนองปนออกมา ปวดบริเวณเหนือหัวเหน่า มักจะเป็นกับเด็กอายุตั้งแต่ 1-5 ขวบมีอัตราโรคสูงมาก

ผู้ที่เป็นนิ่วในไตมักจะเป็นในผู้มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป จะปรากฏเป็นนิ่วในไตข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้ อาการปวดท้องมักจะอยู่ด้านหลัง ปัสสาวะขุ่น บางครั้งมีหนองและมีเลือดด้วยก็ได้ การตรวจให้รู้แน่คือ การถ่ายเอ๊กซเรย์ โดยเฉพาะผู้ที่มาจากท้องถิ่นทางภาคอีสานหรือภาคเหนือ การรักษาท่านว่าให้ส่งให้หมอนั้นแล

7. ปวดท้องเนื่องจากฝีในตับ ผู้ป่วยที่เป็นโรคบิดชนิดเป็นมูกเลือด กลิ่นเหม็นเหมือนหัวกุ้งเน่า เมื่อเป็นระยะเวลานานเข้าเชื้อบิดอาจหลุดลอยตามกระแสเลือดดำสู่ตับ ทำให้เกิดการอักเสบเป็นหนองในตับ มีอาการปวดบริเวณชายโครงข้างขวา มีไข้ หนาวสั่น เบื่ออาหาร อาเจียน อาการถ่ายเป็นมูกเลือดไม่มีแล้ว ประเภทนี้ ท่านว่าให้นำไปหาหมอเสียแล

8. ปวดท้องเนื่องจากตับอ่อนอักเสบรุนแรง อาการปวดท้องแบบนี้อยู่เหนือสะดือ มักจะพบในผู้ป่วยที่เคยมีประวัติเป็นนักเสพสุราเป็นประจำ อาการปวดแบบนี้จะคลุมเครือไปกับสาเหตุของการปวดของแผลในกระเพาะอาหารและนิ่วในถุงน้ำดี อาการคล้ายคลึงกันมาก ท่านว่าต้องพาไปไห้หมอทำการค้นคว้าจึงจะดีมากแล

9. ปวดท้องเนื่องจากวัณโรคของต่อมน้ำเหลือง วัณโรคของต่อมน้ำเหลืองในช่องท้องและของผนังบุช่องท้อง จะทำให้เกิดอาการปวดท้องได้เหมือนกัน เป็นได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ประวัติการไอเรื้อรัง ไอมีเลือด ผอมแห้งแรงน้อย มีไข้เรื้อรัง ประวัติบิดามารดาเป็นวัณโรค ท่านว่าถ้าสงสัยจากเหตุนี้ ให้นำไปหาหมอจะดีแล

10. ปวดท้องเนื่องจากขาดยาเสพติด ในขณะปัจจุบันปรากฏว่า มีการติดยาเสพติดันเป็นจำนวนหมื่นจำนวนแสน โดยเฉพาะเด็กวันรุ่นและผู้ใหญ่รุ่นวัยฉกรรจ์ โดยเฉพาะยาเสพติดชนิดร้ายแรงอันดับหนึ่งคือ เฮโรอีน จะมีอาการปวดท้องทุรนทุราย ความพยายามที่จะถามเกี่ยวกับประวัติของการเสพยาเสพติดประเภทนี้ จะช่วยคลี่คลายให้ทราบถึงสาเหตุของอาการปวดท้อง ท่านว่าเห็นควรนำไปหาหมอจะดีแล

การแบ่งตำแหน่งของช่องท้องกับโรคที่พบได้บ่อยเมื่อมีอาการปวดท้องหรือคลำได้ก้อนในท้อง

 

1. บริเวณชายโครงขวา มีอวัยวะที่สำคัญคือ ตับ ถุงน้ำดี หากพบก้อนหรือมีอาการปวด หรือกดเจ็บบริเวณนี้ อาจร่วมกับอาการตาเหลือง ตัวเหลือง ก็พึงนึกถึงโรคของตับ หรือถุงน้ำดี เช่น ตับอักเสบ ฝีในตับ ถุงน้ำดีอักเสบ โรคมะเร็งในตับ โรคพยาธิใบไม้ในตับ ฯลฯ

2. บริเวณใต้ลิ้นปี่ มีอวัยวะที่สำคัญคือ กระเพาะอาหาร ตับอ่อน ถ้าอาการปวดในบริเวณนี้ ปวดเป็นประจำเวลาหิวจัดหรืออิ่มจัด น่าจะเป็นโรคแผลในกระเพาะ ถ้าเป็นรุนแรงติดต่อกันนานเกิน 6 ชั่วโมง น่าจะลึกถึงโรคกระเพาะอาหารทะลุ (โดยเฉพาะผู้ที่กินยาแก้ปวดอยู่เป็นประจำ) ตับอ่อนอักเสบ (โดยเฉพาะพวกที่ดื่มเหล้าจัด) หากคลำได้ก้อน พึงนึกถึงโรคมะเร็งในกระเพาะ

3. บริเวณชายโครงซ้าย มีอวัยวะที่สำคัญคือ ม้าม หากคลำพบก้อนในบริเวณนี้ แสดงว่ามีอาการม้ามโต พบได้ในโรคมาลาเรีย ทัยฟอยด์ โรคเลือด (เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาวหรือลิวคีเมีย โรคธาลัสซีเมีย)

4. บริเวณสะเอวข้างขวา มีอวัยวะที่สำคัญคือ ท่อไต ตัวไต ลำไส้ใหญ่ ถ้ามีอาการปวดบิดรุนแรงร้าวลงมาที่ต้นขา ก็น่าเป็นโรคนิ่วในท่อไต ถ้ามีอาการปวดหรือกดเจ็บร่วมกับปวดหลัง ไข้สูง หนาวสั่น ปัสสาวะขุ่น พึงนึกถึงโรคไตอักเสบ ถ้าคลำได้ก้อน อาจเป็นก้อนของไต ลำไส้ใหญ่ (โรคมะเร็งในลำไส้ใหญ่) หรือก้อนอุจจาระเนื่องจากท้องผูก

5. บริเวณรอบๆ สะดือ มีอวัยวะที่สำคัญคือ ลำไส้เล็ก อาการปวดในบริเวณนี้ พบในโรคท้องร่วง ไส้ติ่งอักเสบในระยะเริ่มแรก (ก่อนจะย้ายมาปวดที่ท้องน้อยข้างขวา)

6. บริเวณสะเอวข้างซ้าย มีอวัยวะและโรคที่พบได้ เช่นเดียวกับบริเวณสะเอวข้างขวา

7. บริเวณท้องน้อยข้างขวา มีอวัยวะที่สำคัญคือ ไส้ติ่ง ท่อไต ปีกมดลูก ถ้าพบมีอาการปวดบิดเป็นพัก และร้าวมาที่ต้นขา น่าจะเป็นโรคนิ่วในท่อไต ถ้าพบมีอาการปวดเสียดตลอดเวลาและกดถูกจะเจ็บมาก พึงนึกถึงโรคไส้ติ่งอักเสบ ถ้าพบว่ามีอาการปวดร่วมไข้สูงหนาวสั่น หรือตกขาวในผู้หญิงพึงนึกถึงปีกมดลูกอักเสบอีกโรคหนึ่งด้วย หากคลำได้ก้อนอาจเป็นก้อนของไส้ติ่งอักเสบ หรือรังไข่ที่ผิดปกติก็ได้

8. บริเวณท้องน้อย มีอวัยวะที่สำคัญคือ กระเพาะปัสสาวะ มดลูก (ในผู้หญิง) หากพบมีอาการปวดบิดเป็นพักๆ เวลามีประจำเดือน ก็น่าจะเป็นอาการปวดประจำเดือน (ถ้าเป็นเรื้อรังในหญิงที่แต่งงานแล้วไม่มีบุตร ควรนึกถึงเนื้องอกในมดลูกด้วย) ถ้าปวดเวลาปัสสาวะก็น่าจะเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ หรือนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ

9. บริเวณท้องน้อยข้างซ้าย มีอวัยวะที่สำคัญคือ ท่อไต และปีกมดลูก อาการปวดในบริเวณนี้พบในโรคนิ่วในท่อไต กับปีกมดลูกอักเสบ

ข้อมูลสื่อ

1-006-03
นิตยสารหมอชาวบ้าน 1
พฤษภาคม 2522
โรคน่ารู้
นพ.เสม พริ้งพวงแก้ว