• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

มารู้เรื่องยาคุม

มารู้เรื่องยาคุม

“ดิฉันเพิ่งจะแต่งงาน ยังไม่พร้อมจะมีลูก จะกินยาคุมอย่างไหนดีคะ”

“อุ๊ยตายแล้ว...ลืมกินยาคุมไปวันหนึ่งจะทำอย่างไรดี”

“ผลเสียจากการกินยาคุมกำเนิดมีหรือเปล่าคะหมอ”

“ซื้อยาคุมกำเนิดมากินเองจะได้ไหมคะ” ฯลฯ

คงมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องยาคุมอีกมากมายสำหรับคุณผู้หญิงทั้งหลาย เพื่อให้คลายความสงสัย (จนอาจเครียด) เรื่องน่ารู้’ ‘ฉบับนี้จะขอพาท่านไปพบกับศาสตราจารย์นายแพทย์สุพร เกิดสว่าง หัวหน้าหน่วยวิจัยการวางแผนครอบครัว ภาควิชาสูติศาสตร์นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ในเรื่อง ‘มารู้เรื่องยาคุม’ เพื่อจะได้ทราบเกี่ยวกับเรื่องยาคุมกำเนิดว่ามีชนิดใดบ้าง และควรใช้อย่างไร

⇒  ยาคุมกำเนิด มีกี่ชนิด อะไรบ้าง
มี 3 ชนิด คือ
1. ยาชนิดรวม
2. ยาชนิดเดี่ยว ขนาดต่ำ
3. ยาชนิดใช้หลังร่วมเพศ

 

⇒ แต่ละชนิดมีคุณสมบัติอย่างไร
1. ยาชนิดรวม ในแต่ละเม็ดมีฮอร์โมน 2 ชนิด รวมกันคือเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน ฮอร์โมนทั้ง 2 ชนิดนี้ มีฤทธิ์ยับยั้งการตกไข่ในผู้หญิง เมื่อไม่มีไข่ตกแม้จะมีการร่วมเพศก็ไม่ตั้งครรภ์
ยาชนิดรวมนี้ยังแบ่งย่อยเป็น 2 ชนิด คือ

ก. ชนิดที่มีปริมาณฮอร์โมนในยาแต่ละเม็ดเท่ากันหมด คือถ้าเป็นประเภทที่บรรจุแผงละ 21 เม็ด มีตัวยาและขนาดยาเหมือนกันหมดนั้นเอง ชนิดนี้มีใช้กันมากที่สุดในขณะนี้ มีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดสูง

ข. ชนิดที่มีปริมาณฮอร์โมนในยาไม่เท่ากัน เมื่อผู้ใช้กินยานี้ตามลำดับเม็ดที่ระบุบนแผง หรือตามที่แพทย์แนะนำ ปริมาณฮอร์โมนของยาที่ได้รับจะคล้ายคลึงกับระดับของฮอร์โมนในรอบประจำเดือนตามธรรมชาติ เหตุที่มีการคิดค้นยาชนิดนี้ขึ้นมาใช้ก็เพื่อลดผลข้างเคียงที่พบในยาชนิด ก. (จริงๆพบไม่มาก) ให้เกิดน้อยที่สุด เนื่องจากเป็นยาสูตรใหม่ จึงยังไม่แพร่หลายและราคาแพงกว่าชนิดแรก

2. ยาชนิดเดี่ยวขนาดต่ำ ชนิดนี้ในเม็ดยาแต่ละเม็ดมีฮอร์โมน (ตัวยา) อยู่เพียงชนิดเดียว คือโปรเจสเตอโรน และมีปริมาณน้อยกว่าที่มีในยาชนิดที่ 1 ข้างต้นด้วย มีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดน้อยกว่าชนิดที่ 1

3. ยาชนิดที่ใช้หลังร่วมเพศ ชนิดนี้จัดว่าเป็นชนิดใหม่ล่าสุด เป็นยาที่มีฮอร์โมนชนิดเดียว คือ โปรเจสเตอโรนชนิดลีโวนอเจสเตรล ปริมาณของตัวยานี้เท่ากับ 750 ไมโครกรัม ใช้กินภายหลังการร่วมเพศไม่เกิน 3 ชม. (ร่วมครั้งเดียวนะครับ) ถ้าร่วมเพศมากกว่า 1 ครั้งในคืนนั้นก็ต้องกินยาเพิ่มอีก 1 เม็ด ภายใน 12 ชม.หลังการร่วมเพศครั้งแรกสุด

 

⇒ แต่ละชนิดมีวิธีการและข้อบ่งชี้ในการใช้อย่างไร
ยาชนิดรวม
ให้กินตามคำแนะนำที่ระบุไว้บนแผงยา หรือเริ่มกินระหว่างวันที่ 1-5 ของรอบเดือน (วันแรกคือวันที่ระดูมา) ถ้าเป็นยาที่มี 21 เม็ด เมื่อกินครบแล้วต้องหยุด รอให้มีประจำเดือนแล้วเริ่มกินชุดใหม่ในวันที่ 5 ของรอบเดือนใหม่ แต่ถ้าเป็นชนิดที่มี 28 เม็ด ก็กินแต่ละชุดติดต่อกันไปเลย การกินต้องกินเรียงเม็ดตามลำดับที่ลูกศรบนแผงชี้และประจำเดือนจะมาระหว่างกินยาเจ็ดเม็ดสุดท้าย ส่วนใหญ่ก็ใช้ในผู้หญิงทั่วไปที่ต้องการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด

ยาชนิดเดี่ยวขนาดต่ำ ใช้วิธีกินติดต่อกันไปเลยโดยไม่มีวันหยุด ยานี้เหมาะสำหรับหญิงระหว่างให้นมบุตร ทั้งนี้เพราะยาชนิดนี้มีแต่โปรเจสเตอโรน ซึ่งไม่มีผลลดการหลั่งน้ำนมของแม่ และใช้ในหญิงที่มีอาการแพ้เอสโตรเจน เช่น มีอาการคลื่นไส้ อาเจียนอย่างรุนแรง เป็นต้น เนื่องจากประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดด้อยกว่ายาชนิดรวม จึงไม่เหมาะสำหรับคนส่วนใหญ่ที่ไม่มีปัญหา 2 ข้อที่กล่าวมาแล้ว
ยาชนิดที่ใช้หลังร่วมเพศ เนื่องจากเป็นยาที่ยังใหม่มาก ผลการพิสูจน์เกี่ยวกับประสิทธิภาพ และผลข้างเคียงยังมีน้อยจึงไม่แนะนำให้ใช้ในคนทั่วไป

 

⇒ สำหรับยาชนิดรวม ฤทธิ์ในการคุมกำเนิดจะปรากฏเมื่อใด หลังจากเริ่มใช้ยา
ประเด็นนี้ขึ้นอยู่กับระยะหรือช่วงเวลาที่เริ่มกินยา ถ้าเริ่มกินในระยะ 5 วันแรกของรอบเดือน ฤทธิ์ในการคุมกำเนิดก็ปรากฏทันที แต่ถ้าเริ่มกินหลังวันที่ 5 ไปแล้ว คงต้องเผื่อเวลาไว้ประมาณ 5-7 วัน กว่าที่จะปรากฏฤทธิ์คุมกำเนิด เพราะฉะนั้นในช่วงที่รอผลก็ต้องงดการร่วมเพศ หรือต้องใช้ถุงยางอนามัยไปก่อน

 

⇒ ถ้าต้องการจะเปลี่ยนจากยาฉีดมาใช้ยาเม็ด ควรจะเริ่มเมื่อใด
ควรเริ่มเมื่อครบกำหนด 3 เดือนหลังฉีดยา หรือจะเริ่มก่อนก็ได้ แต่ไม่จำเป็น ถ้าเป็นผู้ที่ประจำเดือนไม่มาเลยในระหว่างใช้ยาฉีดคุมกำเนิด ก็ควรตรวจให้แน่ใจว่าไม่ได้ตั้งครรภ์ แล้วค่อยเริ่มกินยาเม็ด

 

⇒ ปัญหาที่เกิดจากการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดมีอะไรบ้าง
ข้อแรก น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น จากการศึกษาของหน่วยงานวางแผนครอบครัว โรงพยาบาลศิริราช พบประมาณร้อยละ 60 ของผู้ที่ใช้ยาทั้งหมด มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นและน้ำหนักจะเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยประมาณ 2.5 กิโลกรัม อธิบายได้ว่าเกิดจากฤทธิ์ของโปรเจสเตอโรนที่ไปช่วยให้มีการกินอาหารได้มากขึ้น มีการเสริมสร้างของร่างกายมากขึ้น

ข้อสอง คือฝ้า โดยเฉพาะบนใบหน้า อันนี้พบได้ราวร้อยละ 10-20 ของคนที่กินยาทั้งหมด ซึ่งพวกที่มีฝ้านี้ส่วนใหญ่มีไม่มาก และเมื่อหยุดยาฝ้าก็ค่อยๆหายไป เรามักแนะนำให้พยายามหลบแดดเพื่อลดการเกิดฝ้า สาเหตุที่มีฝ้าเกิดขึ้นก็เนื่องจากตัวยากระตุ้นเซลล์สร้างสีของผิวหนังให้ทำงานมากขึ้น เช่นเดียวกับในคนตั้งครรภ์แล้วเกิดฝ้า

ข้อสาม อาการคลื่นไส้ มักเกิดในระยะ 1-3 เดือนแรกที่เริ่มใช้ยาแล้วก็หายไปเอง มีบางคนที่มีความไวต่อยาเป็นพิเศษ จึงมีอาการคลื่นไส้มากและไม่ลดลงแม้จะใช้ยาไปนานๆ แต่พบน้อย พวกนี้คงต้องเปลี่ยนไปใช้ยาชนิดเดี่ยว ขนาดต่ำหรือใช้วิธีคุมกำเนิดแบบอื่นแทน

ข้อสี่ มีเลือดออกกะปริดกะปรอยทางช่องคลอดในระหว่างที่ใช้ยา ภาวะนี้เกิดจากปริมาณยาในกระแสเลือดต่ำเกินไป อย่างไรก็ตาม การเกิดภาวะนี้ไม่มีอันตรายแต่อย่างใดและหยุดได้เอง หรือถ้าไม่หยุดเองก็แก้ไขได้ โดยเปลี่ยนไปใช้ยาที่มีปริมาณฮอร์โมนมากขึ้น

 

⇒ เมื่อกินยาครบ 21 เม็ด หรือ 28 เม็ดบนแผงแล้ว ปรากฏว่าระดูไม่มา สาเหตุเกิดจากอะไร ควรทำอย่างไร
อาการนี้อาจเกิดได้นานๆครั้ง มักจะพบเมื่อใช้ยาที่มีขนาดน้อย ถ้าเกิดนานๆครั้ง ก็ไม่ต้องทำอะไร ถ้าเป็นยาชนิด 28 เม็ด ก็กินยาต่อไปตามธรรมดา แต่ถ้าเป็นยาชนิด 21 เม็ด เมื่อรออยู่จนถึง 7 วันหลังจากหมดยาชุดสุดท้ายแล้ว ประจำเดือนยังไม่มา ให้กินยาชุดใหม่ต่อเลยโดยไม่ต้องรอต่อไป

 

⇒ถ้าลืมกินยา จะเกิดผลเสียอย่างไร ควรทำอย่างไร
หากลืมกินยาไม่เกิน 2-3 เม็ดมักไม่มีผลเสียต่อการคุมกำเนิด แต่ถ้ามากกว่านั้นและเผอิญมีการร่วมเพศในระหว่างที่ลืมกินยาด้วย ก็อาจตั้งครรภ์ได้
กรณีที่ลืมกินเพียง 1-3 เม็ดก็ให้กินทันทีที่นึกได้ โดยไม่ต้องกินเพิ่ม 2 เม็ดในวันถัดไปที่นึกขึ้นได้
กรณีที่ลืมกินมากกว่า 3 เม็ด และมีการร่วมเพศด้วย ระหว่างนั้นก็คงต้องหยุดยา งดการร่วมเพศ และรอจนกว่าระดูจะมา จึงค่อยเริ่มกินยาเม็ดต่อไป ระยะเวลาที่ระดูจะมาเมื่อลืมกินยาประมาณ 1-2 วัน แต่ถ้าเลย 7 วันไปแล้วระดูยังไม่มา ควรไปตรวจว่าตั้งครรภ์หรือไม่ ถ้าตรวจแล้วพบว่าไม่ตั้งครรภ์ ก็ให้กินยาต่อไปได้เลย

 

⇒ผู้หญิงกลุ่มใดที่สามารถใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดได้อย่างปลอดภัย
หญิงที่อายุไม่เกิน 40 ปี ไม่สูบบุหรี่ และไม่มีโรคต่อไปนี้ เบาหวาน ความดันเลือดสูง เส้นเลือดตีบตัน โรคตับ มะเร็ง โรคอ้วน และโรคหัวใจ

 

⇒ การกินยาเม็ดคุมกำเนิดติดต่อกันนานๆจะมีผลเสียหรือไม่
ไม่มี ยกเว้นคนที่ไม่เหมาะสมจะใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดอยู่แล้ว

 

⇒หญิงที่มีก้อนในเต้านม จะใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดได้หรือไม่
ถ้าไม่ใช่มะเร็งก็ใช้ได้ แต่ให้ดีที่สุดคือ ควรเอาก้อนในเต้านมออก และส่งชิ้นเนื้อตรวจดูให้แน่ๆเลยว่าเป็นเนื้องอกธรรมดาหรือมะเร็ง ก่อนจะเริ่มใช้ยาคุมทั้งชนิดเม็ดและชนิดฉีด

 

⇒ ผลพลอยได้ในทางที่ดีจากการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดมีหรือไม่ อะไรบ้าง
มีครับ คนที่กินยาคุมกำเนิดจะปรากฏว่า ระดูมาสม่ำเสมอ ตรงเวลา (คือมาหลังกินยาเม็ดครั้งสุดท้ายกรณีที่กิน ชนิด 21 เม็ด หรือหลังจากเม็ดที่ 21 ในกรณีที่ใช้ชนิด 28 เม็ด) นอกจากระดูมาสม่ำเสมอแล้วยังมาน้อยอีกด้วย อันนี้ทำให้ประหยัดค่าผ้าอนามัย

ที่สำคัญคือ คนที่เป็นโรคปวดระดูชนิดปฐมภูมิ จะได้ประโยชน์มากเพราะจะหายปวดเลย เท่ากับรักษาไปในตัว อันที่จริงคนที่เป็นโรคนี้หมอก็รักษาด้วยยาเม็ดคุมกำเนิดนี่แหละ นอกจากนั้น ยังพบผลดีของยาคุมกำเนิดอีกหลายอย่าง เช่น ลดอัตราการเกิดเนื้องอกของรังไข่ เป็นต้น (ดูรายละเอียดเรื่องปวดประจำเดือน ในหมอชาวบ้าน ฉบับที่ 83 เดือนมีนาคม 2529)

 

⇒อาจารย์มีความเห็นอย่างไรถ้าคนทั่วๆไปจะซื้อยาเม็ดคุมกำเนิดใช้เอง โดยไม่ปรึกษาแพทย์ หรือบุคลากรทางการแพทย์
ความจริงถ้าเราไม่มีโรคอะไรที่เป็นข้อห้ามของการกินยานี้ ก็น่าจะซื้อกินเองได้ แต่เราจะทราบได้แน่นอนอย่างไรว่าเราไม่มีโรคเหล่านั้น ทางที่ดีผมจึงคิดว่า ก่อนกินยาถ้าได้ไปตรวจที่ศูนย์บริการทางการแพทย์สักครั้งก่อนก็จะปลอดภัยขึ้น นอกจากนั้นศูนย์บริการทางการแพทย์ต่างๆของรัฐก็ให้บริการคุมกำเนิดฟรีในราคาถูกมาก จึงเป็นการประหยัดและปลอดภัยด้วย
เมื่อได้อ่านเรื่องยาคุมกำเนิดที่คุณหมอสุพรกล่าวถึงนี้แล้ว ท่านผู้อ่านที่สงสัยเรื่องยาคุมกำเนิดคงสบายใจขึ้นใช่ไหมครับ

การใช้ยาคุมเป็นวิธีหนึ่งในการคุมกำเนิด เราอาจใช้วิธีกำหนดระยะเวลาในการร่วมเพศ ใช้ถุงยางอนามัย ห่วงอนามัย หรือวิธีอื่นๆ รวมทั้งวิธีล่าสุดที่มีคนเสนอ คือวิธีคุมกำหนัด วิธีสุดท้ายนี้ ปะเหมาะเคราะห์ดีคุมสำเร็จ หลุดพ้นก็นิพพานสุโขไปเลยใช่ไหมครับ

 

ข้อมูลสื่อ

85-004
นิตยสารหมอชาวบ้าน 85
พฤษภาคม 2529
เรื่องน่ารู้
ศ.นพ.สุพร เกิดสว่าง