• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

อาการคัน

อาการคัน
 

พูดถึงอาการคันเชื่อแน่ว่าทุกคนเคยเป็นกันมาแล้วทั้งนั้น
บางคนเพราะโดนมดกัด ยุงกัด หรือพวกหิดเหาและแมลงอื่นๆ ล้วนแต่ทำให้เกิดอาการคันได้ทั้งสิ้น และจะมีอาการคันมากน้อยแตกต่างกันไป บางคนก็รู้สึกคันอยู่ตลอดเวลาโดยไม่ทราบสาเหตุ และหาตำแหน่งที่จะเกายังไม่เจอ ได้แต่บอกว่า คันๆ ๆ ๆ
อาการคันเกิดจากหลายสาเหตุ ที่เกิดจากการถูกแมลงกัดต่อยหรือถูกต้นไม้ใบหญ้าแล้วมีอาการคัน อาจถือว่าเป็นอาการคันธรรมดาที่ไม่ร้ายแรงอะไร พอทายาแก้คันแล้วก็จะหาย แต่อาการคันที่มีสาเหตุมาจากโรคภายในเป็นเรื่องที่จะต้องเอาใจใส่กันเป็นพิเศษ

สำหรับคอลัมน์ “โรคน่ารู้” แพทย์หญิงเรณู โคตรจรัส ผู้เชี่ยวชาญพิเศษทางตจวิทยา และผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง ได้อธิบายบอกถึงที่มีมาของอาการคันจากสาเหตุต่างๆ เมื่อเป็นขึ้นมาแล้วเราจะดูแลรักษาตัวเองอย่างไร หรือมีอาการอย่างไร จึงจะต้องไปพบแพทย์
คุณผู้อ่านจะได้รับความรู้และความเข้าใจอย่างละเอียดทีเดียวค่ะ

⇒  อยากให้คุณหมอให้คำจำกัดความของ “อาการคัน”
มีผู้ให้คำนิยามไว้ว่า คัน คือความรู้สึกระคายเคืองที่ผิวหนัง ทำให้อยากจะเกา ความรู้สึกนี้เกิดจากการกระตุ้นปลายประสาทที่ส่วนต่อระหว่างชั้นนอกของผิวหนังกับผิวหนัง ที่ผิวหนังเองและส่วนเยื่อเมือกบริเวณขาหนีบ ใบหู และรูจมูก เป็นบริเวณที่รู้สึกคันมากกว่าบริเวณอื่นๆ


⇒ อาการคันเกิดขึ้นได้อย่างไร
กลไกที่ทำให้เกิดอาการคันมีหลายอย่าง คือ
1. มีสิ่งกระตุ้นที่ประสาทส่วนปลายหรือส่วนกลาง การกระตุ้นที่ประสาทส่วนปลายนั้น เกิดได้จากสิ่งกระตุ้นทั้งภายนอกหรือภายในร่างกาย

สิ่งกระตุ้นภายนอกร่างกายที่สำคัญๆก็มีอยู่ 4 ชนิด ได้แก่
ตัวกระตุ้นทางกายภาพ เช่น แรงกดที่น้อยๆ หรือความดันลบ และการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิหรือความชื้น
ตัวกระตุ้นทางไฟฟ้า มักเป็นสิ่งกระตุ้นที่ต่ำกว่าหรือน้อยกว่าที่จะทำให้รู้สึกเจ็บ
ตัวกระตุ้นทางเคมี เช่น ฮิสตามีน โปรตีเนส ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ย่อยโปรตีนชนิดต่างๆ รวมทั้งพวกกรดหรือด่าง
พวกสิ่งแปลกปลอมต่างๆ เช่น ตัวไรจากนกหรือไก่ หิด เหา สารสกัดจากพืช ยางต้นไม้ ขนสัตว์ชนิดต่างๆ หนามกระบองเพชร และใยแก้วที่ใช้ในอุตสาหกรรมบางชนิด เป็นต้น

สิ่งกระตุ้นภายในร่างกายที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาโดยตรงต่อปลายประสาทที่ผิวหนัง ได้แก่ ฮิสตามีน เอนไซม์ที่ย่อยโปรตีน หรือยาบางชนิด วิตามินบีหนึ่ง และการที่อวัยวะขาดเลือดไปเลี้ยง นอกจากนี้ยังมีปฏิกิริยาที่หลอดเลือด โดยเฉพาะการขยายตัวของหลอดเลือดจากการอักเสบ หรืออาการคันที่ผิวหนังอันเนื่องมาจากโรคผิวหนังสิ่งกระตุ้นจากสมอง ได้แก่ ความกังวล ความตื่นเต้นตกใจ ความเครียด หรือการใช้ยาจำพวกมอร์ฟีน โคเคน เป็นต้น

2. มีสิ่งกระตุ้นที่ปลายประสาทรับความรู้สึกคันบริเวณที่ประสาทเส้นนี้หล่ออยู่ และทำให้อยากเกาขึ้นมา นี่คือเหตุผลที่บางคนบอกว่า ถ้าคันแล้วจะอดไม่ได้ ทนไม่ไหว ต้องเกา เมื่อได้เกาแล้วจะรู้สึกสบายหายคัน ถ้าไม่ให้เกาจะมีอาการจมูกขยุกขยิก ริมฝีปากเม้ม ขาแขนถูกัน เป็นต้น


⇒ สาเหตุของอาการคันมีอะไรบ้าง
เนื่องจากอาการคันเป็นอาการที่เกี่ยวกับทางจิตใจด้วย ผู้ป่วยบางคนอาจจะบอกว่า คันมากหรือบางคนอาจจะคันน้อย อาการคันอาจพบได้ในโรคหลายชนิด จึงอาจจำแนกสาเหตุของอาการคันได้ง่ายๆ เป็น 2 ชนิด คือ
1. อาการคันซึ่งเกิดจากโรคผิว ผิวหนังเอง เช่น ผด ลมพิษ ผื่นจากการแพ้ยา ฯลฯ
2. อาการคันที่มีสาเหตุมาจากโรคภายใน เช่น โรคตับ มะเร็งของอวัยวะภายในหรือโรคเบาหวาน ซึ่งมักจะคันบริเวณซอกขาที่ชื้น มักจะมีเชื้อราร่วมด้วย


⇒ ลักษณะของรอยเกาหรืออาการคันจากสาเหตุที่กล่าวมาแล้ว มีข้อแตกต่างกันอย่างไร
ข้อนี้จะต้องตรวจร่างกายของคนที่มีอาการคัน พยายามตรวจดูและเสาะหาการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ของผิวหนังที่อาจจะเกิดร่วมกับอาการคัน ได้แก่
ลักษณะของรอยเกา ถ้าเป็นสะเก็ดเลือดออกเป็นจุดๆ พบในผู้ป่วยที่เป็นผื่นคันเนื่องจากสิว (Papular urticaria) หิด และเมื่อหายจะมีแผลเป็นชนิดรอยบุ๋ม และมีสีคล้ำด้วย
ถ้าเป็นสะเก็ดเลือดออกเป็นแนวยาว จะพบในโรคหิด เหา โรคคันในคนตั้งครรภ์ โรคของตับ โรคของไต โรคมะเร็งของอวัยวะภายใน เป็นต้น

ตำแหน่งของรอยเกาก็มีความสำคัญเช่น รอยเกาเป็นทางยาวที่ด้านหลังของต้นคอและส่วนบนของหลัง เป็นอาการแสดงออกของโรคเหาลักษณะที่พบร่วมกับการเกาในโรคต่อมน้ำเหลืองอักเสบเรื้อรัง (Hodgkin) มักจะมีต่อมน้ำเหลืองโตร่วมด้วย ส่วนผิวหนังหนาด้านพบในโรคผิวหนังที่มีอาการอักเสบอย่างเฉียบพลัน (Eczema) ชนิดเรื้อรังรอยขีดเป็นแนว เกิดจากการเกาเบาๆ หรือกดเบาๆ เป็นแนวที่ผิวหนังทำให้หลอดเลือดหดตัว อันนี้พบได้ในคนปกติ

รอยแดงเป็นแนว เกิดจากการกระตุ้นหรือกดที่แรงขึ้น ทำให้หลอดเลือดขยายตัว อันนี้ก็พบได้ในคนปกติเช่นกันส่วนรอยเกาที่เป็นปื้นนูน บวมเล็กน้อย ซึ่งเกิดหลังจากการเกา มักจะเป็นอาการแสดงของโรค เช่น ลมพิษเรื้อรัง ผิวหนังแห้ง คัน พบในคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ที่เกิดร่วมกับทางเดินหายใจ (Atopic dermatitis) ต่อมธัยรอยด์ทำงานน้อย ผิวหนังคนสูงอายุในหน้าหนาว และผู้ที่ใช้สบู่และน้ำมากเกินไป
คนสูงอายุที่มีตุ่มน้ำพองเหมือนน้ำร้อนลวกร่วมกับอาการคัน หรือคันทั่วตัวตลอดเวลาเป็นระยะยาวนาน อาจจะเกิดร่วมกับโรคมะเร็งของอวัยวะภายใน
คนที่เป็นหิดบางคน โดยเฉพาะในผู้ชายที่รักษาความสะอาดและอยู่ในสังคมชั้นสูง จะมีร่องรอยของโรคในที่ลับบ่อยกว่าที่ง่ามนิ้วมือซึ่งพบโดยปกติในบรรยากาศที่มีความร้อนและความชื้นสูง อาการคันก็มักจะเกิดร่วมกับการอุดตันของท่อต่อมเหงื่อ ทำให้เป็นผดคัน

สำหรับผู้สูงอายุ ถ้าหากไม่พบร่องรอยที่ผิวหนังร่วมกับอาการคันจะต้องนึกถึงโรคภายในร่างกายที่พบบ่อยๆได้แก่
1. โรคดีซ่าน อาการคันนี้อาจจะเกิดก่อนอาการของโรคดีซ่านนานเป็นเดือนหรือเป็นปี
2. ต่อมธัยรอยด์เป็นพิษ มักจะมีอาการคัน ร่วมอยู่ด้วยประมาณร้อยละ 10
3. ต่อมธัยรอยด์ทำงานน้อย จะมีอาการคันเนื่องจากผิวแห้ง
4. โรคเบาหวานและภาวะการทำงานของไตล้มเหลว มีรายงานว่ามีอาการคันทั่วร่างกายร่วมด้วย
5. การแพ้ยาที่ไม่ปรากฏผื่นคัน<บนผิวหนัง ได้แก่ ยาจำพวกฝิ่น เหล้า และแอมเฟตามีน
6. โรคพยาธิต่างๆ เช่น พยาธิไส้เดือน พยาธิปากขอ หรือตัวจี๊ด มักมีอาการคันร่วม
7. มะเร็งเม็ดเลือดขาว และมะเร็งของอวัยวะภายใน จะพบอาการคันได้
8. สาเหตุทางจิตใจ จะทำให้มีอาการคันตลอดเวลา


⇒วิธีดูแลรักษาเมื่อเกิดอาการคัน ควรจะปฏิบัติอย่างไรบ้าง
โดยทั่วไปเมื่อเกิดอาการคันขึ้นมา ผู้ป่วยมักจะระงับอาการคันโดยการเกาแรงๆจนเจ็บหรือผิวหนังถลอก ก็ช่วยระงับอาการคันไปได้ชั่วคราว แต่จะทำให้ผิวหนังอักเสบและคันมากขึ้น หลังจากนั้น 5 นาที เพราะฉะนั้นจะต้องจำไว้เลยว่า เมื่อเกิดอาการคันอย่าไปเกา

ขั้นแรกจะต้องหาสาเหตุของอาการคัน ขจัดพวกสิ่งรบกวนหรือสิ่งกระตุ้นทั้งหลาย การขจัดสิ่งกระตุ้นทั้งหลายนั้นทำไม่ยาก อย่างเช่นหน้าหนาว อากาศเย็นลงและมีความชื้นน้อย จะทำให้ผิวหนังแห้งและแตกออกมาเป็นขุย ทำให้เราไม่ชอบ สัญชาตญาณของมนุษย์ก็อยากจะเอาขุยออก ก็โดยการเกา พอยิ่งเกาก็ยิ่งคัน ดังนั้นอย่าไปเกา ควรหาพวกครีมหรือโลชั่นทากันผิวแตก หรือพวกน้ำมันพืช เช่นน้ำมันมะพร้าว หรือน้ำมันมะกอก งดผิงไฟในหน้าหนาว ไม่ควรอาบน้ำร้อน

ในหน้าหนาวควรจะอาบน้ำให้น้อยครั้ง ใช้สบู่วันละครั้งก็พอ ถ้าเหงื่อไม่ออกมาก การอาบน้ำและใช้สบู่บ่อยๆ จะทำให้ผิวแห้งและบางครั้งเกิดอาการคันอีกอย่างหนึ่งในหน้าหนาวดอกไม้บานสะพรั่ง สวย และเกสรดอกไม้ก็ปลิวว่อนด้วย บางคนก็แพ้ละอองเกสรพวกนี้ ทำให้เกิดอาการคัน มีการสำรวจพบว่า เกสรของดอกต้นกระถินณรงค์ มีคนแพ้กันเยอะ ถ้าแน่ใจว่าแพ้สิ่งเหล่านี้ก็กินยาแก้แพ้พวกยาต้านฮิสตามีนถ้าเกิดอาการคันจากสิ่งรอบๆ เช่น หิด เหา ก็กำจัดเสีย
สำหรับสิ่งกระตุ้นที่เป็นสารเคมีโดยเฉพาะโปรตีเนส ซึ่งเกิดจากการทำลายของผิวหนังนั้น ใช้ยาจำพวกคอร์ติโคสตีรอยด์จะได้ผลดี

บางคนที่มีอาการคันตลอดเวลาด้วยสาเหตุทางจิตใจ ควรใช้ยากล่อมประสาทหรือยานอนหลับจะได้ผลดีสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการคันรุนแรง เช่น บางคนที่แพ้ยาแอสไพรินที่คันจนขนหัวลุก ควรจะไปพบแพทย์ หรือผู้ป่วยที่มีอาการคันรุนแรงและคันติดต่อกันเป็นเวลานาน โดยไม่ทราบสาเหตุ หรือหาสิ่งรบกวนไม่พบ อย่างนี้ก็ต้องไปปรึกษาแพทย์

สิ่งสำคัญที่จะต้องจำใจอย่างยิ่งก็คือ ห้ามเกาเมื่อเกิดอาการคัน จะทำให้ยิ่งคันมากขึ้น

 ⇒ ผดผื่นคัน
ยาทาแก้ผดผื่นคัน คาลาไมน์ โลชั่น
วิธีใช้   :
เขย่าขวดก่อนใช้ ใช้ทาบริเวณที่มีอาการคัน ผดผื่น หลังอาบน้ำเช้า-เย็น


⇒ กลาก น้ำกัดเท้า
ยาที่ควรใช้ : ยารักษากลาก วิทฟิลด์ ออยท์เม้นท์
วิธีใช้  : ใช้ทาบริเวณที่เป็นกลาก วันละ 2-3 ครั้ง
ข้อควรระวัง : ถ้าเกิดอาการระคายเคืองต่อผิวหนัง ให้หยุดใช้ยา


⇒ เกลื้อน
ยาที่ควรใช้ :
ผงโซเดียมไธโอซัลเฟต หรือ ไฮโป หรือ น้ำยาล้างรูปชนิดเกล็ด
วิธีใช้  : ประมาณ 2 ช้อนชาพูนใส่ในขวดขนาด 60 มิลลิลิตร ต้องเตรียมสดๆ ขณะที่ต้องการใช้โดยเติมน้ำลงจนเกือบเต็มขวดและเขย่าจนผงยาละลายน้ำหมด (20%) ใช้ทาบางๆ บริเวณที่เป็นเช้า-เย็น ทาติดต่อกันไม่ต่ำกว่า 10-15 วัน
ข้อควรระวัง   :  เมื่อผสมน้ำควรใช้ให้หมดภายใน 5 วัน


⇒โรคหิด
ยาที่ควรใช้  : ขี้ผึ้งกำมะถัน
วิธีใช้   :  ใช้ทาบริเวณที่เป็นหิด วันละ 2-3 ครั้ง
ข้อควรระวัง   :  ถ้าเกิดอาการระคายเคืองต่อผิวหนังให้หยุดใช้ยา


⇒ ผื่นคัน แพ้ยุง แมลง ถูกแมงกะพรุนไฟ พืชที่มีพิษ
ยาที่ควรใช้  : 
ก. เหล้าแอมโมเนียหอม
วิธีใช้   :  ชุบสำลีทาบริเวณที่คัน
                       :  ข. ครีมฮัยโดรคอร์ติโซน
วิธีใช้    :  ทาบางๆ บริเวณที่เป็นวันละ 2-3 ครั้ง
ข้อควรระวัง  : ไม่ควรใช้ยานี้ติดต่อกันนาน 3-5 วัน


ข้อมูลข้างต้น คัดจาก “คู่มือการใช้ยาสาธารณสุขมูลฐาน” จัดทำโดย องค์กรพัฒนาเอกชนทางด้านสาธารณสุข
- หากห้องสมุดหรือแหล่งชุมชนใดที่ขาดทุนทรัพย์ ต้องการคู่มือเล่มนี้ ขอเชิญจดหมายขอคู่มือเล่มนี้ไปยัง มูลนิธิหมอชาวบ้าน ตู้ ป.ณ.กลาง 192 กรุงเทพฯ 10501
- สำหรับผู้มีทุนทรัพย์ โปรดช่วยเหลือค่าจัดพิมพ์และค่าจัดส่ง โดยส่งแสตมป์มูลค่า 2.00 บาท จำนวน 3 ดวงต่อ 1 เล่ม 

 

ข้อมูลสื่อ

92-006
นิตยสารหมอชาวบ้าน 92
ธันวาคม 2529
โรคน่ารู้
พญ.เรณู โคตรจรัส