เปรียบเทียบการรักษาทางคลินิกแผนจีน - แผนตะวันตก (ตอนที่ 2) รักษาแบบองค์รวมกับรักษาเฉพาะส่วน
บทนำต้นๆ ของคนที่ศึกษาศาสตร์ แพทย์แผนจีนจะได้รับการเน้นย้ำเสมอว่า แพทย์แผนจีนมีจุดเด่น ที่สำคัญยิ่งประการหนึ่งคือ ทัศนะองค์รวม
เพื่อให้เกิดความเข้าใจรูปธรรมของการเปรียบเทียบ กับการแพทย์แผนปัจจุบันที่มักเน้นการรักษาเฉพาะส่วน จึงขอนำตัวอย่างผู้ป่วยจริงที่พบเห็นทางคลินิกมาเป็นตัวอย่าง
ผู้ป่วยนอนไม่หลับ ฝัน ประจำเดือนมามากผิดปกติ
ผู้ป่วยหญิงอายุ 25 ปี มาปรึกษาแพทย์จีนด้วยปัญหานอนไม่หลับมานาน 3 เดือน ได้ปรึกษาแพทย์แผนปัจจุบัน แพทย์ให้ยาคลายเครียดและยานอนหลับมากินก็ยังนอนไม่หลับ ผู้ป่วยเป็นคนขี้กังวล ใจสั่น ตกใจง่าย มึนงงศีรษะเป็นประจำ ขณะจะนอนหลับมักมีเรื่องที่ผ่านเข้ามาในสมองให้คิดตลอดเวลา ยับยั้งการคิดไม่ได้
นอกจากนั้นยังมีอาการเบื่ออาหาร อาหารไม่ย่อย อ่อนเพลีย และมีประจำเดือนปริมาณมากมาแต่ละครั้งนาน 7 วัน ขณะมีประจำเดือนก็จะเมื่อยล้า ปวดเมื่อยทั้งตัว บางเดือนต้องลาหยุดงานบ่อยๆ
ผู้ป่วยเป็นคนที่ร่างกายอ่อนแอมาตลอด เพราะป่วยเรื้อรังด้วยอาการปวดศีรษะไมเกรนเป็นประจำ ขณะเดียวกันหน้าที่การงานก็เป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารแห่งหนึ่ง ที่ต้องเคร่งเครียดกับงานตลอดเวลา การตรวจด้วยแผนปัจจุบันและทำ MRI ไม่พบความผิดปกติ
มุมมองของแพทย์แผนปัจจุบัน
เบื้องต้นสรุปได้ว่าผู้ป่วยรายนี้มีปัญหาความเครียด ทางจิตใจที่เป็นผลจากความเจ็บป่วยของร่างกายและการงาน การพักผ่อนไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายทรุดโทรมต่อเนื่อง ความเครียดทำให้มีผลต่อการทำงานของระบบย่อยและดูดซึมอาหาร และความอยากอาหารลดลง ทำให้ร่างกายได้รับอาหารไม่เพียงพอ ซ้ำเติมให้ภาวะร่างกายแย่ลงไปอีก
การรักษาต้องเน้นที่การแก้ภาวะจิตใจและให้ยาแก้อาการเฉพาะหน้าเพื่อบรรเทาอาการ เช่น ยาคลายเครียด ยานอนหลับ ยาช่วยย่อยอาหารหรือยากระตุ้นความอยากอาหาร ถ้าปวดไมเกรนก็ให้ยาบรรเทาอาการปวดไมเกรน
ส่วนปัญหาเรื่องประจำเดือนออกมากผิดปกติ อาจจะต้องตรวจเช็กเกล็ดเลือดว่าต่ำหรือไม่ ถ้าต่ำอาจต้องพิจารณาให้ยาสเตียรอยด์ และให้การบำรุงเลือด เช่น เหล็ก โฟลิก วิตามิน
ทั้งหมดที่กล่าวมา ถึงแม้จะเห็นความสัมพันธ์ต่อเนื่องของปัญหาความเครียดที่ส่งผลต่อภาวะร่างกาย ทำให้เกิดปัญหาต่างๆ อธิบายได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่วิธีการรักษาจะมีลักษณะแยกส่วนรักษาเป็นเรื่องๆ ตามอาการ รอให้ร่างกายสามารถปรับสมดุลได้เอง การใช้ยาก็จะหมดความจำเป็น โดยเฉพาะปัญหาความเครียด เป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่สามารถใช้ยาเป็นด้านหลักของการรักษา
มุมมองของแพทย์แผนจีน
ปัจจัยของการเกิดโรคที่มีผลกระทบต่ออวัยวะภายใน (จั้งฝู่) โดยตรงคือปัญหาทางจิตใจและอารมณ์ แพทย์แผนจีนอธิบายว่าอารมณ์ทั้ง 7 (โมโห ดีใจ กังวล เศร้าโศก เสียใจ ตกใจ กลัว) มีผลโดยตรงต่อสุขภาพ โดยเฉพาะการทำงานของอวัยวะภายในที่ควบคุมการทำงานทั้งหมดของร่างกาย
อวัยวะแรกที่กระทบคือ หัวใจ (มีความหมายกว้าง รวมถึงสมองและระบบประสาทอัตโนมัติ) กรณีที่ผู้ป่วยมีความวิตกกังวลเป็นอารมณ์พื้นฐานจะส่งผลกระทบต่อ อวัยวะม้าม (เกี่ยวข้องกับความอยากอาหาร การย่อยและการดูดซึมอาหาร)
เมื่อร่างกายอยู่ในภาวะเครียด วิตกกังวลนานๆ จะทำให้
1. พลังหัวใจอ่อนพร่อง ทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ ฝัน สมาธิไม่ดี ตกใจง่าย ความจำเสื่อม
2. พลังกระเพาะอาหารและม้ามพร่อง ทำให้ไม่อยากอาหาร การย่อยและดูดซึมอาหารแย่ลง ร่างกายอ่อนเพลีย ท้องอืด บางครั้งท้องเสีย อาหารไม่พอจะไปเลี้ยงสมอง ทำให้เกิดอาการมึนงง
3. พลังม้ามพร่อง นอกจากการสร้างเลือดน้อยแล้ว อาจเกิดภาวะเกล็ดเลือดต่ำ ทำให้ประจำเดือนมีมากผิดปกติ ตามทฤษฎีแพทย์จีน ม้ามควบคุมเลือดให้อยู่ในหลอดเลือด ถ้าพลังม้ามพร่องทำให้ประจำเดือนออกมาก
การรักษาด้วยแพทย์แผนจีน นอกจากจะเห็นพ้องกันกับแผนปัจจุบันเรื่องการแก้ไขความเครียดหรืออารมณ์ที่เป็นปัญหาหลักแล้ว แพทย์จีนสรุปการวินิจฉัย กลุ่มอาการของผู้ป่วยรายนี้ว่าเป็นภาวะ เลือดและพลังของหัวใจ และม้ามพร่อง และภาวะม้ามไม่สามารถควบคุมเลือด
การตรวจร่างกาย นอกจากประวัติข้างต้นแล้ว พบว่าผู้ป่วยมีลิ้นซีด ชีพจรเล็กอ่อนแรง
เปรียบเทียบการรักษาระหว่างแพทย์แผนปัจจุบันและแพทย์แผนจีน
1. ปัญหาการนอนไม่หลับ
ผู้ป่วยบางรายเมื่อได้ยานอนหลับแบบแพทย์แผนปัจจุบัน กลับไม่หลับ แต่ถ้าให้ยานอนหลับที่แรงมาก จะหลับและเพลียตลอดทั้งวัน มึนงงทั้งวัน
แพทย์แผนปัจจุบันเน้นการคลายหรือกดประสาท แต่แพทย์แผนจีนมองว่าต้องบำรุงประสาท (บำรุงพลังและเลือดของหัวใจ) ให้มีกำลังพอเป็นหลัก เสริมฤทธิ์ด้วยยาสมุนไพรจีนช่วยนอนหลับเป็นด้านรอง มีแต่การบำรุง (เพราะพลังหัวใจพร่องมาก) เป็นหลักเท่านั้นจึงทำให้หลับ ถ้ายังไปใช้วิธีการกดประสาท พลังหัวใจจะยิ่งอ่อนแอมากขึ้น ไม่สามารถแก้ปัญหาระยะยาวได้
2. ปัญหาระบบย่อยอาหาร
แพทย์แผนปัจจุบันเน้นที่การกระตุ้นความอยากอาหาร ใช้ยาช่วยย่อยอาหารและเสริมบำรุงวิตามิน ธาตุเหล็ก กรดโฟลิก กรณีโลหิตจาง
แพทย์แผนจีนเน้นบำรุงระบบม้าม เพื่อทำให้ความอยากอาหาร การย่อยและดูดซึมอาหารทำงานดีขึ้น ก่อน การบำรุงด้วยธาตุเหล็กหรือวิตามิน ในขณะที่ระบบย่อยอาหารไม่ดี จะทำให้ไม่สามารถดูดซึมได้ บางรายกลับท้องเสีย ปวดท้องเนื่องจากระคายเคืองจากธาตุเหล็กที่ได้ เมื่อพลังม้ามดีขึ้น การลำเลียงอาหารไปสมองดีขึ้น สมองได้อาหารหล่อเลี้ยง จะไม่มึนงง สมาธิดีขึ้น สมองได้รับการบำรุง
3. ภาวะประจำเดือนมามากผิดปกติ
ถ้าพบว่าเกล็ดเลือดต่ำโดยไม่พบสาเหตุ ทางแพทย์แผนปัจจุบันอาจพิจารณาใช้ยาสเตียรอยด์ เพื่อทำให้เกล็ดเลือดสูงขึ้น ทำให้เลือดหยุด แต่การศึกษาวิจัยพบว่า ถ้าเพิ่มพลังและเลือดของระบบม้ามด้วยยาสมุนไพรจีน จะมีผลทำให้เกล็ดเลือดสูงขึ้นได้ และทางคลินิกสามารถรักษาภาวะเลือดออกมากโดยไม่รู้สาเหตุในระบบต่างๆ รวมถึงการรักษาภาวะโลหิตจางได้ด้วย
การใช้สเตียรอยด์ระยะยาวจะมีผลข้างเคียงจากการใช้ยา ไม่ว่าจะเกิดสิว ตัวบวม เบาหวาน หน้ากลมเหมือนพระจันทร์ มีโหนกที่คอ กระดูกพรุน ติดเชื้อง่าย เป็นต้น แต่การใช้หลักการบำรุงม้ามเพื่อควบคุมเลือด จะปลอดภัยกว่ามาก
สรุป
แพทย์จีนมองปัญหาโรคและอาการต่างๆของผู้ป่วยเชื่อมโยงกันและวางการแก้ไขปัญหาหลักพื้นฐานด้วยการปรับสมดุล
ส่วนยาแก้อาการเป็นเพียงตัวประกอบเพื่อให้การรักษาปรากฏการณ์ เรียกว่า รักษาทั้งแก่นและปรากฏการณ์ โดยวิธีนี้เท่านั้นจึงจะแก้ไขปัญหา ระยะยาวได้โดยไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงของยา
แผนปัจจุบัน แม้จะมีการมองปัญหาที่เชื่อมโยงกัน แต่ในทางปฏิบัติของการรักษา การใช้ยา มักคิดแบบวิธีแยกส่วน เช่น นอนไม่หลับ ต้องให้ยากดประสาท (ไม่มียาบำรุงให้หลับ นอกจากอาจพิจารณาใช้วิตามิน) ระบบย่อยไม่ดี (ต้องใช้ยากระตุ้นอาหาร ยาช่วยย่อย) เลือดออกมาก (ต้องหยุดเลือดหรือทำให้เกล็ดเลือดเพิ่ม) ยารักษาโลหิตจาง (วิตามิน ธาตุเหล็ก โฟลิก) เป็นต้น จะเห็นว่ายาที่ให้บางครั้งขัดแย้งกัน บางครั้งมีผลข้างเคียงที่ไม่ต้องการ เมื่อให้รวมๆกันไม่มีลักษณะผสมกลมกลืน เพื่อบรรลุจุดหมายเดียวกัน เมื่อต้องกินนานๆ จะมีผลอันไม่พึงประสงค์ตามมามาก
การพิจารณาเปรียบเทียบแผนจีนกับแผนปัจจุบัน จะทำให้เราเลือกบริหารจัดการกับปัญหาผู้ป่วยในมุมมองที่กว้างขึ้น สามารถแก้อาการเฉพาะได้รวดเร็ว และการรักษาองค์รวมเพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวกลับสู่สมดุลโดยเร็ว และไม่มีผลแทรกซ้อนจากการใช้ยา
- อ่าน 7,308 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้