• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

คนสุรินทร์ไม่กินสุรา

เมื่อคนเราพบอุปสรรคที่ยากเกินแก้ไขหรือเจอปัญหาที่ไม่มีทางออก บางคนเลือกที่จะแก้ไขปัญหานั้นทันที บางคนอาจปรึกษาเพื่อนสนิท หลายคนหาทางออกให้กับตัวเองด้วยการดื่มสุราเพราะเขาเหล่านั้นถือว่า "เหล้าไม่ใช่คำตอบ แต่มันทำให้ลืมคำถาม" ในขณะที่อีกหลายคนดื่มเพราะคิดว่าสุราคือ "ความสุขที่ดื่มได้" แต่ผู้ป่วยของป้าหมอรายนี้ "ดื่มสุรา" ด้วยเหตุผลที่แตกต่างออกไป

คุณบุ๋ม หญิงวัย 40 ต้นๆ เข้ารับการรักษากับป้าหมอ โดยมีสามีชาวต่างประเทศเป็นผู้นำมาส่ง มีอาการติดสุราจนไม่สามารถควบคุมตนเองได้ หลังจากได้รับการรักษาเบื้องต้นในโรงพยาบาล 1 คืน คุณบุ๋มก็มีอาการดีขึ้นมาก

แสงตะวันลอดเข้ามาทางหน้าต่างเป็นสัญญาณของเช้าวันใหม่ เมื่อป้าหมอเห็นว่าคุณบุ๋มสามารถควบคุมตนเองได้อย่างเป็นปกติและมีสภาวะทางอารมณ์เพียงพอที่จะได้รับการรักษาแล้ว ป้าหมอจึงเข้าไปนั่งพูดคุยถามไถ่ถึงสาเหตุและความเป็นมาของอาการดังกล่าว

"เมื่อคืนบุ๋มคงอาละวาดหนักอีกแล้วใช่มั้ยค่ะ? เฮ้อ! น่าอายจริงๆ เลย..." คุณบุ๋มเปิดบทสนทนาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าอายๆ เล็กน้อย ...ไม่ว่าเธอจะเคยเป็นใคร จะผ่านอะไรมาขอจงอย่าเป็นกังวล นี่คือคนของเธอ...

เสียงเพลงดังขึ้น คุณบุ๋มรีบคว้าโทรศัพท์มารับ คุณแม่ของคุณบุ๋มนั่นเองที่โทร.เข้ามา คุณบุ๋มคุยกับคุณ แม่ด้วยสีหน้าหงุดหงิดและรีบปิดโทรศัพท์ทันที ราวกับไม่ต้องการให้คนที่คุยด้วยโทร.กลับมาอีก
คุณบุ๋มเล่าต่อทันทีที่วางโทรศัพท์ "บุ๋มเป็นคนสุรินทร์โดยกำเนิด โตมาโดยมีเพียงแม่เท่านั้น ส่วนคุณพ่อทิ้งไปตั้งแต่บุ๋มยังอยู่ในท้อง ตั้งแต่คุณพ่อทิ้งไป คุณแม่ก็กลายเป็นคนดื่มเหล้าหนักมาก" ดูจะเข้ากับคำล้อเลียนที่มีคนตั้งว่า "เป็นคนสุรินทร์ต้องกินสุรา ไม่กินสุรา ไม่ใช่คนสุรินทร์"Ž

แม้จะเมาเหล้าตลอดเวลา แต่คุณแม่ก็ทำงานอย่างหนักเพื่อให้เราทั้งสองคนมีอยู่มีกิน บางครั้งคุณแม่ก็มีความคิดแปลกๆอยู่เสมอ เช่น เมื่อสมัยมัธยมต้น บุ๋มเรียนดีจนได้ทุนการศึกษา แต่ท่ามกลางเสียงคัดค้าน ของคุณครู คุณแม่ก็ให้บุ๋มลาออกจากโรงเรียน แล้วนำบุ๋มไปฝากให้เป็นคนรับใช้ในบ้านของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องขี้เมา โดยคุณแม่บอกว่า ยอมเป็นเมียน้อยเขาแล้วจะสบายเอง ทั้งที่ในตอนนั้นบุ๋มอายุเพียง 16 ปีเท่านั้น

คุณแม่รีบตกลงยกบุ๋มให้ในทันทีที่ข้าราชการอายุรุ่นราวคราวเดียวกับแม่มาขอบุ๋มแต่งงาน ชีวิตแต่งงานของบุ๋มเลวร้ายมาก ตกกลางคืนเวลาเขาเมากลับมา เขาก็จะมาซ้อมมาตบตีบุ๋ม ไม่เคยปฏิบัติดีกับบุ๋มอย่างที่เคยได้รับปากกับแม่ไว้ในตอนแรกเลยแม้แต่นิดเดียว จนกระทั่งบุ๋มตั้งท้องลูกคนแรกกับเขา ช่วงที่ท้องได้ราว 5 เดือน สามีก็เริ่มมีอาการประสาทหลอน เนื่องจากดื่มเหล้าหนัก จนถูกออกจากราชการ ทางครอบครัวของสามีจึงมารับตัวเขาไปรักษา โดยไม่สนใจไยดีว่าบุ๋มและลูกจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไร

บุ๋มไม่มีที่ไป จึงตัดสินใจหอบลูกกลับมาอยู่บ้านกับแม่ ในตอนนั้นแม่ยังดื่มหนักเหมือนเช่นเคย เวลาแม่เมากลับมา แม่จะด่าบุ๋มหรือไม่ก็ลูกบุ๋ม โดยไม่ใส่ใจว่าลูกและหลานสาวจะตกทุกข์ได้ยากแค่ไหน บุ๋มรู้ทันทีว่าถ้าเรายังอยู่แบบนี้ต่อไปคงอดตายกันทั้งแม่ทั้งลูกแน่ๆ บุ๋มจึงสมัครเข้าทำงานในร้านอาหาร
ด้วยอายุเพียง 18 ปี ประกอบกับมีการศึกษาไม่สูงนัก อีกทั้งกลางวันยังต้องเลี้ยงลูก

"เด็กนั่งดริ๊งก์" จึงเป็นเพียงอาชีพเดียวที่บุ๋มพอจะทำได้ เพราะว่าเป็นงานที่ทำกลางคืน ทำรายได้เพียงพอที่จะเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง และกลางวันก็มีเวลาให้กับลูกบ้าง ชีวิตของบุ๋มในช่วงนี้เรียกว่าช่วงมรสุมชีวิตเห็นจะได้ บุ๋มพยายามทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อลูก คิดถึงลูกเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

หลังจากพูดจบ คุณบุ๋มนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง น้ำใสๆ เอ่อล้นออกมาจากดวงตาของเธอ ป้าหมอยิ้มมุมปากพลางหันไปหยิบกระดาษทิชชูยื่นให้คุณบุ๋ม ในขณะที่เธอปาดน้ำตาแล้วเล่าด้วยเสียงสั่นเครือต่อไปว่า

"บุ๋มอยากทำหน้าที่แม่ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ค่ะ อยากให้ลูกเติบโตเป็นคนดี มีอนาคตที่ดี พบเจอแต่สิ่งที่ดีๆ ไม่อยากให้ลูกสาวต้องมาตกระกำลำบากเหมือนบุ๋ม... เหมือนที่แม่บุ๋มทำกับบุ๋ม"Ž


ตลอดเวลาที่บุ๋มทำงานเป็นเด็กนั่งดริ๊งก์ บุ๋มจะไม่ยอมมีอะไรกับแขกเด็ดขาด เพราะกลัวเวรกรรมจะไปตกอยู่กับลูก และนี่เองคือเหตุผลที่คุณบุ๋มต้องดื่มเหล้ามากขึ้นๆ และบ่อยขึ้นๆ

หลังจากที่วิลเลี่ยม ผู้จัดการชาวต่างชาติได้เข้ามาบริหารงานในร้าน เขาเป็นคนอัธยาศัยดี มีอารมณ์ ขัน และพูดภาษาไทยได้ค่อนข้างคล่อง เราได้ร่วมงานกันและมีโอกาสได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น ความรักครั้งใหม่ของบุ๋มเกิดขึ้นอีกครั้ง เราคบหาดูใจกันไม่นานนัก เขาก็ขอบุ๋มแต่งงาน เขาขอร้องให้บุ๋มเลิกทำงานนี้ และยืนยัน จะให้บุ๋มเป็นแม่บ้านเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

เราแต่งงานกัน วิลเลี่ยมทำหน้าที่สามีได้เป็นอย่างดี เขารักบุ๋มและเอ็นดูลูกสาวของบุ๋มเหมือนเป็นลูกของตนเอง เขาซื้อบ้านใหม่ให้กับพวกเราและไม่รังเกียจที่บุ๋มจะชวนแม่มาอยู่ด้วยกัน

บุ๋มตั้งใจจะดูแลปรนนิบัติแม่ อยากให้แม่สุขสบาย แต่มาถึงตอนนี้แม่ก็ยังดื่มหนักเหมือนเคย
คุณบุ๋มหนักใจมากที่อาการติดเหล้าของแม่กำเริบรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เธอเล่าต่อไปว่า "แม่พูดคนเดียว หัวเราะคนเดียว จนเพื่อนบ้านหวาดกลัวพฤติกรรมเหล่านี้มากขึ้น" ที่สำคัญแม่พยายามจะบงการชีวิตน้องเนย ลูกสาวของบุ๋มอยู่ตลอดเวลา พยายามสอนให้น้องเนยหัดดื่มเหล้า เพราะแม่เชื่อว่าการดื่มเหล้าจะทำให้เข้าสังคมได้ง่ายขึ้น จึงทำให้ระยะหลังมานี้บุ๋มมีปากเสียงกับแม่ถี่ขึ้น

เมื่อป้าหมอได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดของคุณบุ๋ม จึงได้ทราบถึงปัญหาที่เกิดขึ้น ป้าหมอแนะนำให้คุณบุ๋มพาคุณแม่มารักษากับป้าหมอในการนัดครั้งหน้าด้วย

หลังจากที่ป้าหมอได้เจอคุณแม่ของคุณบุ๋ม จึงทราบว่าแม่ของคุณบุ๋มมีอาการประสาทหลอน เห็นภาพ และนิมิตต่างๆ ที่จินตนาการขึ้นมาเองจากจิตใต้สำนึก มีอาการหน้าบวมและมีกลิ่นเหล้าคละคลุ้ง

ค่านิยมการดื่มน้ำเมาของคนในครอบครัวเป็นการฝังรากลึกทำให้เกิดค่านิยมที่ไม่ดีต่อสมาชิกในครอบครัว และอาจนำมาซึ่งภัยร้ายแรงทางด้านสุขภาพที่ยากจะเยียวยาแก้ไข เช่นเดียวกับคุณแม่ของคุณบุ๋มที่ดื่มเหล้าต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลาหนึ่งจนทำให้เกิดอาการประสาทหลอน

ป้าหมอแนะนำให้คุณบุ๋มและคุณแม่ทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกัน เช่น ออกกำลังกายพร้อมกัน เข้าครัว ทำอาหารด้วยกัน ปฏิบัติธรรมร่วมกัน และการไปเที่ยวพักผ่อนต่างจังหวัด

หลังจากได้รับคำแนะนำจากป้าหมอ ไม่นานนักคุณบุ๋มบอกว่าคุณแม่มีอาการดีขึ้นตามลำดับ ดื่มเหล้าน้อยลง เลิกพูดจาคนเดียว เริ่มหันมาสนใจธรรมะ มีสุขภาพที่แข็งแรงเพราะน้องเนยพาคุณยายไปออก กำลังกายในตอนเย็นเป็นประจำ และที่สำคัญคือตนเองสามารถนอนหลับได้อย่างเป็นปกติ
คุณบุ๋มกล่าวขอบคุณป้าหมอ และเดินจากไปพร้อมกับสามีด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า

ภาวะประสาทหลอนจากสุราสามารถรักษาให้หายขาดได้ ขอเพียงคนในครอบครัวให้ความรัก ดูแลเอาใจใส่อย่างพอเพียงและเหมาะสม

หากทุกครอบครัวสามารถปฏิบัติได้เช่นนี้แล้ว อาจเกิดคำขวัญใหม่ขึ้นว่า "คนสุรินทร์ไม่กินสุรา เลือดคนสุรินทร์ ไร้กลิ่นสุรา"
สวัสดีค่ะ

ข้อมูลสื่อ

354-019
นิตยสารหมอชาวบ้าน 354
ตุลาคม 2551
ป้าหมอ