• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

โชคดีจัง

คุณอาจจะเอ่ยคำว่า "โชคดีจัง" เมื่อคุณถูกล็อตเตอรี่ หรืออาจจะกล่าวคำว่า "โชคดีจัง" ที่เพื่อนร่วมงานคลอดลูกฝาแฝดเพศชาย ตรงกันข้ามก่อนใครบางคนจะเอ่ยคำว่า "โชคดีจัง" ได้นั้น เขาเหล่านั้นคงต้องผ่านเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงหรือเหตุการณ์เลวร้ายต่างๆ นานามานับครั้งไม่ถ้วน

คุณแอ๋ว แม่บ้านวัย 40 ปีเศษ ก้าวเข้ามาในห้องตรวจพร้อมกับสามี ดูท่าทาง 2 คน ระโหยโรยรา เหมือนหมดเรี่ยวหมดแรง ต่างคนก็ต่างมองหน้ากันเหมือนจะเกี่ยงให้อีกคนหนึ่งเป็นคนพูด ในที่สุดคุณแอ๋ว ก็เป็นคนเริ่มต้นพูดกับป้าหมอว่า

"เราสองคนทะเลาะกันทุกวัน เครียดมาก ไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงดี เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด มันไม่ได้เกี่ยวกับว่าเราขัดแย้งกันนะคะ" คุณแอ๋วเธอเล่าด้วยน้ำเสียงฟังดูอึมครึม

เมื่อ 3 เดือนที่แล้วน้องชายของดิฉันและภรรยา ซึ่งแต่งงานกันไปหลายปี แต่ไม่มีลูก ย้ายไปอยู่ที่ต่างจังหวัด โดยไม่ได้ติดต่อกับทางบ้าน แล้วจู่ๆ ที่ทำงานติดต่อมาทางดิฉันแล้วบอกว่า น้องชาย ภรรยา เกิดอุบัติเหตุเสียชีวิตกะทันหัน ขอให้พวกเราไปดำเนินการในฐานะเป็นญาติผู้ใกล้ชิด พร้อมกับพูดประโยคสั้นๆ ว่า "ทั้งสองคนมีลูกสาว วัย 5 ขวบอยู่ด้วย"ž

เราไม่ได้ข่าวน้องชายกันตั้ง 10 กว่าปี นี่น้องมีลูกแล้วหรอ นี่ฉันไม่รู้เลย แล้วเราก็รีบกุลีกุจอ เดินทางไปยังจังหวัดที่น้องทำงานอยู่ ที่นี่ทุกคนที่เป็นเพื่อนร่วมงาน ล้วนเป็นคนมีน้ำใจ พากันมาช่วยงานกุลีกุจอ พร้อมทั้งเล่าให้เราฟังว่า ได้จัดการเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทุกอย่าง ทั้งสามีและภรรยา เพื่อความสะดวกของเราในการดูแลต่อ

น้องชายและภรรยาที่เสียชีวิตทั้งคู่ เดินทางไปราชการและเกิดอุบัติเหตุ โดยทิ้งลูกสาววัย 5 ขวบอยู่ ที่บ้าน สิทธิประโยชน์ที่ได้ มีทวีคูณเป็นจำนวนไม่ใช่น้อย ดิฉันและสามีตั้งใจว่าเราจะเก็บเงินทุกบาททุกสตางค์ไว้ให้หลาน พร้อมกับนึกดีใจว่า เป็นหลานสาวซะด้วย อายุก็ไล่เลี่ยกับลูกสาวคนเล็กของเรา ดิฉันมีลูกสาวอยู่ 2 คน อายุ 9 ขวบ และ 7 ขวบ เราคงได้เลี้ยงร่วมกัน เด็กจะได้ไม่เหงา เพราะขาดพ่อและแม่

หลานสาวได้รับการดูแลจากข้าราชการข้างๆ บ้านได้หลายวันตั้งแต่น้องชายและน้องสะใภ้เสียชีวิต โดยรับไปอยู่ด้วยและให้นอนห้องเดียวกับลูกสาวของเขา เมื่อได้พบหลานดิฉันรู้สึกน้ำตาไหล หน้าตาของหลานช่างเหมือนน้องชายอะไรอย่างนี้ ท่าทางดูฉลาดและช่างพูดเจรจา หลานเล่าให้ดิฉันฟังเสียงจ๋อยๆ ว่า พ่อแม่ตายหมดแล้ว แกคงไร้เดียงสาเกินกว่าที่จะรู้ว่า ความตายคืออะไร

เราจัดงานศพกันอย่างรวบรัด และรับหลานมาอยู่ที่กรุงเทพฯ ดิฉันบอกให้ลูก 2 คน ดูแลหลานเหมือนน้องสาวคนเล็ก ซึ่งลูกของดิฉัน 2 คนที่รักใคร่กลมเกลียว ก็ดูท่าทางถูกอกถูกใจ ลูกๆ รับน้องคนใหม่เข้าไปพักในห้อง รวมเป็น 3 สาว 3 ใบเถา

หลานมาอยู่ไม่กี่วัน ลูกก็เริ่มมาเล่าให้ดิฉันฟังว่าทุกสิ่งทุกอย่างในห้อง หลานจองหมด หลานจะต้องเอาเตียงตัวนั้น จะต้องใส่ชุดนี้ จะต้องเล่นตุ๊กตาตัวโน้น ทั้งๆ ที่ดิฉันก็ได้นำเครื่องนอน ตุ๊กตา และเสื้อผ้าของหลานมาหมด แต่หลานบอกว่าของพี่สวยกว่า จะเอาอันนี้แหละ ไม่ว่าจะอย่างไร ก็จะเอาของพี่ให้ได้ พอไม่ได้เธอก็เริ่มอาละวาด

แรกๆ ดิฉันคิดว่าเธอน่าจะปรับตัวเข้ากับพวกเรา จึงขอให้ลูกทั้งสองอดทนไปก่อน แต่ปรากฏว่าหนักข้อขึ้น ถึงขั้นที่ไล่ตีพี่ 2 คน จนลูกสาวดิฉันบอกว่า จะขอให้น้องอยู่ห้องอื่น เขา 2 คนไม่สะดวกที่จะอยู่ด้วย
ครั้นดิฉันถามหลาน หลานก็บอกว่าอยู่คนเดียวได้ เพราะปกติเวลาพ่อแม่ไปราชการ ก็จะมีคนมารับไปพักข้างๆ บ้านเป็นประจำอยู่แล้ว ไม่ใช่ของแปลก พอดีเรามีห้องเหลืออีกห้องหนึ่ง ดิฉันก็จัดการทาสี ตกแต่ง ติดม่านให้ใหม่ และหลานก็เข้าไปอยู่ในห้องนั้น ดูท่าทางเธอมีความสุขกับห้องเล็กๆ ทั้งๆ ที่อายุแค่ 5 ขวบ เธอเรียงโน่นวางนี่ และใช้เวลาส่วนใหญ่ในห้อง ห้องของเธอใครๆ ก็เข้าไปไม่ได้ เพราะเธอไม่อนุญาต

ครั้นพอเอาไปฝากที่โรงเรียนใกล้ๆ เนื่องจากหลานอยู่ชั้นอนุบาล 3 จากต่างจังหวัด หลานก็ยินดีไปโรงเรียนแต่โดยดี แต่พอไปถึงโรงเรียน คุณครูก็โทรศัพท์มาบอกว่า สงสัยว่าจะต้องปรับตัวนานหน่อย เพราะเข้ามาถึงในห้องเรียน เธอก็แย่งของคน ด่าคน แล้วก็ลงดิ้นพล่านๆ กับพื้น เมื่อไม่ได้ดังใจ

ดิฉันเริ่มรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ คิดอยู่ตลอดเวลาว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับหลานในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา พอดีโชคดี มีเพื่อนข้าราชการของน้องชายแวะมาเยี่ยมหลานที่บ้าน ทุกคนมีหน้าตาห่วงใย พร้อมกับบอกว่า เราคิดว่าโชคดีของหลานมากที่ได้คุณป้าและคุณลุงเป็นคนเลี้ยงดู เมื่อถามต่อว่าทำไมถึงคิดอย่างนั้น เพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้กับบ้านของหลานก็เล่าว่า

คนแถวนั้นเขารู้กันหมด เรื่องเอาแต่ใจตัวเอง เรื่องไม่ยอมใคร เรื่องเกเร เรื่องพูดจาหยาบคาย ขณะเล่าก็สั่นหน้าแล้วก็บอกว่า ใครๆ ก็เป็นห่วงเด็กคนนี้ เพราะว่าพ่อแม่ตามใจทุกอย่าง แม้กระทั่งอาละวาด ด่าแม่ พ่อก็ยังออกว่าให้แม่เฉยๆ ลูกเราฉลาด เด็กแถวนั้นไม่มีใครอยากยุ่งกับหลาน เพราะไม่อยากมีปัญหา

เวลามีสนามเด็กเล่น แล้วเด็กๆ ไปเล่นกันหลายๆ คน ทุกคนเล่นเป็นกลุ่ม มีความสุข พอหลานเดินไปถึง เด็กๆ ก็เดินมาหาพ่อแม่ของตัวแล้วบอกว่ากลับบ้าน ดูจะเป็นเด็กที่ไปที่ไหนก็วงแตก

ในขณะพูดเธอก็หันมาบอกดิฉันว่า "แต่เรายังเป็นห่วงและอยากให้กำลังใจคุณ ในการดูแลเด็ก เพราะเราคิดว่าเด็กอายุ 5 ขวบ คงสามารถแก้ไขได้ ไม่ว่าชีวิตที่ผ่านมาอาจจะถูกเพิกเฉยในการสั่งสอนในสิ่งที่ควรเป็น"

คุณแอ๋วเล่าต่อทันทีว่า "ดิฉันเริ่มสังเกตหลานตามคำพูดของเพื่อนบ้าน หลานเป็นอย่างนั้นเอง เอาแต่ใจตัวเอง พูดจาหยาบคาย ด่า รังแกผู้อื่นและแย่งของ บางครั้งดิฉันควบคุมอารมณ์ไม่ได้ อยากจะตี ดุหลานแรงๆ สามีก็คอยบอกว่า ใจเย็นๆ ต้องสอนเด็กอย่างสร้างสรรค์
บางครั้งสามีก็ถูกหลานกวนใจจนแทบตบะแตกเหมือนกัน เราคิดว่าคงจะมีวิธีการที่จะจัดการดูแลหลานให้ดีกว่าที่เราสองคนทำ เราจึงคิดว่าคุณหมอ น่าจะมีคำตอบที่ดีที่สุดกับเรา"Ž

ขณะพูดคุณแอ๋วและสามีก็เล่าเรื่องต่างๆ นานา เช่น ในบ้านเธอเป็นคนมีเหตุผล เป็นคนมีระเบียบวินัย เธอสอนให้ลูกรับผิดชอบไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การทำการบ้าน การเล่น เธอพบว่าหลานไม่ยอมทำสักอย่าง

ป้าหมอยิ้มพลางบอกว่า "เธอกำลังให้สิ่งที่ดีที่สุดกับหลานแล้ว คือสอนให้หลานสามารถใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่น ภายใต้กฎกติกามารยาทตามปกติที่เธอกล่าวออกมาทั้งหมด เพียงแต่ว่าหลานคุ้นเคยกับสิ่งที่หลานได้รับการปลูกฝังมาอย่างไม่มีระบบ เป็นการปลูกฝังที่เต็มไปด้วยความรัก แต่ขาดการสั่งสอน การแนะนำและวิธีการที่จะอยู่ร่วมกับคนอื่นอย่างสร้างสรรค์"

ขณะพูดป้าหมอก็หันไปบอกกับสามีคุณแอ๋วว่า "หมอเห็นด้วยว่า หลานโชคดีจังที่ได้มาอยู่กับคุณ ในขณะที่อายุไม่มากเหมือนที่เพื่อนบ้านบอก คุณจะเป็นเบ้า เป็นแบบ เป็นกรอบ ที่จะสอนหลาน เพียงแต่ว่าต้องใช้ความอดทน และต้องใช้เวลาค่อนข้างยาวกว่าหลานจะยอมรับได้ เพราะชีวิตที่ผ่านมาหลานได้โดยไม่ได้รับการสั่งสอนอย่างถูกต้อง เพราะฉะนั้นหลานจะสบาย เพราะตัวเองเป็นใหญ่ แต่เมื่ออยู่กับคุณ หลานต้องปรับตัว ต้องฟังคนอื่น ต้องแบ่งบัน และต้องปฏิบัติเหมือนคนทั่วๆไป ซึ่งคุณทำถูกต้องแล้ว เพียงแต่ว่าคงต้องใช้เวลา รวมทั้งที่โรงเรียนก็จะเป็นกรอบ เป็นแนว เป็นแบบอย่างที่ช่วยกันหลอมหล่อหลาน เพื่อจะให้หลานมองเห็นว่าวิธีการที่คุณและคุณครูทำเป็นสิ่งที่ดี และเมื่อหลานรับได้และนำไปทำ ป้าหมอก็มั่นใจได้ว่าคุณจะได้ลูกสาวที่น่ารักอีกคนหนึ่ง"

ป้าหมออยากจะใช้คำว่า "หลานโชคดีจังที่มาพบคุณ ก่อนที่จะแก้ไขไม่ได้"Ž

คุณแอ๋วและสามีฟังคำพูดของป้าหมอ พร้อมกับพยักหน้าเป็นระยะๆ เราตกลงกฎกติกามารยาทหลายอย่างที่จะนำไปใช้กับหลาน เช่น อย่ายอมหลานเมื่อหลานอาละวาด แต่ไม่ต้องตี แต่เมื่อหลานสงบแล้ว ให้พูดกับหลานดีดีว่า วิธีนี้ใช้ไม่ได้และไม่ถูก และต้องคอยทำแบบนี้ซ้ำๆ จนกระทั่งหลานเข้าใจว่าวิธีการเก่าต้องเปลี่ยนใหม่ และเมื่อหลานใช้วิธีใหม่ คือการพูดด้วยเหตุและผล การปฏิบัติตามกฎ กรอบ หรือแบบอย่างที่คนอื่นทำ ก็ให้ชมเชย

คุณแอ๋วและสามีพยักหน้าเป็นระยะๆ พร้อมกับบอกว่า "ดิฉันมีกำลังใจมากขึ้น และคิดว่าดีใจที่ได้มีโอกาสดูแลหลาน ในขณะที่เขาไม่มีคนอื่น และได้แก้ไขความรู้สึก ความคิดที่ผิดๆ ในบางเรื่องของเขาให้เป็นความคิด ความรู้สึกที่ถูกๆ เหมือนกับคนอื่นๆ ในสังคม"

แล้วคุณแอ๋ว และสามีก็จากไป...
คุณป้าและคุณลุงเขยของหลานยังมาพบป้าหมอเป็นระยะๆ พร้อมกับเล่าว่า ขณะนี้พฤติกรรมของหลานดีขึ้นเรื่อยๆ แม้บางครั้งเมื่อหลานโกรธ ก็ยังหันกลับไปใช้พฤติกรรมเก่า เมื่อทั้งสองทำเป็นมองไม่เห็น หลานก็จะหยุดพฤติกรรมดังกล่าวและปรับตัวใหม่

ในวัยเด็ก เด็กเรียนรู้สิ่งต่างๆ จากคนรอบตัว เป็นโอกาสทองของชีวิตที่จะได้เรียนรู้กฎกติกา มารยาทของสังคม นอกเหนือจากการให้ความรักแล้ว พ่อแม่ต้องสอนเด็กให้รู้จักกรอบของชีวิต สอนให้เรียนรู้วิธีที่จะอยู่ร่วมกับคนอื่นอย่างมีความสุข สิ่งเหล่านี้จะทำให้เด็กสามารถปรับตัวได้ และมองเห็นการอยู่ร่วมกับคนอื่นว่าเป็นสิ่งที่สร้างสรรค์ และยึดถือกฎกติกามารยาทของสังคมเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตต่อไป

เรารักษากันมาหลายครั้งแล้ว ป้าหมอคิดว่าอีกไม่นานการรักษาก็คงจะปิดลง และอยากจะบอกว่า "หลานโชคดีจัง"Ž
สวัสดีค่ะ

ข้อมูลสื่อ

357-020
นิตยสารหมอชาวบ้าน 357
มกราคม 2552
ป้าหมอ