• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

แววดี

จับไว้! จับไว้!.....ปล่อยหนู ปล่อย!!!

เสียงเอะอะดังมาจากหน้าห้องตรวจ ขณะเดียวกันก็มีเด็กหญิงอายุ 17 ปีเศษ ซึ่งมีผู้ปกครองมาด้วย ป้าหมอเดาว่าคงเป็นคุณพ่อและคุณแม่ จับมาคนละข้าง โดยมีน้องพยาบาลตามมาอย่างใกล้ชิดอีกหลายคน

ท่าทางตอนนั้นเป็นชั่วโมงแห่งความชุลมุน ขณะจับ "น้องแวว" เด็กหญิงหน้าใส แววตาแข็งกระด้างก็สะบัดอย่างแรง พร้อมกับร้องโหวกเหวกโวยวายว่า
"หนูเกลียดพ่อ! หนูเกลียดแม่! หนูอยากอยู่คนเดียว อย่ามายุ่งกับหนู"

น้องแววเข้ามาเป็นคนไข้ของโรงพยาบาล เนื่องจากมีอาการแปลกๆ เช่น ไม่อยากไปโรงเรียน ทั้งๆ ที่เป็นเด็กเรียนระดับหัวกะทิ บางครั้งเธอก็พูดแปลกๆกับพ่อกับแม่ เช่น รู้สึกว่าถูกเพื่อนมอง ถูกจับตาเป็นพิเศษ ครูในโรงเรียนก็ดูจะไม่ชอบน้องแวว ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว น้องแววเป็นเด็กระดับเกียรติบัตรทั้งทางด้านการเรียนและด้านความประพฤติ

ปีนี้น้องแววเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 สายวิทย์-คณิต ความจริงคุณแม่บอกว่า น้องแววไม่ใช่เด็กเรียนเก่ง และไม่มีความถนัดทางสายนี้เลย แต่เมื่อคุณพ่อคุณแม่บอกว่า สายวิทย์-คณิต นั้นเมื่อเรียนจบแล้ว สามารถเลือกเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยได้หลายคณะ น้องแววก็เลยขยันขึ้นและเป็นเด็กที่มีความรับผิดชอบสูง เมื่อมีเปิดสอนพิเศษที่ไหน น้องแววก็จะไปเรียนด้วย คุณพ่อคุณแม่สนับสนุนเพราะน้องแววเป็นเด็กรักเรียนและเป็นลูกเพียงคนเดียว

ก่อนสอบประมาณ 3 เดือน ที่โรงเรียน คุณครูต้องการเด็กไปเข้าค่ายจริยธรรมและคุณธรรมที่ต่างจังหวัด ตอนแรกก็ให้เด็กสมัครใจไปลงชื่อ แต่เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่กำลังใกล้สอบปลายปี ไม่มีใครไปลงชื่อสักคน อาจารย์ประจำชั้นก็มาหาน้องแววและบอกว่าอยากให้น้องแววเป็นตัวแทนของห้อง เพราะอาจารย์ทุกคนมีความเห็นตรงกันว่า น้องแววคงทำหน้าที่ตรงนี้ได้ดีที่สุด และโดยที่น้องแววไม่ได้มีโอกาสตัดสินใจ คุณครูก็เลยใส่ชื่อน้องแววไป

หลังจากไปเข้าค่ายจริยธรรม น้องแววกลับมาบ้าน ด้วยความรู้สึกไม่ดี รู้สึกกังวลว่าจะไม่มีเวลาเตรียมตัวก่อนสอบนานพอ เพราะน้องแววไม่ใช่คนเรียนเก่ง แต่เป็นคนตั้งใจเรียน

เมื่อกลับมาถึงโรงเรียน คุณครูเข้ามากอดน้องแวว แล้วบอกว่า น้องแววเป็นเด็กที่ทำชื่อเสียงในกับโรงเรียน มีจดหมายชมเชยจากวิทยากรว่า "น้องแววเป็นคนที่เข้าใจ ตั้งใจ ให้ความร่วมมือดีมาก รวมทั้งเป็นหนึ่งในบรรดา 10 เปอร์เซ็นต์ ที่จะได้รับการคัดเลือกไปเข้าค่ายจริยธรรมและคุณธรรมต่อที่ต่างประเทศ คุณครูอยากให้น้องแววไป" แต่น้องแววถอดใจบอกว่าไม่เอาแล้ว ต้องกลับไปเรียนหนังสือ เพื่อเตรียมสอบเอนทรานซ์

คุณแม่เล่าต่อไปว่า "น้องแววดูหัวเสียกับโครงการไปต่างประเทศ น้องแววบอกกับคุณแม่ว่าจะไม่ไปเด็ดขาด เพราะได้เสียเวลาไปหลายวันแล้ว ตอนนี้ต้องตั้งหน้าตั้งตาเอาการบ้านมาทำ เตรียมตัวสอบปลายภาค แล้วก็เตรียมเอนทรานซ์ในปีหน้า"Ž

หลังจากเหตุการณ์นั้น คุณแม่คิดว่าลูกหายเครียดแล้ว แต่ในความเป็นจริงนั้นมันยังมีอีกหลายเรื่องตามมา ก่อนป่วยประมาณ 2 สัปดาห์ น้องแววดูไม่อยากไปโรงเรียน น้องแววบอกกับพ่อแม่ว่า ครูที่เคยรักก็ประชดประชัน ต่อว่า ว่าน้องแววมีโอกาสไปต่างประเทศก็ไม่ไป ดูสิโรงเรียนจะมีชื่อเพราะเธอแท้ๆ "หนูไม่สบายใจ เพื่อนก็ไม่เข้าใจว่าทำไมหนูไม่ไปต่างประเทศ ครูก็คะยั้นคะยอทุกวัน บอกว่าหนูยังเปลี่ยนใจได้ แต่หนูจะไปได้ยังไง ในเมื่องานที่นี่หนูยังไม่พร้อม แล้วหนูจะเข้ามหาวิทยาลัยได้หรือเปล่าก็ไม่รู้"

หลังจากนั้นไม่นาน น้องแววก็เริ่มมีอาการไม่อยากไปเรียน ปวดท้อง ปวดหัว ป่วยการเมือง
"เราไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรแล้ว จะปล่อยลูกไว้แบบนี้ก็ไม่ได้ อาการของน้องก็หนักขึ้นเรื่อยๆ ก็เลยตัดสินใจพาเข้ามาพบคุณหมอค่ะ"

หลังการรักษา น้องแววดีขึ้นเรื่อย ๆ และร่วมกันตัดสินใจกับคุณแม่ว่าจะขอหยุดเรียน หลังจากไปสอบชั้น ม.5 ก่อน ผลการสอบคุณครูก็บอกว่า คะแนนเก็บของน้องแววนั้นผ่านหมดแล้ว ขอแค่เกรดพอเป็นพิธี น้องแววก็ไป แต่ไปด้วยท่าทางที่ไม่มีความสุข โดยคุณแม่ต้องให้คุณพ่อหยุดเวรที่โรงงาน แล้วไปนั่งเป็นเพื่อนลูกทุกวัน

น้องแวว เรียนจบ ม.5 แล้ว จึงทำเรื่องขอย้ายไปอยู่โรงเรียนอื่น ขณะที่ทำเรื่องขอย้ายนั้น น้องแววก็ยังเข้ามารับการรักษาต่อเป็นเวลา 1 ปี ตอนนี้น้องแววปรับตัวได้ดี และโรงเรียนใหม่ก็กำลังจะเปิด น้องแววก็จะได้เพื่อนกลุ่มใหม่ ที่ไม่เคยรู้เรื่องเกี่ยวกับสุขภาพของน้องแววมาก่อน

แต่ทุกวันนี้น้องแววรู้จักการปฏิเสธ รู้จักการที่ปรับตัวเมื่อได้รับแรงกดดันจากสิ่งแวดล้อมภายนอก คุณแม่เองก็ปล่อยให้น้องแววเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น เช่น ให้น้องแววทำกับข้าวกินเอง น้องแววจะนอนหรือจะตื่นกี่โมง คุณแม่ก็จะให้น้องแววจัดการรีดเสื้อผ้าเอง จะออกไปไหน น้องแววก็ต้องเลือกเสื้อผ้าใส่เอง

การรักษากำลังจะสิ้นสุดลง วันนี้น้องแววหน้าตาสดใส แต่งตัวน่ารักสมวัย เดินเข้ามาหาป้าหมอด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม น้องแววยื่นการ์ดแสนสวยให้กับป้าหมอ แล้วยิ้มพร้อมทั้งบอกว่า
"ขอบคุณมากนะค่ะ ป้าหมอ หนูพร้อมที่จะเริ่มต้นในมหาวิทยาลัย เป็นคนๆใหม่ โดยไม่กังวลในการเรียนชั้น ม.6 เดี๋ยวนี้หนูรู้แล้วว่า หนูไม่ถนัดวิทยาศาสตร์ หนูจะเลือกสาขาที่หนูถนัดคือภาษาศาสตร์และภาษาอังกฤษ หนูดีใจค่ะ ที่ต่อไปนี้หนูไม่ต้องกินยานอนหลับแล้ว หนูหลับได้เอง หนูรู้สึกว่าสิ่งต่างๆ รอบๆ ตัวเรานั้นไม่ยากอย่างที่คิดเลยค่ะ"

ป้าหมอกล่าวตอบน้องแววด้วยน้ำเสียงยินดีว่า "หนูจะมาเยี่ยมคุณป้าหมอบ้างก็ได้นะคะ เพราะป้าหมอหยุดรักษาหนูแล้ว หนูไม่ใช่คนที่ป่วยอีกต่อไปแล้ว แต่หนูเป็นน้องแววคนใหม่ที่เข้มแข็ง กล้าที่จะปฏิเสธและทนต่อสิ่งกดดันได้ดีขึ้น"Ž

น้องแววรับปากว่า "ค่ะ หนูจะดูแลตัวเองให้แข็งแรง และให้ชีวิตผ่านพ้นไปได้ด้วยดีค่ะ หนูสัญญา"
คุณแม่และคุณพ่อซึ่งเข้ามานั่งฟังระหว่างที่ป้าหมอให้การรักษาน้องแวว คุณแม่น้ำตาไหลพลางหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตา พร้อมกับบอกว่า
"เหมือนเกิดใหม่จริง ๆ"Ž

ข้อมูลสื่อ

359-019
นิตยสารหมอชาวบ้าน 359
มีนาคม 2552
ป้าหมอ