• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

เมื่อข้าพเจ้าใช้ห้องพักในโรงพยาบาล เป็นห้องนั่งกรรมฐาน (ตอนที่ 4)

 

 “เมื่อข้าพเจ้าใช้ห้องพักในโรงพยาบาลเป็นห้องกรรมฐาน” เป็นธรรมบรรยายของอาจารย์จำเนียร ช่วงโชติ สหายในทางธรรม ท่านส่งมาให้ผมช่วยตรวจแก้ อ่านแล้วสนุก ประทับใจ ทั้งในเนื้อธรรมปฏิบัติและเกร็ดขำ ๆ ในโรงพยาบาล รู้สึกเหมือนได้ดื่มธรรมโอสถขนานวิเศษแก้โรคได้จริง ๆจึงขออนุญาตท่านนำมาลงพิมพ์ในหน้าธรรมโอสถ เพื่อประโยชน์แด่ท่านผู้ใคร่ธรรมที่รักทุกท่าน


เมื่อดิฉันออกมาจากโรงพยาบาลได้ 1 สัปดาห์ ก็ทราบว่า เขาต้องเข้าโรงพยาบาลอีกเป็นครั้งที่ 3 ดิฉันรีบไปเยี่ยมเขา พบว่าเขายิ่งท้อแท้ อ่อนเพลีย เจ็บปวด แต่ยังลุกเดินไปและกินได้ เขาดีใจเมื่อพบดิฉัน ดิฉันถามเขาว่าที่พี่เคยสอนให้กำหนดรู้การเคลื่อนไหวของกายและจิตน้องไปทำหรือเปล่า เขาบอกว่า “เขาไม่ได้ทำ" ดิฉันก็ทราบดี คนที่ไม่เคยปฏิบัติสะสมกันมา หรือไม่เคยปรารถนาเหตุมาก่อน ย่อมยังผลให้เกิดขึ้นได้ยาก

ดิฉันก็เริ่มสาธิตและให้เขาปฏิบัติตามใหม่ เพื่อให้จิตสงบจากการฟุ้งซ่าน และจะได้บรรเทาการเจ็บปวด หลังจากนั้นดิฉันพักรักษาตัวเองให้แข็งแรง เพื่อเตรียมพร้อมไปปฏิบัติธรรม และช่วยอาจารย์มันตาที่วัดอัมพวัน เมื่อกลับมาก็ตั้งใจจะไปเยี่ยมเขาอีก เผอิญเป็นหวัดอย่างแรง และได้ทราบข่าวการสวดพระอภิธรรมงานศพเขาจากหนังสือพิมพ์วันสุดท้ายแล้ว ก็ไปฟังพระสวด พี่สาวเขาเล่าว่า เขาบ่นถึงดิฉันมาก แต่ไม่สา- มารถติดต่อดิฉันได้ มะเร็งได้กระจายไปที่ปอด และทำให้เขาหายใจไม่ออกในที่สุด รวดเร็วเหลือเกิน ใน ขณะเคลื่อนศพไปบรรจุ เขาก็ทักดิฉันด้วยกลิ่นที่ดิฉันรับรู้ได้ ขอวิญญาณของเธอจงไปสู่สุคติเถิด และแล้วความคิดก็ผุดขึ้นมาว่า “เร่งปฏิบัติให้มาก เพียรพยายามอดทนให้มาก อย่าประมาทวันเวลา ความตายมาเยือนทุกลมหายใจเข้าออก”

วัย 55 ปี สังขารเริ่มเสื่อมแล้ว แต่น่าแปลกที่ดิฉันฟื้นตัวรวดเร็ว ลูกเดินได้คล่องแคล่ว หน้าตาสดใส ได้รับการทักทายจากผู้มาเยี่ยมว่า “ไม่เหมือนคนเจ็บเลย” อาการคลื่นไส้ เวียนหัว เนื่องจากการฉายแสงก็ไม่เกิดขึ้น จะมีก็แต่เม็ดเลือดขาวตกไปหน่อย หมอและพยาบาลแสดงความประหลาดใจ ทำไมเป็นเช่นนั้นดิฉันคิดว่า ข้อแรก หมอเขารักษาเก่งมาก ข้อสอง ดิฉันเคยออกกำลังกายเป็นประจำ และข้อที่สำคัญที่สุด จิตของดิฉันผ่องแผ้ว บริสุทธิ์เนื่องจากมีสติสัมปชัญญะที่บิบูรณ์นั่นเอง ดังพุทธพจน์ที่กล่าวว่า “จิตเป็นใหญ่ จิตเป็นประธาน ทุกสิ่งสำเร็จได้ด้วยจิต (ที่ฝึกดีแล้ว)”

หลังการฉายแสง หมอให้ดิฉันพัก 1 สัปดาห์ ให้ร่างกายสมบูรณ์เพื่อฝังแร่ต่อไป โดยฝังเพียงครั้งเดียว ใช้เวลา 10 ชั่วโมง ดิฉันอยากรู้ว่าฝังแร่เป็นอย่างไร ไม่มีใครบอกได้ (แม้แต่หมอ)
ในตอนเช้าตรู่พยาบาลจัดการทำความสะอาดร่างกาย เปลี่ยนเสื้อผ้า ใส่เตียงเข็นไปห้องผ่าตัดที่ตึกรังสีซึ่งไกลจากห้องพัก ที่ห้องผ่าตัด หมอฉีดยาชาที่หลัง เพื่อให้ส่วนบั้นเอวถึงเท้าหมดความรู้สึก และให้น้ำเกลือ 1 ขวด แล้วจึงนำเอาผ้าจำนวนมากอัดใส่เข้าไปในช่องคลอดเพื่อรองรับเครื่องมือที่เป็นโลหะ 3 อัน แต่ละอันมีลักษณะเป็นท่อกลวงตรงปลายเป็นเหมือนช้อนตักไอศกรีม แล้วตรึงเครื่องมือเหล่านี้ให้แน่น เคลื่อนที่ไม่ได้

จากนั้นเขายกตัวดิฉันใส่เตียงนอนพาไปเอกซเรย์ แล้วนำเข้าไปในห้องฝังแร่ซึ่งเย็นฉ่ำมาก ต้องขอผ้าห่มถึง 6 ผืน และผ้าคลุมศีรษะ เขาจับให้นอนหงาย ถ่างขา อยู่ในท่านั้นตลอด เมื่อได้เวลา เจ้าหน้าที่จะปล่อยแร่ซีเซียม (cesium) ซึ่งมีขนาดเท่าลูกประคำเล็ก ๆ ห้อยคอ ให้ไหลไปตามท่อ และไหลไปตามเครื่องมือเข้ามาอยู่ในร่างกายของดิฉัน มันจะให้กัมมันตภาพรังสี เมื่อใดที่ประตูห้องเปิดเพราะมีคนเข้ามา หรือเมื่อเสร็จสิ้นแล้ว แร่ซีเซียม ก็จะถูกดึงกลับเข้าที่เดิม เพื่อป้องกันมิให้คนอื่นได้รับกัมมันตภาพรังสีเหล่านั้น

ระหว่างนี้ดิฉันมีสติกำหนดรู้ทุกอย่างอย่างเป็นปกติ “เห็นหนอ-เย็นหนอ-ชาหนอ” และก็คิดเหิมใจว่าไม่มีอะไรนักหนา อย่างนี้สบายมาก ก็กำหนด “พองหนอ-ยุบหนอ” ก็หลับไป หลับไปนานเท่าใดไม่ทราบ มารู้สึกตัวตื่นเมื่อขาหายชา ผงะศีรษะอย่างแรง เจ็บปวดอย่างสุดขีดเหมือนกับถูกเสียบด้วยท่อนเหล็ก ไม่เคยเลย ในชีวิตจะเจ็บปวดมากเท่าครั้งนี้ สติหลุด กำหนดปวดหนอไม่ได้ จับพองยุบก็ไม่อยู่ ความรู้สึกสับสนว้าวุ่นใจเกิดขึ้นชั่วขณะ ต่อมา สติเริ่มดีขึ้นเล็กน้อย เมื่อกลับมากำหนด “สับสนหนอ ว้าวุ่นใจหนอ ไม่ทันหนอ” แล้วก็เอาตาและจิตไปตามดู ตามรู้ การไหลของน้ำเกลือ จากนั้นเลื่อนมือที่ว่างออกจากผ้าห่มยกขึ้น เอาตาและจิตตามดูตามรู้นิ้วมือที่กระดิกลงทีละนิ้ว แล้วลองจี้ไปที่ความเจ็บปวดตรง ๆ และกลับมากำหนดพอง-ยุบใหม่ ก็รู้สึกจิตใจดีขึ้น พอตั้งตัวได้บ้าง ทั้งทีความเจ็บปวดคงเหมือนเดิม

ขณะนั้นเสียงสามีดังขึ้น “เจ็บหรือเปล่า เจ็บหน่อยนะ พุทโธ พุธโธ เข้าไว้” ก็กำหนด “ยินหนอ ชักจะเริ่มโกรธแล้วหนอ พร้อมกับตะโกนออกไปว่า “พุทโธอะไรคะ พุทโธไม่อยู่ พองยุบก็ไม่อยู่ ขอยาแก้ปวดได้ไหม” เสียงตอบว่า “เดี๋ยวผมจะไปบอกหมอให้” สักประเดี๋ยว คุณหมอภิญโญก็ส่งเสียงเข้ามาว่า “คุณจำเนียร ตึงหน่อยนะ” ดิฉันก็ร้องออกไปว่า “ตึงอะไรคะ ตึงจนเจ็บ เจ็บจนบอกไม่ถูก” คุณหมอก็พูดเข้ามาอีก “เดี๋ยวผมจะเอายามาให้ จะเอายาฉีดหรือยากิน” ก็กำหนด “โกรธหนอ” (ตอนนี้โกรธจริง ๆ พูดอะไรก็ไม่รู้ ไม่เข้าหูเลย) จึงตะโกนด้วยเสียงเครียดว่า “อะไรก็ได้ค่ะ ที่ทำให้ดิฉันหายปวด เร็วด้วยนะคะ” เสียงก็ตอบมาว่า “เดี๋ยวผมจะเอายามาให้กิน อย่าเอายาฉีดเลย” ใจตอนนั้นรู้สึกรู้สึกเจ็บปวดและรำคาญเหลือหลาย สักครู่พยาบาลก็เปิดห้องเอายามาให้กิน กินยาเข้าไปแล้ว รู้สึกว่ามันลดความปวดไปประมาณ 1 ใน 10 เท่านั้น แล้วนี้เราจะต้องอยู่ในห้องนี้ด้วยความเจ็บปวดที่ทรมานมากเหลือเกินถึง 10 ชั่วโมงเชียวนะ ความคิดก็ผุดขึ้น “ตนแหละเป็นที่พึ่งแห่งตน ยามเจ็บป่วยใครก็ช่วยเราไม่ให้ทุกข์ ไม่ให้ปวด ไม่ให้ฟุ้งซ่านไม่ได้ เราต้องช่วยตนเอง”

ข้อมูลสื่อ

109-019
นิตยสารหมอชาวบ้าน 109
พฤษภาคม 2531
ธรรมโอสถ
พอ.(พิเศษ)ทองคำ ศรีโยธิน