หมายเหตุ
เรื่องคอพอกตอน 1 ฉบับที่แล้วหน้า 25 ซึ่งเป็นแผนภูมิคอพอก มีข้อผิดพลาด คือ ในกรอบสีเหลี่ยมที่เขียนว่า ถุงน้ำดี (ซีสต์) หรือเนื้องอกธรรมดา หรือมะเร็ง ที่ถูกต้องเป็น ถุงน้ำ (ซีสต์) หรือเนื้องอกธรรมดา หรือมะเร็ง
ตอนที่ 2 ทำไมคอพอก เป็นพิษ
ทีนี้ลองมาดูกันซิว่า คอพอกเป็นพิษนั้นคืออะไร ก็อย่างที่ว่าไว้แล้ว คอพอกเป็นพิษ คือ การเสียสมดุลย์ของต่อมธัยรอยด์ สาเหตุที่ทำให้ต่อมธัยรอยด์เสียสมดุลผิดธรรมดาไปอย่างนี้ ไม่ทราบแน่ชัด และ ไม่เกี่ยวข้องกับอาหารทะเล แต่มีเหตุปัจจัยอยู่ 2-3 อย่างที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคอพอกเป็นพิษ
อย่างแรก คือ เพศหญิง เพราะ โรคนี้เกิดในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ถึง 7-8 เท่า
อย่างที่สอง คือ กรรมพันธุ์ บางครอบครัวเป็นกันทั้งแม่ และลูก (สาว)
อีกอย่าง คือ ความเครียดทางจิตใจและมักเป็นประเภทที่เกิดเครียดขึ้นทันทีและรุนแรงสักหน่อยเคยมีคนไข้หลายคนเป็นคอพอกเป็นพิษรักษาจนหายดีแล้วเกิดไปทะเลาะกับสามีเข้าอย่างดุเดือด รุ่งขึ้นใจสั่นเหงื่อออกเต็มไปหมด ต่อมาไม่นานก็เริ่มเกิดอาการคอพอกเป็นพิษใหม่อีก
มีคนทดลองเจาะเลือดนักศึกษาที่กำลังเครียดเพราะดูหนังสือก่อนสอบวันสองวัน พบว่า ฮอร์โมนธัยรอยด์มีระดับสูงมากกว่าปกติ พอสอบเสร็จระดับฮอร์โมนนี้ก็ลดลงมาจนเป็นปกติทีนี้ถ้านักศึกษาคนไหนเกิดมีความโน้มเอียงที่จะเกิดคอพอกเป็นพิษอยู่แล้ว เช่นว่ามีกรรมพันธุ์ของโรคนี้ พอมีความเครียดอย่างว่ามาเป็นปัจจัยชักนำ ต่อมธัยรอยด์เลยถือโอกาสประกาศอิสรภาพสร้างฮอร์โมนกันใหญ่จนกลายเป็นคอพอกเป็นพิษขึ้น
เพราะฉะนั้นเวลาเป็นโรคนี้หมอถึงต้องให้ยากล่อมประสาทช่วย (ดูเรื่องการรักษาคอพอกเป็นพิษ)
คอพอกเป็นพิษมีอาการอย่างไร
ต่อมธัยรอยด์ที่โตในโรคคอพอกเป็นพิษนี้ ถ้าคลำดูจะหยุ่น ไม่แข็งและที่ฝังได้ยินเสียงฟู่ๆ เป็นเพราะมีเลือดไปเลี้ยงที่ต่อมนี้มากกว่าปกติ
อาการเป็นพิษเกิดจาก ฮอร์โมน ไปกระตุ้นอวัยวะต่างๆ ให้ทำงานมากขึ้น ลองดูตารางให้คะแนนความเป็นพิษ (ตอนที่ 1 ฉบับที่แล้ว) ประกอบ กระตุ้นหัวใจเห็นจะมากที่สุด ก็เลยมีอาการใจสั่น หัวใจเต้นเร็วและแรงจนรู้สึกว่าหัวใจมากระแทกที่หน้าอกดังตุ๊บๆ คลำชีพจรได้เร็วและบางครั้งเต้นไม่สม่ำเสมอ เหนื่อยง่าย อาการทางหัวใจนี้มักจะเกิดขณะที่พักสบายๆ หรือถ้าออกแรงนิดเดียวก็จะเกิดอาการเหล่านี้แล้ว กระตุ้นเซลล์ของร่างกายโดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนที่เป็นโรงงานสร้างพลังงานให้เซลล์ทำงาน พอเซลล์ถูกกระตุ้นมากเข้ามันก็จะสร้างพลังงานออกมามากมายจนเกินพอ จึงเปลี่ยนเป็นความร้อนออกไปจากร่างกายมากขึ้น ทำให้เหงื่อออกมาก ชอบอากาศเย็นๆ ที่มือมักจะอุ่นๆ ชื้นๆ
เมื่อมีพลังงานเหลือเฟือเลยทำให้เป็นคนอยู่ไม่สุข ชอบทำโน่นทำนี่ พูดเร็ว บางทีดู เป็นคนหลุกหลิก ลอกแลก เรียกว่า เหนื่อยแล้วยังไม่ยอมหยุด
ในตำรายังบอกอีกว่าพลังงานทางเพศก็เพิ่มขึ้นด้วย บางคนจะมีความต้องการทางเพศเพิ่มขึ้น แต่จริงๆ แล้วคนไข้ส่วนใหญ่จะบอกว่าน้อยลง
เมื่อสร้างพลังงานมากก็แน่นอนจะต้องใช้วัตถุดิบมากด้วย วัตถุดิบของร่างกายก็เห็นจะเป็นอาหารที่กินเข้าไปและที่เก็บสำรองไว้เป็นไขมันหรือกล้ามเนื้อนั่นเอง ส่วนใหญ่แล้วได้เข้าไปเท่าไร หรือมีอยู่เท่าไรก็มักจะไม่ค่อยพอใช้ ก็เลยมีอาการกินจุแต่กลับผอมลง คนที่เป็นมากๆ น้ำหนักลดลง ตั้ง 20 - 30 กิโลกรัมก็มี
ฮอร์โมนธัยรอยด์ยังกระตุ้นประสาททำให้มีอาการเหมือนคนเป็นโรคประสาท กระตุ้นลำไส้ทำให้ถ่ายอุจจาระบ่อยวันละหลายๆ ครั้ง และอุจจาระมีลักษณะเละๆ ไม่ค่อยเป็นก้อน
อาการทางกล้ามเนื้อก็มีด้วย คือกล้ามเนื้อต้นแขนต้นขามักจะอ่อนแรง บางทีก็เป็นมากๆ เข้า พอนั่งยองๆ ก็ลุกไม่ไหว หรือก้าวขึ้นบันไดหรือโหนรถเมล์ไม่ไหว
ประจำเดือนบางทีก็มาน้อยหรือมาห่างออกไป
อาการที่สำคัญอีกอย่างคือ ลูกตาอาจโปนถลนออกมา หรือหนังตาบนมันหดรั้งขึ้นไป ทำให้เห็นตาขาวข้างบนชัด (คนปกติที่ลืมตาจะไม่เห็นตาขาวข้างบนเพราะเปลือกตาบนจะปิดเอาไว้) เลยดูคล้ายๆ ตาจ้องดูอะไรอยู่ตลอดเวลาคือ เป็นคน “ตาดุ” บางคนมีปัญหามากเพราะเวลามองหน้าใคร ก็ถูกกล่าหาว่าไปจ้องมองเขาอยู่เรื่อง (ดูรูปที่ 1)
รักษากันอย่างไรดี
วิธีรักษาคอพอกเป็นพิษ มี 3 วิธี
วิธีแรก คือ ให้กินยา ที่ใช้บ่อยมีอยู่ 2 ตัว คือ ทาปาโซล เม็ดละ 5 มิลลิกรัม กับโพรพิลไธโดยูเรซิล เม็ดละ 50 มิลลิกรัม ยาทั้งสองตัวนี้ไม่แตกต่างกันไม่วาผลดีหรือผลเสีย และให้กินเหมือนกันคือ เริ่มต้นวันละ 6 เม็ด ( 2 เม็ด 3 เวลาหลังอาหาร) จนกว่าจะมีอาการดีขึ้น (เช่น น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นหรือชีพจรช้าลง หายจากอาการใจสั่น) จึงค่อยๆ ลดยาช้าๆ ทีละ 1-2 เม็ดจนกว่าจะเหลือวันละ 1-3 เม็ด แล้วกินอย่างนี้เรื่อยไปเพื่อคุมไม่ให้อาการเป็นพิษกำเริบขึ้น กินยาอยู่นานประมาณปีครึ่งก็ควรหยุดยาได้ หลังจากหยุดยาแล้ว ส่วนใหญ่มักหายขาด แต่ส่วนน้อยอาจกลับมาเป็นคอพอกเป็นพิษได้อีกต้องรักษากันใหม่ บางคนกินยาอยู่วันละเม็ดเดียวอยู่ได้สบาย แต่หยุดยาเมื่อไรมีอาการเป็นพิษอีก ก็เลยต้องกินยาเป็นประจำก็มี
แต่ส่วนใหญ่ถ้าโรคกลับมาเป็นอีกหลังหยุดยา หมอเขามักจะแนะนำให้เปลี่ยนวิธีการรักษาเป็นผ่าตัด หรือกินน้ำแร่ เพื่อจะได้หายขาดไปเลย ยกเว้นบางคนที่ผ่าตัดหรือกินน้ำแร่ไม่ได้ หรือไม่อยากผ่าตัดก็ต้องกินยาต่อไปเรื่อยๆ
อันนี้ก็เป็นข้อเสียที่สำคัญของวิธีรักษาด้วยยากิน คือ นอกจากต้องใช้เวลารักษาตั้งนานกว่าจะหายแล้วยังไม่หายขาด
การรักษาด้วยยากิน ถ้าเลือกใช้กับคนไข้ที่คอพอกโตชนิดผิวเรียบๆ ไม่มีก้อนเนื้อหลายๆ ก้อนและโตไม่มากนักมักได้ผลดีและหายขาด สำหรับคนไข้อายุน้อยๆ หรือตั้งท้องก็ใช้ได้
ข้อเสียของยากิน
มีอยู่ 3 อย่าง
อย่างแรก ที่ต้องระวังมากคือ ยาพวกนี้มีผลทำให้เม็ดเลือดขาวลดจำนวนลง ถึงจะพบไม่ค่อยบ่อยนัก คือประมาณร้อยละ 0.5 ของคนไข้ที่กินยาพวกนี้เท่านั้น แต่ต้องระวังเพราะถ้าเกิดมีโรคติดเชื้อเข้าแทรกอาจถึงตายได้ทุกเวลา วิธีระวัง คือ เมื่อมีอาการเจ็บคอร่วมกับมีไข้ หรือมีแผลในปากหรือมีต่อมน้ำเหลืองเป็นเม็ดข้างๆ คอโตและเจ็บ ให้รีบหยุดยากินทันทีแล้วไปหาหมอเพื่อตรวจเลือดนับเม็ดเลือดขาวดูว่าผิดปกติหรือไม่ ถ้ามันลดต่ำลงมาก ต้องหยุดกินยาต่อไป ส่วนใหญ่เม็ดเลือดขาวจะเพิ่มจนปกติได้เอง แต่ต้องรีบรักษาโรคติดเชื้อย่างเต็มที่ในขณะนั้น และห้ามกินยาพวกนี้เด็ดขาดตลอดชีวิต เพราะฉะนั้นต้องรักษาคอพอกเป็นพิษด้วยวิธีการอื่นต่อไป
อย่างที่สอง คือ อาจมีผื่นคันตามผิวหนัง พวกนี้มักเป็นไม่รุนแรงมากนัก อาจไม่ต้องเปลี่ยนยาแต่กินยาแก้แพ้ เช่น คลอร์เฟนิรามีนครั้งละ 1 เม็ด ( 4 มิลลิกรัม ) วันละ 2 ครั้ง หรือ ถ้าแพ้ยาตัวหนึ่งมากก็เปลี่ยนไปใช้อีกตัวหนึ่งก็ได้
อย่างสุดท้ายคือ กินยามากไปจนผลกลับตรงกันข้ามคือ ฮอร์โมนที่มากไปจะโดยฤทธิ์ยารักษาเสียจนมีน้อยเกินไปทำให้ร่างกายขาดฮอร์โมนธัยรอยด์มักจะมีอาการเตือนนำมาก่อน เช่น ผมที่ไม่เคยร่วงจะร่วงมาก ต่อมธัยรอยด์โตขึ้นกว่าเก่าอีก รวมทั้งอาจมีอาการเฉื่อยชา ท้องผูก ตะคริวกินบ่อยๆ บวมฉุผิวหนังแห้งไม่มีเหงื่อออก วิธีแก้ไม่ยากคือ ลดยาลงเท่านั้นเอง ปรับขนาดยาให้พอเหมาะก็จะสบายขึ้นหายจากอาการที่ว่านั้นหมด
วิธีที่สอง คือ การผ่าตัดเอาต่อมธัยรอยด์ออกบางส่วน อันนี้ได้ผลเร็วและชะวัดกว่ากินยาแต่ก็มีผลเสียเหมือนกัน อยู่สองสามอย่างคือ อาจผ่าตัดเอาต่อมออกมากไป ส่วนที่เหลืออยู่สร้างฮอร์โมนไม่พอใช้เลยเกิดการขาดฮอร์โมนธัยรอยด์ขึ้น ก็มีอาการเหมือนเวลากินยารักษามากไปอย่างที่กล่าวมาแล้ว แต่เวลาเกิดหลังผ่าตัดต้องปล่อยเลยตามเลยเพราะไปตัดต่อมออกทิ้งไปแล้วจะเอาคืนอีกไม่ได้ เพราะฉะนั้นต้องกินฮอร์โมนธัยรอยด์ทดแทนกันตลอดชีวิต
ข้อเสียของการผ่าตัด
มี 2 อย่าง คือ
อาจไปตัดเอาต่อมพาราธัยรอยด์ซึ่งอยู่ข้างหลังต่อมธัยรอยด์ (ดูรูปที่ 2) ออกไปด้วย เพราะต่อมทั้งสองนี้อยู่ติดกันมากแทบจะรวมเป็นเนื้อเดียวกันถ้าตัดเอาต่อมนี้ออกด้วยโดยไม่ได้ตั้งใจจะเกิดอาการตะคริวที่มือและอาการอย่างอื่นอีกหลายอย่าง ต้องกินแคลเซียมและวิตามินดีรักษากันไปตลอดชีวิตเหมือนกัน
ผลเสียอย่างสุดท้ายคือ อาจผ่าตัดไปโดนเส้นประสาทของกล่องเสียง เข้าทำให้เสียงแหบหลังผ่าตัด อันนี้ไม่มีทางรักษาเลย
การผ่าตัดรักษาคอพอกเป็นพิษเหมาะที่จะใช้ในรายที่คอพอกโตมากๆ หรือโตเป็นก้อนหลายๆ ก้อน หรือคอพอกกดหลอดอาหารและหลอดลม ทำให้กลืนอาหารลำบากหรือหายใจลำบากและต้องกินยารักษา (อย่างวิธีแรก) ชั่วคราวให้ร่างกายแข็งแรงและเป็นปกติเสียก่อนจึงลงมือผ่าตัดได้
วิธีที่สาม คือ "กินน้ำแร่" วิธีนี้เท่ากับการผ่าตัดต่อมธัยรอยด์โดยไม่ต้องลงมีด เพราะน้ำแร่ที่ว่าคือ ไอโอดีนกัมมันตรังสี (ไอโอดีน 131) ลักษณะเป็นน้ำ (บางแห่งทำเป็นแค็ปซูล) เนื่องจากไอโอดีนพอดื่มเข้าไปในร่างกายจึงไปสะสมอยู่ที่ต่อมธัยรอยด์มาก และเนื่องจากเป็นไอโอดีนชนิดที่มีกัมมันตภาพรังสีจึงปล่อยรังสีออกมาทำลายต่อมธัยรอยด์ให้หายจากเป็นพิษ ก็เลยเหมือนผ่าตัด เพราะต่อมธัยรอยด์ที่โดนรังสีจะหมดสภาพต่อมต่อไปไม่ทำหน้าที่อะไร
ข้อเสียของการกินน้ำแร่
ข้อเสียที่สำคัญของวิธีรักษาด้วยน้ำแร่ คือ กะขนาดที่ให้กินลำบาก ถ้าให้มากไปก็จะเกิดการขาดฮอร์โมนธัยรอยด์อย่างถาวรตลอดชีวิตเหมือนหลังผ่าตัด
ถ้าน้อยไปก็ไม่หายขาดต้องกินซ้ำอีก
ส่วนเรื่องที่ว่าไอโอดีนรังสีที่ใช้รักษาคอพอกเป็นพิษจะทำให้เกิดมะเร็งที่ต่อมธัยรอยด์หรือที่อื่นหรือไม่หรือทำให้เป็นหมันได้หรือไม่นั้น
ฝรั่งเขาศึกษากันมา 30-40 ปีแล้ว หลังจากเริ่มทดลองใช้ไอโอดีนชนิดนี้รักษากันมาตลอดในผู้ใหญ่ เขาพบว่าไม่มีอันตรายอย่างว่าเลย
ส่วนใหญ่การรักษาด้วยน้ำแร่จะได้ผลช้ากว่าการผ่าตัดรักษา คือ ประมาณ 1 เดือนถึง 1 เดือนครึ่ง หลังจากกินเข้าไปจึงจะเริ่มได้ผล ระหว่าที่รอผลอยู่จึงต้องให้ยากินยารักษาด้วยวิธีแรกไปชั่วคราวก่อน
วิธีรักษาด้วย “น้ำแร่” นี้ ควรใช้ในผู้ใหญ่โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอายุมากๆ ยิ่งดี
หมอเขาจะไม่ใช้ในคนไข้ที่กำลังตั้งครรภ์เด็ดขาด เพราะมีผลต่อเด็กในท้องได้
นอกจากการรักษาทั้ง 3 วิธีนี้แล้วนั้น ไม่ว่าจะรักษาด้วยยากินแก้คอพอกเป็นพิษหรือเตตรียมผ่าตัดหรือใช้น้ำแร่ก็ตาม หมออาจใช้ยากินอย่างอื่นประกอบไปด้วย และชนิดที่ให้กันบ่อยๆ ก็มียากล่อมประสาท เพราะมักมีอาการประสาทเครียดอยู่ด้วย อาจให้ยาลดอัตราการเต้นของหัวใจถ้าหัวใจเต้นเร็วมาก ยาบำรุง เช่น วิตามินบีรวม จะมีประโยชน์ในระยะแรกๆ ของการรักษา
ที่ว่ามาทั้งหมดข้างต้นก็เป็นเรื่องคอพอกเป็นพิษหรือตัดสินไม่ได้ว่าเป็นพิษหรือไม่
- อ่าน 7,002 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้