• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

มะเขือเทศ แอปเปิล แห่งความรัก

เมื่อพูดถึงมะเขือเทศ เราๆ ท่านๆ ทั้งหลายก็คงจะรู้จักดี เพราะมันเป็นอาหารในครัวชนิดหนึ่ง ที่เรากินกันเป็นประจำแทบทุกวัน และแทบทุกครัวเรือน

มะเขือเทศ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Lycopersicum esculentum Mill วงศ์ Solanaceae

ประวัติย่อของมะเขือเทศ
ถิ่นกำเนิดเดิมของมะเขือเทศคือ ประเทศเปรูและเม็กซิโก เดิมมะเขือเทศเป็นพืชที่เจริญเติบโตในป่าเขา แม้มะเขือเทศจะเป็นผลไม้ที่ดูจากภายนอกแล้วสวยงาม ทำให้คนชอบและหลงใหล แต่ก็ไม่มีใครกล้าพอที่จะลิ้มรสมัน เพราะคิดว่า เป็นผลไม้มีพิษ

ในราวกลางศตวรรษที่ 15 ชาวสเปญและโปรตุเกส ได้นำเอามะเขือเทศจากเปรูไปปลูกในยุโรป หลังจากนั้นก็มีการนำไปปลูกยังประเทศอังกฤษ ฝรั่งเศล และเยอรมัน ในระยะแรกมีการนำมาปลูกเป็นไม้ประดับในสวน

ต่อมาพระสวามีของพระนางอลิซาเบธได้ไปท่องเที่ยวในอเมริกาใต้ ไปพบ มะเขือเทศเข้า จึงได้นำเอามะเขือเทศกลับมายังอังกฤษ เพื่อเป็นของขวัญแก่พระนางอลิซาเบท ทั้งนี้เพื่อเป็นการแสดงความรักที่มีต่อพระนาง

หลังจากนั้นเป็นต้นมาจึงเป็นวัฒนธรรมตกทอดมายังคนรุ่นหลัง ในบรรดาหนุ่มสาวทั้งหลายที่รักกัน การนำเอามะเขือเทศไปให้กับคนรักของคนนั้นเป็นสัญลักษณ์แสดงความรักที่มีต่อกัน และด้วยเหตุนี้ชาวยุโรปจึงเรียกมะเขือเทศว่า “แอปเปิลแห่งความรัก”

มะเขือเทศได้ถูกนำมาปลูกเป็นไม้ประดับในสวนอยู่นานร่วม 200 ปี โดยไม่มีใครกล้านำมันมากินเลย จนกระทั่งในปลายศตวรรษที่ 18 มีนักวาดภาพชาวฝรั่งเศล ผู้หนึ่งนึกอยากลองลิ้มรสชาติของมเขือเทศ เขาคิดอยู่ในใจว่า......
“ผลไม้ที่สวยงามเช่นนี้ ลักษณะก็สวยดี ว่าตามเหตุแล้ว คงจะน่ากินไม่น้อย”

เขาจึงตัดสินใจลองกินมะเขือเทศดู หลังจากกินแล้ว เขาก็แต่ตัวอย่างดี แล้วนอนรอความตายที่จะย่างกรายเข้ามา แต่หลังจากนั้นครึ่งวัน หนึ่งวันผ่านไป ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ลองอยู่หลายครั้ง จนแน่ใจว่าไม่มีพิษ เมื่อข่าวออกไป ประชาชนทั่วไปก็เริ่มกินตามบ้าง มะเขือเทศเลยกลายเป็นอาหารในครัวตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และในปี ค.ศ.1811 ก็มีการบันทึกลงในพจนานุกรมทางพฤกษศาสตร์ เป็นครั้งแรก

สำหรับสถิติที่บันทึกไว้ มะเขือเทศที่ใหญ่ที่สุดซึ่งสหรัฐอเมริกาสามารถปลูกได้นั้น หนักผลละ ประมาณ 3.5 กิโลกรัม ในญี่ปุ่น มีการปลูกมะเขือเทศในแปลงทดลองแห่งหนึ่ง ปรากฏว่าสามารถปลูกต้นมะเขือเทศที่ใหญ่ที่สุดได้สูงถึง 3 เมตร ลำต้นมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 15 เซนติเมตร ให้ผลได้ครั้งละ 3,000 - 5,000 ผล สำหรับต้นมะเขือเทศที่เล็กที่สุดมีอยู่ในประเทศเปรู มีลำต้นสูงเพียง 7 เซนติเมตร หนัง 7 กรัม ปลูกได้ในกระถางดอกไม้

สารที่พบในมะเขือเทศ
ในมะเขือเทศมีแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์แก่ร่างกายมากมาย เช่น มีโปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรตในจำนวนเล็กน้อย มีแคลเซี่ยม, ฟอสฟอรัส, เหล็ก, สารคาโรทีน, กรดนิโคตินิค, และยังมีวิตามินเอ และบีหนึ่ง บีสอง และวิตามินซี นอกจากนี้ยังมีกรดอ่อนซึ่งเป็นธรรมชาติ เช่น กรดซิตริค และมาลิค เป็นต้น

สำหรับกรดโคตินิค ในมะเขือเทศนั้นจะมีมากที่สุดในบรรดาผลไม้ชนิดต่างๆ ปริมาณของวิตามิน ซี ในมะเขือเทศจะมากกว่าแอปเปิล 2.5 เท่า , กล้วยหอม 3 เท่า

โดยปกติ วิตามินซีในผักหลังจากต้มเกิน 3 นาทีจะมีการสูญเสียถึงร้อยละ 30 แต่สำหรับมะเขือเทศนั้น แม้จะต้มจนสุก ปริมาณของวิตามินซีที่สูญเสียก็ยังน้อยกว่า ทั้งนี้เพราะมะเขือเทศมีรสเปรี้ยวและกรดเปรี้ยวสามารถคุ้มครองการสูญเสียของวิตามินซีได้

จากการคำนวณพบว่า หากท่านกินมะเขือเทศวันละ 2-3 ผล ปริมาณเกลือแร่วิตามินที่มีอยู่ในมะเขือเทศก็จะพอเพียงกับความต้องการของร่างกายในวันหนึ่งๆ

ประโยชน์ของมะเขือเทศ

การที่เราสามารถนำมะเขือเทศมาใช้เป็นอาหารสมุนไพรได้ เพราะมะเขือเทศมีสารต่างๆ ที่มีสรรพคุณดังนี้

กรดนิโคตินิค ช่วยป้องกันรักษาผิวหนังให้เยื่อบุกระเพาะและลำไส้ทำงานเป็นปกติ
วิตามิน-ซี ซึ่งมีสูงในมะเขือเทศ รักษาเหงือกและฟัน และโรคเลือดออกตามไรฟัน (ลักปิดลักเปิด) เลือดกำเดาออก และช่วยป้องกันหลอดเลือดต่างๆ
วิตามิน-เอ ทำให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่น รักษาโรคตาแห้ง ตาฟาง และช่วยให้กระดูกเติบโตเป็นปกติ
กรดมาลิคและกรดซิตริก จะช่วยน้ำย่อยในกระเพาะอาหารย่อยอาหารพวกไขมัน เมื่อกินของมัน มีอาการเลี่ยน ให้กินมะเขือเทศ เพราะนอกจากจะช่วยย่อยไขมันแล้ว ยังสามารถป้องกันอาการท้องอืด อาหารไม่ย่อยอีกด้วย

ประโยชน์ของมะเขือเทศในทรรศนะจีน
มะเขือเทศมีรสเปรี้ยวหวาน รสเย็นเล็กน้อย (เป็นยิน) มีสรรพคุณดับร้อนถอนพิษสงบตับ ทำให้เลือดเย็น แก้กระหายน้ำ ใช้รักษาโรคความด้นโลหิตสูง เลือดออกตามไรฟัน อาการคอแห้ง ปากขม เป็นต้น
1. เลือดออกตามไรฟัน ให้กินมะเขือเทศต่างผลไม้ เป็นเวลาติดต่อกันประมาณ 2 สัปดาห์ อาการดังกล่าวก็จะหายไป
2. อาหารไม่ย่อย ใช้มะเขือเทศคั้นน้ำ ครั้งละ ประมาณครึ่งแก้ว ดื่มวันละ 2-3 ครั้ง
3. ปากเป็นแผล ใช้น้ำคั้นมะเขือเทศ อมครั้งละ 3-45 นาที วันละหลายๆ ครั้ง
4. เป็นไข้กระหายน้ำ ใช้น้ำคั้นมะเขือเทศและน้ำอ้อยอย่างละเท่าๆ กัน ผสมรวมดื่มแทนน้ำ
5. ป้องกันโรคหวัดในฤดูร้อน ใช้มะเขือเทศที่ล้างสะอาดแล้ว หั่นเป็นแผ่นๆ ต้มน้ำแล้วดื่มต่างน้ำจะช่วยป้องกันโรคหวัดได้
6. ความดันโลหิตสูง หลังตื่นนอนแปรงฟันแล้วตอนท้องว่างให้กินมะเขือเทศ 1-2 ผล ทุกวัน เป็นเวลา 15 วัน ( 1 ช่วงของการรักษา ) ถ้ายังไม่หายให้กินต่อไปอีก 15 วัน

หมายเหตุ

ประโยชน์ของมะเขือเทศที่นำมาใช้เป็นสมุนไพรรักษาอาการโรคนี้ เป็นการศึกษาของประเทศจีนซึ่งอาจจะต้องนำมาดัดแปลง ทดลองปฏิบัติ ตรวจสอบ เพื่อพิสูจน์ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของประเทศไทยของเราอีก

หากท่านผู้อ่านท่านใดได้เคยใช้มะเขือเทศในการรักษาอาการหรือโรคใดและได้ผล กรุณาแจ้งมายัง “หมอชาวบ้าน” เพื่อรวบรวมไว้เป็นข้อมูลศึกษาและเผยแพร่ให้เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมต่อไป

 

ข้อมูลสื่อ

58-010
นิตยสารหมอชาวบ้าน 58
กุมภาพันธ์ 2527
อาหารสมุนไพร
วิทิต วัณนาวิบูล