• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

มะเร็งปากมดลูก

ในปัจจุบัน มะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งที่พบได้มากเป็นอันดับหนึ่งของมะเร็งในผู้หญิงไทย และมีปัญหาในด้านการรักษามากทั้งๆ ที่มะเร็งชนิดนี้ สามารถตรวจพบในระยะแรกเริ่มด้วยวิธีการที่ไม่ยุ่งยาก และสามารถรักษาให้หายขาด….โรคนี้เป็นอย่างไร ขอเชิญอ่านรายละเอียดได้จากบทสนทนากับ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้ คือ ศาสตราจารย์แพทย์หญิงวิไล เบญจกาญจน์ หัวหน้าภาควิชาสูตินรีเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี และผู้ช่วยศาสตราจารย์นายแพทย์สมเกียรติ ศรีสุพรรณดิฐ แห่งภาควิชาสูตินรีเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี

 

                                    

 

 

®ใครบ้างที่อาจเป็นมะเร็งปากมดลูก
แปลกมากที่โรคนี้มันเกี่ยวข้องกับเศรษฐฐานะ คนยิ่งจนยิ่งมีโอกาสเป็นมากขึ้น พูดง่ายๆ ก็คือเป็นมะเร็งของคนจน เพราะคนจนส่วนมากจะมีลูกมากแต่งงานเมื่ออายุยังน้อย หรืออาจมีสามีหลายคน
โรคนี้เกี่ยวกับความสำส่อนทางเพศมากที่สุด หญิงที่มีเพศสัมพันธ์บ่อยหรือเปลี่ยนคู่บ่อย จะมีโอกาสเป็นโรคนี้มาก บางคนจึงว่า มะเร็งปากมดลูกเป็นกามโรคชนิดหนึ่งด้วยคือ ถ้าไม่มีการร่วมเพศ ก็ไม่เป็นมะเร็งปากมดลูก

 

® ถ้าเช่นนั้น หญิงโสเภณีหรือหญิงบริการก็มีโอกาสเป็นมะเร็งปากมดลูกมากกว่าผู้หญิงทั่วไปน่ะซิครับ
ครับ ข้อนี้มีการบันทึกอยู่ในตำราแพทย์อย่างแน่ชัดแล้ว

 

®แล้วหญิงที่มีลูกมากล่ะ
ก็มีโอกาสเป็นโรคนี้มากกว่าหญิงที่มีลูกน้อย

 

®หญิงสาวที่ยังไม่แต่งงานจะเป็นโรคนี้ได้หรือไม่
เป็นได้ แต่เป็นอีกชนิดหนึ่งซึ่งพบน้อยและไม่เกี่ยวข้องกับการร่วมเพศ

ปกติ มะเร็งปากมดลูกมี 2 ชนิด ชนิดที่เรารู้จักกันโดยทั่วไปและพบบ่อยที่สุดนั้นเกี่ยวกันกับความสำส่อนทางเพศมากเป็นชนิดที่เรากำลังพูดคุยกันนี่แหละครับ

 

®ว่ากันว่า คนอิสลามที่ผู้ชายนิยมขริบปลายอวัยวะเพศตามประเพณีนั้น ผู้หญิงเขาเป็นโรคนี้กันน้อย จริงไหม
จริง แต่บางคนก็ไม่เชื่อว่าเป็นเพราะการขลิบแต่เพียงอย่างเดียว แต่มีสาเหตุจากข้อห้ามทางศาสนาเขาที่ห้ามไม่ให้มีการสำส่อนทางเพศ และห้ามมิให้มีการร่วมเพศระหว่างที่ตั้งท้องและหลังคลอด

 

® ช่วงอายุเท่าไรเป็นมะเร็งชนิดนี้ได้มากที่สุด
พบบ่อยที่สุดก็ในช่วงอายุ 40-60 ปี คือในระยะใกล้วัยหมดประจำเดือนและระยะหลังวัยหมดประจำเดือนใหม่ๆ อายุที่น้อยที่สุดที่พบ ถ้าเป็นชนิดที่ลุกลามมีอาการแล้วคืออายุ 20 ปี ถ้าชนิดระยะแรกเริ่มที่ยังไม่มีอาการก็อายุ 18-19 ปี แต่ก็พบได้ไม่บ่อยนัก

 

 

 
®สาเหตุเกิดจากอะไร
ยังไม่พบสาเหตุที่แน่ชัด แต่สันนิษฐานว่าเกิดจากเรื่องเพศสัมพันธ์ คือมีความสัมพันธ์ทางเพศจักเกินไป หรือมีลูกมาก


® เป็นกรรมพันธุ์หรือเป็นโรคติดต่อหรือไม่
โรคนี้ยังไม่ยืืนยันว่าเป็นกรรมพันธุ์ และไม่มีการติดต่อไปยังคนอื่น เหมือนโรคติดต่ออื่นๆ


®จะรู้ได้ไงว่าเป็นมะเร็งปากมดลูก
ถ้าเป็นระยะแรกเริ่มที่ยังไม่ลุกลามออกไป ที่หมอเรียกว่ามะเร็งระยะแรกเริ่ม (Carcinoma in situ)นั้น คนไข้จะไม่มีอาการอะไรเลยทั้งสิ้น ตรวจพบโดยวิธีตรวจช่องคลอดหามะเร็งระยะแรกเริ่มที่เรียกกันว่า การตรวจแป๊ปสเมียร์ (Pap smear)

ส่วนอาการแรกๆ ที่ชาวบ้านสังเกตได้เองซึ่งเป็นอาการของระยะลุกลามก็คือ อาการตกขาวหรือการมีเลือดออกทางช่องคลอดหลังร่วมเพศใหม่ๆ หรืมีเลือดออกกกะปริดกะปรอย           
     

 

®ตกขาวในโรคมะเร็งแยกจากตกขาวปกติอย่างไร
ตกขาวปกตินั้น ไม่มีอาการออกเล็กน้อย ไม่ถึงกับต้องใช้ผ้าอนามัยและถึงกับเปรอะเปื้อนมักไม่คัน ไม่มีกลิ่นและมีสีขาวใสๆ

แต่ถ้าตกขาวเป็นสีช้ำเลือดช้ำหนอง มีกลิ่นเหม็นหรือมีอาการแสบขัดปวดก็ถือว่าเป็นตกขาวผิดปกติ อาจเป็นมะเร็งหรือเป็นจากสาเหตุอื่นก็ได้ ควรไปหาหมอ

มะเร็งปากมดลูกเริ่มแรกมีเลือดออกหลังร่วมเพศ หรือมีเลือดออกกะปริดกะปรอย ต่อไปเมื่อเป็นมากขึ้นก็มีอาการอักเสบแทรกซ้อน ทำให้มีตกขาวออกมาเรื่อยๆ ตกขาวเหมือนเป็นหนองสีเหลืองและมีเลือดปน กินยาใช้ยาอะไรก็ไม่ดีขึ้น มีกลิ่นเหม็นจัด จนคนที่อยู่ใกล้ๆ ก็ได้กลิ่นด้วย

 

 

 
® อาการอื่นๆ ของโรคนี้
ได้แก่ ตกเลือด บางคนไปหาหมอเมื่อมีอาการตกเลือดมากจนเป็นลมช็อคหรือถ้าเป็นในระยะท้ายๆก็อาจมีอาการปวดที่ท้องน้ำหนักลด ไม่มีแรง บวม หรือกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ซึ่งเกือบเป็นระยะสุดท้ายแล้ว
จึงอยากย้ำว่า สิ่งใดที่ผิดไปจากที่เราเคยมีอยู่เป็นประจำแล้วละก้อ อย่าได้นิ่งนอนใจ เพราะโรคนี้เป็นระยะแรกๆ ก่อนมีอาการและรีบรักษาก็มีโอกาสหายได้


®จะตรวจรู้ก่อนมีอาการได้อย่างไร
มีอยู่ทางเดียวคือ หาหมอให้ช่วยตรวจช่องคลอดเพื่อค้นหามะเร็งในระยะแรกเริ่ม ที่เรียกว่า การตรวจแป๊ปสเมียร์

ได้มีการศึกษากันแล้ว พบว่ามะเร็งปากมดลูกในระยะเริ่มแรก (คือก่อนมีอาการ) กว่าจะกลายเป็นระยะลุกลามจนมีอาการ แล้วนั้นใช้เวลาถึง 5-15 ปี ไม่ได้ลามปุบปับเหมือนไฟลามทุ่ง คิดๆ ดูแล้วผู้หญิงเรามีเวลา 5-15 ปีสำหรับตรวจโรคนี้และรักษาให้หายได้ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ผู้ป่วยส่วนมากพลาดโอกาสที่มาตรวจและรักษาแต่เนิ่นๆ

ผู้ป่วยส่วนมากจะมาหาหมอเมื่อมีอาการตกขาวและตกเลือดจนนอง ซึ่งเป็นระยะที่ลุกลามแล้ว

 

® ควรตรวจหามะเร็งปากมดลูกระยะเริ่มแรกทุกคนไหม
อันที่จริงผู้หญิงทุกคนควรจะได้รับการตรวจเมื่อมีความสัมพันธ์ทางเพศแล้ว แต่เราจะรณรงค์ให้ผู้หญิงกว่า 10 ล้านคนขึ้น ไปมาตรวจนั้น รัฐคงไม่มีทางที่จะบริการได้ ดังนั้นจึงขอพูดว่า บุคคลที่ควรอย่างยิ่งที่จะต้องตรวจดีกว่าคือ พวกที่มีอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้สูง เช่นพวกที่มีความสัมพันธ์ทางเพศตั้งแต่อายุยังน้อย พวกที่มีลูก 2-3 คนขึ้นไป พวกที่มีความสำส่อนทางเพศ พวกที่มีอาชีพเป็นหญิงบริการ พวกที่มีการอักเสบของปากมดลูกตกขาว เป็นๆ หายๆ เรื้อรัง


® ควรตรวจทุกปีไหม
สมัยก่อนแนะนำให้ตรวจทุกปี แต่เดี๋ยวนี้แม้แต่ในต่างประเทศก็เห็นแล้วว่าอาจไม่ตรวจทุกปี นอกจากพวกที่มีอัตราเสี่ยงสูง

พวกที่ไม่เสี่ยงมากหรือพวกที่เสี่ยงมากที่คิดว่าดีพอแล้วคือ ตรวจ 2 ปีติดกัน (ปีละครั้ง) แล้วเป็นปกติดีก็เว้นไปเป็น 3-4 ปีตรวจครั้งก็ได้

 

®การรักษามีกี่วิธี
มี 2 วิธีคือ การผ่าตัด กับ การใช้รังสีรักษา (ฝังแร่กับฉายแสง)
จะมีวิธีไหน ขึ้นกับระยะของโรค
ถ้าเป็น ระยะ 0 คือระยะแรกเริ่มก่อนมีอาการใช้วิธีผ่าตัดเพียงอย่างเดียว สามารถหายขาดได้เกือบร้อยละ 100
ถ้าเป็น ระยะที่ 1 ใช้การผ่าตัดหรือฝังแร่และฉายแสง
ถ้าเป็น ระยะที่ 2, 3 และ 4 ใช้วิธีฉายแสง แล้วตามด้วยการฝังแร่

 

®โรคนี้สามารถรักษาให้หายขาดไหม
หายขาดได้ ชาวบ้านหรือแม้แต่หมอเราส่วนใหญ่ คิดว่าการเป็นมะเร็งก็คือความตาย
แต่ความจริงทุกระยะมีโอกาสหายขาดได้ และถึงแม้ไม่หายขาดการรักษาก็ช่วยลดความทุกข์ทรมาน ย่อมมีประโยชน์ต่อผู้ป่วยอย่างแน่นอน


®วิธีป้องกันไม่ให้เป็นมะเร็งนี้ล่ะครับ
ตามที่ได้บอกไว้แล้วว่า เรายังไม่พบสาเหตุที่แน่ชัด เพียงแต่ยอมรับว่าความสัมพันธ์ทางเพศมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมาก

ดังนั้น ถ้าจะบอกว่าการป้องกันที่ดีที่สุดคือ ถือศีลแบบพระห้ามมีเพศสัมพันธ์ดังนี้ก็คงจะขัดกับธรรมชาติของคนเราเป็นแน่
เพราะฉะนั้น การตรวจแป๊ปสเมียร์ ก่อนมีอาการจึงเป็นการป้องกันที่ดีที่สุด

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย เกี่ียวกับการรักษามะเร็งปากมดลูก

® ปัญหาที่แพทย์ปวดขมอง
เนื่องจากคนไข้ส่วนมากตรวจพบเป็นมะเร็งปากมดลูกในระยะที่ 2 ขึ้นไปต้องรักษาด้วยการฝังแร่และตามด้วยการฉายแสง การฉายแสงทำได้เพียงไม่กี่แห่ง (ในต่างจังหวัดมีที่เชียงใหม่เพียงแห่งเดียว)

คนไข้ที่เป็นกันส่วนใหญ่เป็นคนจนๆ และอยู่นอกกรุงเทพฯ จึงมีความยากลำบากในการเดินทางมารักษาที่กรุงเทพฯ

พบว่าคนไข้ที่มารักษาที่โรงพยาบาลรามาธิบดี 100 คนมีถึง 30 คนที่มีปัญหาในการรักษา

ใน 30 คนนี้ 20 คนปฏิเสธการรักษาเพราะความยากจน ไม่มีที่พักและเพราะว่ามีความเชื่อผิดๆ หันไปหาเกจิอาจารย์ต่างๆ กินยาหม้อ ยาโบราณรดน้ำมนต์ 

อีก 10 คน ฉายแสงได้ 1-2 อาทิตย์ (ปกติต้องฉายนาน 4-5 อาทิตย์) เลือดหยุดก็นึกว่าหายแล้ว บางคนที่กลัวมากกินยาหม้อร่วมด้วยก็เลยนึกว่าหายจากยาหม้อเสียฉิบ ก็เลยไม่ได้รับการฉายแสงให้ได้ครบถ้วนตามกระบวนการ ซึ่งทำให้โอกาสที่จะหายขาดนั้นลดน้อยลงไป เมื่อเริ่มการรักษาใหม่
 

 

® กินยาหม้อได้ผลจริงไหม
เห็นจะพูดยาก เพราะตัวมะเร็งนั้นมีการเจริญช้าเร็วไม่เหมือนกันในแต่ละคน ถ้าเป็นชนิดลุกลามช้าๆ แล้วไปกินยาหม้อเข้าโรคไม่ทรุดหนัก ก็ดูเหมือนว่าพวกนี้มีชีวิตอยู่ได้นาน นึกว่ายาหม้อได้ผล ความจริงโรคยังเป็นอยู่และจะค่อยๆ ลุกลามจนเป็นอันตรายได้ ถ้าจะพิสูจน์กันจริงๆ ก็ควรมีการวิจัยโดยแพทย์แล้วรวบรวมสถิติกันดูว่าหายจริงหรือไม่
 

 

® มียาชนิดกินไหม
ยังไม่มียากินที่ได้ผล
การรักษาจึงมีแต่การผ่าตัดกับกาฉายแสงเท่านั้น
 

 

®ว่ากันว่าฉายแสงทรมานจริงไหม
การรักษาด้วยรังสีมี 2 แบบ คือ การฝังแร่กับการฉายแสง
การฝังแร่ นอนในห้องฝังแร่นานแค่ 48 ชั่วโมงเท่านั้น
การฉายแสง อาจทำให้ถ่ายเป็นมูกเลือด ท้องเสีย อาจเป็นหลังฉายแสง 2 ปีไปแล้วก็ได้ ถือว่าเป็นโรคแทรกของการฉายแสง แต่ก็คุ้มกับการยืดชีวิตให้ยืนยาวออกไป

คนไข้บางคนเลยไปบอกเล่าให้คนอื่นๆ ว่าแพ้แสง ทำให้เกิดการเข้าใจผิดนึกว่า การฉายแสงทำให้ผิวดำเกรียมยังกับเอาไฟมาไหม้จะเจ็บปวด ทำให้คนไข้ที่เป็นโรคนี้ส่วนมากกลัวการฉายแสง จริงๆ แล้วมันไม่ใช่อย่างนั้น การฉายแสงมีความสะดวกสบาย ปกติฉายเพียงวันละ 5-15 นาที นอนเฉยๆ ไม่เจ็บปวดแต่อย่างไร ฉายเสร็จก็กลับบ้านได้ ไม่ต้องพักอยู่ในโรงพยาบาลแต่ต้องเสียเวลาเทียวไปเทียวมาทุกวัน
 

®ค่ารักษาแพงไหม
ถ้ารักษาโรงพยาบาลของรัฐ คนที่ไม่มีสตางค์ ทางโรงพยาบาลมีแผนกประชาสงเคราะห์ก็รักษาให้ฟรีๆ ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัด หรือฉายแสงก็ได้ทั้งนั้น

  

®มีของแสลงไหม
อาหารที่กินแล้วทำให้มะเร็งงอกขึ้นนั้นไม่มีแน่

แต่ระหว่างรักษา ควรกินอาหารพวกโปรตีน (เนื้อ นม ไข่) และพวกวิตามิน ให้มากๆ เพื่อบำรุงให้ร่างกายทนต่อการรักษา ใน 1-2 อาทิตย์แรกที่ฉายแสงไม่ควรกินอาหารที่ย่อยยากหรือรสจัด อาจทำให้มวนท้อง คลื่นไส้ อาเจียน เลยพาลนึกว่าแพ้แสง แล้วเลิกรากันไปกลางคัน ควรกินอาหารที่มีรสอ่อนไม่ให้มวนท้อง

 

®โรงพยาบาลที่มีเครื่องฉายแสงรักษามะเร็ง
1. โรงพยาบาลศิริราชพยาบาล
2. โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
3. โรงพยาบาลรามาธิบดี
4. โรงพยาบาลราชวิถี
5. โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า
6. โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช
7. สถาบันมะเร็งแห่งชาติ
8. โรงพยาบาลนครเชียงใหม่ คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
9. โรงพยาบาลคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

 

ข้อมูลสื่อ

28-003
นิตยสารหมอชาวบ้าน 28
สิงหาคม 2524
โรคน่ารู้