จากสถิติขององค์การอนามัยโลกพบว่า มีประชากร 120 ล้านคนติดเชื้อโรคเท้าช้าง และ 40 ล้านคนเกิดความพิการทั่วโลก องค์การอนามัยโลกจึงได้จัดทำ " โครงการกำจัดโรคเท้าช้างในแหล่งระบาดทั่วโลก "ขึ้น โดยตั้งเป้าไว้ว่าภายในปี พ.ศ.2536 โรคเท้าช้างจะถูกควบคุมและกำจัดให้หมดไปหรือจำกัดให้เหลือจำนวน ผู้ติดเชื้อน้อยที่สุด
โรคเท้าช้างที่พบในไทยเกิดจากเชื้อพยาธิตัวกลมซึ่งมียุงเป็นพาหะนำโรคโดยพยาธิจะไปเจริญเติบโตในระบบน้ำเหลืองทำให้ต่อมน้ำเหลืองอักเสบท่อน้ำเหลืองอุดตันเรื้อรังส่งผลให้แขน ขา หรืออวัยวะเพศบวมโต
ทีมนักวิจัยภาควิชาปรสิตวิทยา คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับสำนักโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จึงทำการวิจัยและพัฒนาชุดตรวจวินิจฉัยโรคเท้าช้างและสำเร็จเป็นแห่งแรกในไทย
รศ.ดร.สิริจิต วงศ์กำชัย หัวหน้าโครงการพัฒนาชุดตรวจวินิจฉัยโรคเท้าช้าง ภาควิชาปรสิตวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ชุดตรวจวินิจฉัยโรคเท้าช้างสำเร็จรูปนี้ได้รับความร่วมมือในการจัดเตรียมตัวพยาธิเท้าช้างจาก ศ.เวช ชูโชติ ภาควิชาปรสิตวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัย เชียงใหม่ มาวิจัยพัฒนาชุดตรวจจนเป็นผลสำเร็จ ซึ่งใช้งานง่าย ได้ผลดี รู้ผลเร็ว สามารถตรวจพบพยาธิในกระแสเลือดแม้จะมีจำนวนน้อย และราคาถูกกว่าต่างประเทศประมาณ 2 เท่า
นอกจากนี้การตรวจยังใช้เลือดเพียงเล็กน้อยจากปลายนิ้ว ซึ่ง อสม.(อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน) สามารถทำได้ และที่สำคัญคือ สามารถเจาะเลือดในเวลากลางวันได้ ไม่จำเป็นต้องออกเจาะเลือดในเวลากลางคืนเหมือนที่เคยทำ (โดยปกติการเจาะเลือดเพื่อตรวจวินิจฉัยหาพยาธิเท้าช้างระยะตัวอ่อนที่อยู่ในกระแสเลือดต้องทำในเวลากลางคืนจึงจะพบเชื้อ) จึงเหมาะกับการนำไปใช้ในพื้นที่ของจังหวัดนราธิวาสที่มีเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ ซึ่งจะทำให้โครงการกำจัดโรคเท้าช้างในจังหวัดนี้บรรลุเป้าหมาย
ผลิตภัณฑ์ชุดตรวจวินิจฉัยโรคเท้าช้างนี้จะเริ่มใช้ที่ศูนย์แห่งการเรียนรู้โรคติดต่อนำโดยแมลง โครงการงานควบคุมปราบปรามโรคติดต่อและการสาธารณสุข ศูนย์ศึกษาเพื่อการพัฒนาพิกุลทองอันเนื่องมาจาก พระราชดำริ จังหวัดนราธิวาสเป็นแห่งแรก พร้อมกับถ่ายทอดความรู้ในการตรวจแก่บุคลากรและเจ้าหน้าที่
งานวิจัยดังกล่าวนอกจากจะช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตของประชากรที่อาศัยในแหล่งระบาดแล้วยังเสริมสร้างความแข็งแกร่งและพัฒนาศักยภาพงานวิจัยของไทยให้เกิดองค์ความรู้ใหม่และการวิจัยต่อยอดในอนาคตได้อีกขั้น
- อ่าน 2,818 ครั้ง
พิมพ์หน้านี้