นพ.ประวิตร พิศาลบุตร
การทำไอออนโต
สังเกตพบคลินิกหลายแห่งโฆษณาว่ามีการทำ "ไอออนโต" ให้หน้าใสและรักษาฝ้า เรื่องนี้อธิบายได้ไม่ยาก การปรับสภาพผิวด้วยวิธี Iontophoresis หรือที่เรียกย่อๆ ว่าไอออนโตนั้น แท้ที่จริงแล้วเริ่มรู้จักกันมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๒๙๐ คือนับได้ ๒๖๐ ปีแล้ว
คำว่า Iontophoresis มาจากภาษากรีก แปลว่า การนำเอาประจุไฟฟ้าเข้าไป นำมาใช้ทางการแพทย์ เพื่อทำให้ยาซึมผ่านผิวหนังลงไปได้มากขึ้น
นิยมนำมาใช้มากที่สุดได้แก่ การใช้รักษาโรคเหงื่อ ออกมากผิดปกติ จึงเริ่มมีการใช้ไอออนโตมารักษาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๗๙ - ๒๔๙๑ โดยใช้เครื่องมือไอออนโต และสารเคมีเป็นแค่น้ำประปาธรรมดา
นอกจากนั้นก็มีการใช้สารเคมีต่างๆ มาใช้กับวิธีนี้ เพื่อรักษาโรคผิวหนังต่างๆ เช่น ใช้เมลาดินีนรักษาโรคด่างขาว ใช้ยาชาลิโดเคน เพื่อทำให้เกิดการชาเฉพาะที่ของผิวหนัง ใช้โซเดียมซาลิไซเลตรักษาหูดที่ฝ่าเท้า ใช้ซิงค์ออกไซด์รักษาแผลที่ผิวหนัง จนมาถึงการใช้กรดวิตามินเอและเอสโตรเจนรักษาแผลเป็นจากสิว
สำหรับการนำไอออนโตมารักษาฝ้านั้น เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๖ มีงานวิจัยของคณะแพทย์ญี่ปุ่นตีพิมพ์ในวารสาร การแพทย์ชื่อ "Skin Surgery" ว่าใช้ Iontophoresis ของวิตามินซีมารักษาฝ้า และรอยดำจากการเกิดผื่นแพ้สัมผัส สามารถทำให้รอยดำเหล่านี้จางลงได้บ้าง และช่วยให้ผิวหนังสดใสขึ้น
มีงานวิจัยของแพทย์เกาหลีที่ยืนยันว่า การทำไอออนโตด้วยวิตามินซีช่วยรักษาฝ้าได้จริง ไอออนโตเป็นเพียงวิธีเสริมในการรักษาฝ้า และ ผู้ป่วยก็จะต้องเข้าใจว่าปัจจุบันยังไม่มีวิธีใดๆ ที่จะรักษาฝ้าให้หายขาดได้ ดังนั้น จึงต้องหลีกเลี่ยงปัจจัยต่างๆ ที่กระตุ้นให้เกิดฝ้า ไม่ว่าจะเป็นแสงแดด ความร้อน และต้องคำนึงถึงเวลาและค่าใช้จ่ายด้วย เนื่องจากวิธีไอออนโตเป็นเครื่องมือทางการแพทย์ จึงไม่แนะนำให้ไป รับบริการจากสถานเสริมความงาม เพราะนอกจากจะไม่ปลอดภัย ไม่ได้ผล ยังมักมีราคาแพงอย่างไม่สมเหตุสมผลด้วย
นอกจากนี้ ผู้ที่ใช้เครื่องกระตุ้นการเต้นของหัวใจ ผู้ที่มีประวัติแพ้ยาตัวที่จะนำมาทำไอออนโต ผู้ที่มีบาดแผลที่ผิวหนัง หรือผิวหนังติดเชื้อบริเวณที่จะทำ และผู้ที่มีประวัติโรคลมชัก ห้ามทำไอออนโต การมีสุขภาพผิวที่ดีมีปัจจัยหลักคือ หลีกเลี่ยง การถูกแสงแดดจัด งดสูบบุหรี่ งดดื่มเครื่องดองของเมา งดเสพยาเสพติด กินอาหารให้ครบหมู่ ออกกำลังกายสม่ำเสมอและมีสุขภาพจิตที่ดีด้วย
- อ่าน 16,031 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้