ประเวศ วะสี
ร่วมด้วยช่วยกันเยียวยาโลกธรรมสัญจร สู่ มูลนิธิพุทธฉือจี้
๑๔
การแพทย์ด้วยหัวใจมนุษย์
นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์
ตอนที่ ๑ ตามรอยพระโพธิสัตว์
ครั้งนั้นได้มีภิกษุเป็นโรคท้องร่วงรูปหนึ่ง นอนจมอยู่กับกองอุจจาระปัสสาวะของตนเอง ไม่สามารถช่วยตนเองได้ ในเวลานั้นพอดีพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมพระอานนท์เสด็จพุทธดำเนินเยี่ยมเยียนภิกษุทั้งหลายตามเสนาสนะต่างๆ ผ่านไปพบเข้า ทรงทราบว่าไม่มีผู้ให้การพยาบาลดูแลลย
"ข้าพระพุทธเจ้ามิได้ทำอุปการะไว้กับภิกษุทั้งหลาย จึงขาดผู้ดูแลรักษา"
ครั้นทรงสดับคำของภิกษุรูปนั้น พระองค์จึงตรัสสั่งให้พระอานนท์นำน้ำมา พระองค์ทรงราดน้ำ พระอานนท์ขัดสีตามร่างกาย พระองค์ทรงยกศีรษะ พระอานนท์ยกเท้า นำภิกษุนั้นไปวางไว้ให้นอนพักบนเตียง
อาศัยเรื่องนี้เป็นมูลเหตุ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสั่งให้ประชุมสงฆ์ ทรงประกาศว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอไม่มีบิดา มารดา ญาติพี่น้อง ถ้าพวกเธอไม่รับผิดชอบพยาบาลกันเองแล้วใครเล่าจะทำให้ อันที่จริงผู้ใดพยาบาลภิกษุอาพาธผู้นั้นก็เท่ากับให้การอุปัฏฐากเราตถาคต นั้นเอง"
จาก พระวินัยปิฎก มหาวรรค ตอนที่ ๒ หมวดจีวรขันธกะ
เมื่อผมก้าวเข้าไปในอาคารผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาลพุทธฉือจี้ เมืองฮวาเหลียน ดินแดนไต้หวัน มีสองสิ่งที่ผมไม่เคยพบในประเทศไทย
หนึ่งคือภาพพระพุทธเจ้าและสาวกกำลังรุมล้อมภิกษุอาพาธรูปหนึ่ง เป็นภาพสีขนาดใหญ่เต็มกำแพงประจันอยู่ตรงหน้า จำต้องแหงนคอดูด้วยความพิศวง จำต้องเดินเข้าประชิดเพื่อชื่นชมรายละเอียด
สองคือได้ยินเสียงเปียโนดังมาจากด้านซ้ายมือ เมื่อมองไปจึงเห็นเด็กสาวคนหนึ่งกำลังบรรจงเล่นเปียโนเสียงดังติงตังไพเราะก้องกังวานไปทั้งอาณาบริเวณ เมื่อมอง กลับไปด้านขวามือจึงเห็นห้องทำบัตรและห้องจ่ายยาดังที่ได้พบเห็นในโรงพยาบาลทั่วๆ ไป
ภาพพระพุทธเจ้าและสาวกที่เห็นนั้นมาจากพระไตรปิฎกตามที่ยกมาข้างต้น อาสาสมัครที่พาชมโรงพยาบาลทุกท่านต่างเล่าเรื่องราวตอนนี้ได้ทั้งสิ้น ยกเว้นแต่เรื่องจากที่ประชุมสงฆ์ต่อจากนั้น ภายในโรงพยาบาล ที่หอผู้ป่วยระยะสุดท้าย ซึ่งเป็นหอพักของผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายหรือโรคร้ายแรงอื่นที่รักษาไม่ได้และแพทย์ได้ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่กระทำการใดอันจะทำให้ผู้ป่วยทุกข์ทรมานต่อไปอีก ผมพบว่าที่นี่เป็นหอผู้ป่วยที่เงียบสงบ มีห้องรับรองญาติสวยงามสบายตา
ข้างๆ ห้องรับรองญาติจะเห็นห้องสวดมนต์ตามคติมหายาน มีพระอมิตาภพุทธเจ้าอยู่ตรงกลาง มีพระอวโลกิเตศวรหรือกวนอิมผ่อสักอยู่เบื้องขวา มีพระ-มหาสถามปราปต์ หรือไต้ซีจี้ผ่อสักอยู่เบื้องซ้าย นอกจากนี้ยังมีห้องสวดสำหรับผู้ป่วยศาสนาอื่นอยู่ถัดไป
ที่โรงพยาบาลพุทธฉือจี้ กรุงไทเป ก็มีภาพพระพุทธเจ้า สาวกและภิกษุอาพาธที่บริเวณด้านหน้าเช่นกัน มีเด็กสาวเล่นเปียโนและญาติผู้ป่วยสองคนยืนร้องเพลงอยู่ข้างๆ ชวนให้ลืมไปชั่วขณะว่าที่นี่คือโรงพยาบาล ถัดจากภาพพระพุทธเจ้าที่บริเวณด้านหน้า เมื่อเดินลึกเข้าไปในบริเวณโรงพยาบาลจะยังได้พบเห็นห้องโถงหนึ่งซึ่งจัดที่นั่งประกอบด้วยม้ายาวเรียงเป็นระเบียบเสมือนอยู่ในโบสถ์ฝรั่ง และภาพพระโพธิสัตว์ขนาด สูงเท่าอาคารสามชั้น อาสาสมัครที่นำชมอธิบายว่าเป็นสถานที่ที่ญาติจะมาฟังธรรมหรือนั่งสงบสติเป็นครั้งคราว
ที่คณะแพทยศาสตร์ของมหาวิทยาลัยพุทธฉือจี้ ในห้องบรรยายวิชากายวิภาคศาสตร์ จะมีพระกษิติครรภ์มหาโพธิสัตว์ หรือตี่จั๊งอ๊วงผ่อสักที่หน้าห้องบรรยาย พระกษิติครรภ์มหา- โพธิสัตว์นั้นได้ชื่อว่าเป็นพระโพธิสัตว์ที่โปรดคนตาย
ทั้งหมดที่เล่ามาเป็นการจัดสภาพแวดล้อมให้วิชาแพทย์ เกี่ยวพันกับศาสนาอย่างแนบแน่น ข่าวสารที่ส่งออกมานั้น ดังจะบอกว่าแพทย์เป็นผู้มีความเมตตากรุณาเปรียบได้ดังพระโพธิสัตว์ รักษาคนก็คือช่วยเหลือคน ช่วยเหลือคนก็คือพระโพธิสัตว์ คนที่เป็นแพทย์สามารถเป็นพระโพธิสัตว์ได้ทันทีเมื่อช่วยเหลือคน
นายแพทย์โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ ผู้อำนวยการ สำนักวิจัยสังคมและสุขภาพ ได้ตั้งข้อสังเกตแก่ผมว่าท่านธรรมาจารย์เจิ้งเหยียนผู้ก่อตั้งมูลนิธิพุทธฉือจี้และอาสาสมัครที่นำชมสถานที่นั้นมักเรียกแพทย์ว่า "ต้าอีหวัน" ในภาษา จีนกลาง ซึ่งแปลได้ว่า "ราชาแห่งแพทย์ผู้ยิ่งใหญ่" อันเป็นความหมายเดียวกับพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้าหรือเอี๊ยะซือฮุดโจ้วอันเป็นพระพุทธเจ้า ๑ ใน ๔ พระองค์ตามคติมหายาน
เรื่องนี้ชวนให้ผมได้คิดว่าหากแพทย์ประพฤติตนเปรียบเสมือนพระไภษัชยคุรุตามคำเรียกหานั้นแล้ว มนุษย์จะฟ้องร้องพระไภษัชยคุรุได้อย่างไร
ตอนที่ ๒ นักศึกษาแพทย์ที่มีหัวใจมนุษย์
การแพทย์ด้วยหัวใจมนุษย์เป็นสิ่งที่คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยพุทธฉือจี้ได้เตรียมการมาตั้งแต่ต้น นักศึกษาแพทย์จะถูกสอนวิชาแพทย์ไปพร้อมๆ กับการเรียนรู้เรื่องสุขภาวะทางจิตวิญญาณ ผมไม่ได้เห็นรายละเอียดของหลักสูตรว่าสอนกันอย่างไร ไม่ได้เห็นกับตาว่านักศึกษาแพทย์ตั้งใจเรียนหรือไม่อย่างไร ไม่ได้สัมภาษณ์นักศึกษาแพทย์ว่ารู้สึกอย่างไร
อย่างไรก็ตาม มีบางเรื่องที่อย่างไรๆ ก็ต้องยอมรับว่าเป็นความคิดที่ดี
หนึ่ง คือนักศึกษาแพทย์ต้องเรียนวิธีชงชา ไม่ใช่หมายถึงเอาอินสแตนต์ทีใส่แก้วแล้วเทน้ำร้อนโครมควงแก้วแล้วยกดื่มได้ทันที แต่เป็นวิธีชงชาตามคติเดิม นั่นคือให้มีสติทั้งในขณะเตรียมกาขณะชง และขณะดื่ม
เมื่อมาดามของท่านอธิการบดีมหาวิทยาลัยพุทธฉือจี้สาธิตให้ดูก็ชวนประทับใจว่าหากนักศึกษาแพทย์ตั้งใจเรียนและทำเช่นที่สาธิต ก็ต้องยอมรับว่านี่คือกลวิธีในการพัฒนาสุขภาวะทางจิตวิญญาณของนักศึกษาแพทย์ทางหนึ่ง
สุขภาวะทางจิตวิญญาณย่อมสามารถถ่ายทอดไปสู่ผู้ป่วยได้ นอกจากชงชาแล้วยังมีวิชาจัดดอกไม้และเขียนพู่กันจีน เช่นกันว่าเพื่อฝึกสติและสมาธิ นอกเหนือไปจากชวนให้ตระหนักรู้ว่าชีวิตนั้นไม่เที่ยง ที่น่าสนใจมากที่สุดคือการเรียนการสอนวิชากายวิภาคศาสตร์ นักศึกษาแพทย์ที่นี่ต้องทำความรู้จักกับ "อาจารย์ใหญ่" ที่บริจาคศพให้นักศึกษาได้ผ่าได้เรียน ต้องไปพบปะกับครอบครัว
ที่น่าสนใจมากที่สุดคือการเรียนการสอนวิชากายวิภาคศาสตร์ นักศึกษาแพทย์ที่นี่ต้องทำความรู้จักกับ "อาจารย์ใหญ่" ที่บริจาคศพให้นักศึกษาได้ผ่าได้เรียน ต้องไปพบปะกับครอบครัวของอาจารย์ใหญ่เพื่อเขียนรายงานประวัติของอาจารย์ใหญ่ ได้มีโอกาสนำรูปของอาจารย์ใหญ่ขณะมีชีวิตมาเขียนประวัติและติดไว้ตามทางเดินสู่ห้องเรียน
นักศึกษาแพทย์ต้องเขียนความรู้สึกที่มีต่ออาจารย์ใหญ่เมื่อจบหลักสูตรกายวิภาค
นักศึกษาแพทย์ต้องอ่านพินัยกรรมที่อาจารย์ใหญ่สั่งเสียไว้ ว่าท่านอยากให้นักศึกษาแพทย์เติบโตขึ้นเป็นแพทย์เช่นไร
นักศึกษาแพทย์ท่านหนึ่งเขียนทำนองว่า "อาจารย์ใหญ่เป็นอาจารย์ที่ไม่เคยดุ ไม่เคยด่า ไม่เคยตัดพ้อต่อว่า อาจารย์ใหญ่ไม่เคยบ่นแม้จะถูกพวกเราใช้มีดกรีดลงบนเนื้อ..."
อ่านแล้วจุก
นัยว่าอาจารย์ใหญ่เป็นผู้ที่มีแต่ให้
อาจารย์ใหญ่ท่านหนึ่งเขียนทำนองว่า "ยินดีให้นักศึกษากรีดร่างกายได้ตามใจ จะผิดถูกอย่างไรก็ไม่ว่า แต่ขอให้เมื่อจบเป็นแพทย์แล้วอย่าได้ผ่าตัดผู้ป่วยผิดพลาดแม้แต่รายเดียว..."
อ่านแล้วเจ็บปวด
นัยว่าอาจารย์ใหญ่ได้ช่วยคณะแพทย์สั่งสอนนักศึกษาแพทย์แม้ว่าตายไปแล้ว
เมื่อสิ้นสุดการศึกษาก็จะมีพิธีทำบุญสวดศพและเก็บอัฐิอย่างอลังการ สถานที่เก็บอัฐิที่คณะแพทยศาสตร์จัดไว้ให้ก็งดงามชวนอยู่อย่างยิ่ง มีกลิ่นหอมจากไม้ดอก มีพระกษิติครรภ์มหาโพธิสัตว์ที่ตรงกลางบริเวณ มีความเงียบสงบในตนเอง น่าตายและน่าอยู่จริงๆ
กลวิธีเหล่านี้ช่วยตอกย้ำให้นักศึกษาแพทย์ตระหนักว่าชีวิตนั้นมิได้สิ้นสุดเมื่อตาย ที่แท้แล้วชีวิตย่อมเวียนว่ายตายเกิดเป็นธรรมดา
นักศึกษาแพทย์จะจัดงานเลี้ยงร่วมกับญาติๆ ของอาจารย์ใหญ่ มีการอ่านกวีนิพนธ์และเล่นดนตรีรำลึกพระคุณ นอกจากนี้นักศึกษาแพทย์ยังต้องทำความสะอาดห้องเรียนและเตียงผ่าศพ ด้วยตนเองอีกด้วย ผมคิดว่ามีคำอธิบายทางจิตวิเคราะห์เกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ อุบายที่ให้นักศึกษาแพทย์ รู้จัก อาจารย์ใหญ่เป็นอุบายที่สำคัญ เมื่อนักศึกษาแพทย์มีความผูกพันกับอาจารย์ใหญ่เสียแล้ว การลงมีดกรีดลงบนเนื้อของผู้เป็นที่รักจะทำให้เกิด psychological trauma ขึ้นภายในจิตใจ จิตใจจะจัดการกับความรู้สึกไม่เป็น สุขนี้ด้วยการเก็บกดดังที่เรียกว่า repression
หลังจากการเก็บกดจึงเป็นขั้นตอนสำคัญ ที่แท้แล้วการเก็บกดมิใช่เรื่องไม่ดีเสมอไป ที่แท้แล้วการเก็บกดสามารถบำบัดได้ด้วยการแปรรูปเป็นกลไกทางจิตชนิดอื่นด้วยเครื่องมืออื่น หากใช้เครื่อง-มือที่ไม่ดีย่อมได้กลไกทางจิตที่ไม่ดี แต่ถ้าใช้เครื่องมือที่เรียกว่า "จริยธรรม" แปรรูปเป็นกลไกทางจิตที่เรียกว่า altruism ก็จะได้นักศึกษาแพทย์ที่พร้อมจะช่วยเหลือผู้ป่วยโดยไม่มีเงื่อนไข นั่นคือเป็นพระโพธิสัตว์
ตอนที่ ๓ อาสาสมัครด้วยหัวใจมนุษย์
ผมมีโอกาสตามคณะของท่านอาจารย์ นายแพทย์ประเวศ วะสี และท่านอาจารย์ นายแพทย์วิจารณ์ พานิช ไปดูงานมูลนิธิพุทธฉือจี้ไต้หวัน เมื่อปลายเดือนเมษายน พ.ศ.๒๕๔๙ ระหว่างดูงานได้พบเรื่องงดงามมากมาย แม้ว่าจะไม่ทราบรายละเอียดบางประการและมีหลายคำถามที่ยังไม่ได้คำตอบแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าปรากฏการณ์ที่เห็นตรงหน้านั้นเป็นเรื่องที่ไม่เคยเห็น
ไต้หวันมีโรงพยาบาลพุทธฉือจี้ ๕ โรงและกำลังสร้างโรงที่ ๖ โรงพยาบาลพุทธฉือจี้แต่ละแห่งมีขนาดใหญ่ประมาณโรงพยาบาลจังหวัดของประเทศไทย มีอาสาสมัครเข้าไปช่วยงานโรงพยาบาลวันละ ๒๐๐ คน ข้อมูลแจ้งว่าอาสาสมัครเหล่านี้รอคิวนานประมาณครึ่งปีกว่าจะได้ทำงาน อาสาสมัครเหล่านี้นอกจากจะทำงานโดยไม่ได้รับค่าตอบแทนแล้วยังต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินชีวิตประจำวันด้วยตนเอง
เมื่อผมถามว่าทำทำไม
เขาตอบว่าพระโพธิสัตว์กวนอิมนั้นมีพันตาพันมือ พวกเขาเป็นตาและมือของพระโพธิสัตว์
อาสาสมัครไม่ได้เข้าไปในโรงพยาบาลเพื่อช่วยเหลืองานของแพทย์และพยาบาลโดยตรง แพทย์และพยาบาลมีหน้าที่บำบัดรักษาและทำหน้าที่บำบัดรักษา ส่วนอาสาสมัครเข้าไปช่วยเหลือสุขภาวะทางจิตวิญญาณของผู้ป่วย แต่ผลที่ตามมาคือสุขภาวะทางจิตวิญญาณของญาติผู้ป่วย พยาบาล และแพทย์ ก็จะดีและอ่อนโยนตามไปด้วย อาสาสมัครว่าพวกเขาไม่ข้องเกี่ยวการรักษาพยาบาล ไม่รบกวนแพทย์และพยาบาล พวกเขาเข้าไปช่วยทำให้ผู้ป่วยมีความสุขเท่านั้น
ผมถามว่ามีข้อห้ามอะไร
เขาตอบว่าผู้อำนวยการโรงพยาบาลบอกว่าอยากทำอะไรก็ทำไปได้เลย ขอเพียงคิดดีและ คิดทำความดีแก่ผู้ป่วย ก็ให้ทำไปได้เลย
ผมถามว่ามีข้อควรระวังอะไร
เขาตอบว่าทุกคนทำแต่ความดีเพื่อพระโพธิสัตว์ ทำนองว่าจะมีข้อไม่ดีเกิดขึ้นได้อย่างไร
เรียกว่าคนคิดไม่ดีต้องหยุดถามไปเอง
ผมคิดว่าปัจจัยของความสำเร็จนอกจากพลังแห่งศรัทธาที่จะทำความดีเยี่ยงพระโพธิสัตว์แล้ว การที่ท่านผู้อำนวยการให้เสรีภาพในการคิดค้นงานและรังสรรค์งานเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ด้วยการบริหารแบบเปิดใจกว้างเช่นนี้ทำให้อาสาสมัครสามารถคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ปรากฏแก่สายตา ผิดกับบ้านเราที่มักมีผู้บริหารประเภทหวาดระแวง ทำนั่นก็กลัวผิด ทำนี่ก็กลัวถูกฟ้อง สุดท้ายทุกคนจึงอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรปลอดภัยที่สุด
การแสดงดนตรีคลาสสิกในบริเวณด้านหน้าของโรง-พยาบาลพุทธฉือจี้เป็นฝีมือของอาสาสมัคร ชวนให้อึ้งได้ทันทีว่าเพราะอะไรเราไม่เคยคิดอะไรง่ายๆ และมีความสุขเช่นนี้บ้าง คำตอบคือเราไม่เคยถูกอนุญาตให้คิด
ตอนเย็นทุกสัปดาห์ที่ล็อบบี้ของโรงพยาบาลพุทธฉือจี้จะมีงานเลี้ยงน้ำชาให้แก่ผู้ป่วยและญาติ มีน้ำชาก็ต้องมีขนม มีขนมก็ต้องมีการแสดง แล้วเราก็ได้เห็นผู้ป่วยและญาติจับไมค์ร้องเพลงไปจนถึงการเล่นไวโอลิน กีตาร์ หรือเปียโน แน่นอนว่ามีแพทย์และพยาบาลมาร่วมแจมด้วย หรือเปียโน แน่นอนว่ามีแพทย์และพยาบาลมาร่วม
แจมด้วย ทุกภาพที่เห็นมีแต่รอยยิ้มเบิกบาน
อาสาสมัครช่วยให้ผู้ป่วยยิ้ม อาหารไม่ถูกปากก็จัดการให้ถูกปาก คล้ายๆ แดจังกึมถวายการรักษาพระพันปีฉะนั้น ถึงวันเกิดก็ตัดเค้กวันเกิดให้ คิดถึงลูกก็หาลูกมาให้
กรณีตัวอย่างที่เลื่องลือเมื่อมีผู้ป่วยอิสลามเบื่ออาหาร ก็เป็นอาสาสมัครที่ออกไปปรึกษาคนอิสลาม สืบเสาะวิธีทำอาหารมังสวิรัติในรูปแบบอิสลามมาให้แก่ผู้ป่วย
กรณีตัวอย่างผู้ป่วยรายหนึ่งไม่เคยเห็นลูกเลยตั้งแต่ลูกเกิด เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะเขาก่ออาชญากรรมเวียนว่ายเข้าออกเรือนจำมาชั่วชีวิต บัดนี้เขาป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายนอนรอความตายและเรียกร้องอยากพบหน้าลูกชาย ก็เป็นอาสาสมัครที่ออกสืบเสาะหาลูกชายของเขาจนพบและนัดหมายให้ทั้งสองได้พบปะกัน ทั้งๆ ที่ลูกชายของเขากำลังต้องโทษอยู่ในเรือนจำในที่ห่างไกล เมื่อพบกันลูกชายก็ไม่ยอมรับพ่อ ก็เป็นอาสาสมัครที่โน้มน้าวให้ใจอ่อน สุดท้ายพ่อลูกจึงกอดร่ำลากันด้วยน้ำตา
หลังเหตุการณ์ครั้งนั้นลูกชายก็ปวารณาตัวที่จะทำงานอาสาสมัครต่อไป
ฟังเรื่องนี้แล้วไม่ต้องถามเลยว่าสุขภาวะจิตวิญญาณแปลว่าอะไร
ตอนที่ ๔ เรียนเพื่อเป็นคนที่มีหัวใจ
นักเรียนในโรงเรียนของมูลนิธิพุทธฉือจี้ถือว่าการล้างส้วมนั้นเป็นเกียรติ อาสาสมัครจองคิวเพื่อเข้าไปช่วยงานโรงพยาบาลอย่างไร นักเรียนก็จองคิวล้างส้วมให้โรงเรียนเช่นนั้น นักเรียนตัวเล็กๆ เหล่านั้นไม่เพียงล้างส้วมของตนเอง พวกเขาต้องกินข้าวให้หมดจานและล้างจานของตนเองทุกมื้อด้วย ไม่เพียงล้างจานแต่ล้างทั้งโรงอาหารและโรงครัวเป็นครั้งๆ ด้วย ชวนให้นึกถึงเรื่องที่คุณครูคนหนึ่งเคยเล่าให้ผมฟัง เขาเคยชวนนักเรียนล้างส้วมของโรงเรียนแล้ว เป็นผู้ปกครองที่รุดมาต่อว่าถึงห้องพักครูว่าเขาให้ลูกมาเรียนไม่ใช่มาล้างส้วม
คำถามคือลูกๆ ของเรากำลังเรียนอะไร
ขณะที่ลูกบ้านเรากำลังเรียนแก้สมการอย่างคร่ำเคร่ง โรงเรียนในมูลนิธิพุทธฉือจี้เลือกที่จะสอนความเป็นคนให้ก่อน หากนักเรียนมีความเป็นคนแล้วจะไปเรียนวิชาอะไรก็ไม่สาย จะไปเรียนแพทย์ก็ย่อมมีหัวใจความเป็นมนุษย์
เดาได้ว่าเด็กๆ ที่นี่เรียนวิชาต่างๆ จากการทำจริงเห็นจริง ไม่ว่าจะเป็นคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ หรือสังคมศึกษา เดาได้และไม่ผิดด้วยว่านักเรียนที่นี่ได้เรียนวิธีชงชา วิชาจัดดอกไม้ และวิธีเขียนพู่กันจีนด้วย
แต่ที่ออกจะนึกไม่ถึงคือเด็กๆ ได้มีโอกาสคัดแยกขยะด้วยตนเอง
เด็กๆ ได้ไปโรงพยาบาลเพื่อป้อนข้าวผู้ป่วย ได้ไปสถานพักฟื้นคนชราเพื่อป้อนข้าวคนชราและทำกิจกรรมร่วมกัน
ในวันนัดพบผู้ปกครอง เราได้เห็นภาพคุณแม่นั่งเป็นแถวระเบียบเรียบร้อย เด็กประถมตัวน้อยๆ ถือช้อนตักอาหารป้อนข้าวให้มารดา
การศึกษาอะไรคิดกลวิธีเช่นนี้ออกมาได้
ผมสงสัยว่าพ่อแม่ของเด็กเหล่านี้ไม่กลัวอะไรเลยหรือ ไม่กลัวเด็กเรียนช้าหรือ ไม่กลัวเด็กไม่รู้คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และไม่ได้เกรดสี่หรือ ไม่กลัวอดตายเพราะทำมาหากินไม่ได้หรือ
แล้วผมก็พบคำตอบเมื่อเห็นต้นไม้เล็กๆ ที่งอกออกมาจากก้อนหินที่มูลนิธิพุทธฉือจี้
นัยว่าความเป็นคนนั้นจะปรากฏในทุกที่ จิตใจที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่อยู่เสมอจะงอกงามได้ในทุกที่ทุกเวลา
อาสาสมัครของมูลนิธิพุทธฉือจี้ไม่เพียงทำงานในโรงเรียน ในโรงพยาบาล ในโรงคัดแยกขยะ ในหน่วยบรรเทาทุกข์ที่เดินทางไปทั่วโลกเมื่อมีภัยพิบัติ แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะได้บำเพ็ญตนตามรอยพระโพธิสัตว์อยู่ตลอดเวลาด้วย
พวกเขาได้ลิ้มรสความสุขของการเป็นผู้ให้
ทุกเช้าที่สมณารามจิ้งซือ เมืองฮวาเหลียน ท่านธรรมาจารย์เจิ้งเหยียนจะออกมาพบกับพุทธ-ศาสนิกชน อาสาสมัคร และแพทย์พยาบาลจากทุกโรงพยาบาลด้วยการถ่ายทอดสดผ่านดาวเทียมของสถานีโทรทัศน์ต้าอ้าย (ความรักยิ่งใหญ่) เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้คนได้เล่าเรื่องราวดีงามต่างๆ นานาสู่กันฟัง เมื่อความดีเชื่อมต่อความดีจึงกลายเป็นเครือข่ายผู้ทำความดีขนาดใหญ่
ท่านธรรมาจารย์เจิ้งเหยียนเกิดเมื่อวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ปี พ.ศ.๒๔๘๐ เป็นบุตรคนที่ ๓ เมื่อบิดามารดาทราบว่าคุณอาไปอธิษฐานขอบุตรที่ศาลเจ้าหลังจากแต่งงานโดยไม่มีบุตรมาได้หลายปี พวกเขาก็ยกท่านธรรมจารย์ให้เป็นบุตรบุญธรรมของคุณอา หลังจากนั้นคุณอาจึงมีบุตรของตนเองตามมาอีก ๓ คน
ชีวิตในวัยเด็กของท่านธรรมาจารย์ต้องเผชิญภัยสงคราม ได้พบเห็นซากศพคนตายและความเสียหายของบ้านเรือนเนื่องจากการทิ้งระเบิด คุณอาของท่านให้สัมภาษณ์ว่าเหตุการณ์เหล่านั้นน่าจะมีผลกระทบต่อท่านธรรมาจารย์ให้ตระหนักรู้ถึงความไม่เที่ยงของชีวิตและสรรพสิ่ง เมื่อท่านเติบโตเป็นสาวก็ต้องดูแลกิจการของบิดาซึ่งถึงแก่กรรมกะทันหัน ท่านออกบวชเมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๔ ก่อตั้งมูลนิธิพุทธฉือจี้เมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๙ นับถึงตอนนี้เป็นเวลา ๔๐ ปี
ทั้งหมดที่เขียนมาเป็นความประทับใจจากการที่มีโอกาสไปเยี่ยมชมมูลนิธิพุทธฉือจี้ซึ่งจัดโดยสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) แม้เป็นเพียงการเยี่ยมชมปรากฏการณ์โดยมิได้ลงในรายละเอียด แต่อย่างน้อยทั้งหมดนี้ก็เป็นประจักษ์พยานว่าการเรียนการสอนนักศึกษาแพทย์ให้มีสุขภาวะทางจิตวิญญาณที่ดี ให้มีจิตใจอ่อนโยน ให้มีเมตตากรุณาเป็นที่ตั้ง และพร้อมที่จะอุทิศตนให้แก่ผู้ป่วยเป็นเรื่องเป็นไปได้
ความขัดแย้งระหว่างแพทย์กับผู้ป่วยเป็นเรื่องที่สามารถทำให้ลดลงได้ แต่ต้องมิใช่ด้วยวิธีทางกฎหมาย แต่ต้องด้วยหัวใจ เป็นประจักษ์พยานว่าการที่โรงพยาบาลต่างๆ จะเปิดประตูให้แก่อาสาสมัครและชุมชนที่ปรารถนาจะช่วยเหลือโรงพยาบาลเป็นเรื่องเป็นไปได้ ที่แท้แล้วแพทย์และพยาบาลทุกวันนี้มีงาน ล้นมือ ถึงเวลาที่แพทย์และพยาบาลควรเปิดประตูโรงพยาบาลเพื่อรับความช่วยเหลือจากชุมชนในส่วนที่ตนเองทำไม่ได้
ใครๆ ก็สามารถช่วยเหลือผู้ป่วยให้มีความสุขได้ เพราะการทำให้คนมีความสุขนั้นไม่ต้องใช้ความรู้ลึกล้ำหรือเทคโนโลยีชั้นสูง แค่ด้วยหัวใจก็พอ
(ยังมีต่อ)
- อ่าน 4,564 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้