• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

"อี.ดี." ปัญหาทางเพศที่ผู้ชายกลัวที่สุด

"อี.ดี." ปัญหาทางเพศที่ผู้ชายกลัวที่สุด


ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่จะทำให้ผู้ชายสูญเสียความเชื่อมั่นในตัวเองได้มากเท่ากับภาวะที่ร่างกายเกิดอาการ ที่เรียกกันว่า "มะเขือเผา" หรือ "นกเขา ไม่ขัน" แม้จะรู้แสนรู้ว่า "อดข้าวนะ ชีวาวาย ไม่ตายดอกหากอดเสน่หา" แต่ก็ไม่มีใครยอมรับความจริงข้อนี้ ได้อย่างหน้าชื่นตาบาน สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ ส่วนใหญ่มักจะคิดว่าชีวิตของเขาคงล้มเหลว และหาความสุขไม่ได้อีกต่อไป ใครที่กำลังท้อแท้ หมดกำลังใจ ต้องอ่านบทความนี้อย่างมีสติ เพราะคำอธิบายของศาสตราจารย์ นายแพทย์กฤษฎา รัตนโอฬาร ศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคระบบทางเดินปัสสาวะ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี อาจช่วยให้ผู้ที่มีปัญหาพบทางออกที่เหมาะสมสำหรับแต่ละคน

มารู้จักกับ อี.ดี. กันก่อน
อี.ดี. (E.D.) คำเต็ม คือ erectile dysfunction ความหมายก็คือ ความบกพร่องของการแข็งตัวขององคชาต  นี่คือความหมายที่ตรงที่สุด และคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ยังมีความต้องการทางเพศเป็นปกติ ความต้องการทางเพศไม่ได้ลดลง แต่อวัยวะเพศไม่แข็งตัวหรือแข็งตัวได้ไม่นานพอที่จะปฏิบัติกิจกรรมทางเพศได้สำเร็จ ซึ่งปัญหาดังกล่าวนี้อาจมีความรุนแรงตั้งแต่น้อยจนถึงขั้นมาก

ส่วนคำว่า "หย่อนสมรรถภาพทางเพศ" แพทย์จะใช้ศัพท์ว่า impotent เพราะมีความหมายกว้างกว่า เช่น ความสนใจทางเพศลดลง อวัยวะเพศไม่แข็งตัว ร่วมเพศไม่ได้ มีความผิดปกติของการหลั่งอสุจิ เช่น หลั่งเร็วเกินไป เป็นต้น ก็จะเรียกอาการเหล่านี้รวมๆ กันว่า หย่อนสมรรถภาพทางเพศ ดังนั้นถ้าใช้คำว่า อี.ดี. ความหมายก็จะแคบลงมาเฉพาะเรื่องการแข็งตัวไม่ดีขององคชาตเพียงอย่างเดียว แต่ไหนแต่ไรมาปัญหาที่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาของฝ่ายหญิงหรือฝ่ายชาย ต่างก็ปกปิดอยู่ในใจของแต่ละคน หรืออาจมีการพูดคุยกันบ้างก็เฉพาะเพื่อนสนิทจริงๆ เท่านั้น ปัจจุบันเรื่องเพศสัมพันธ์พูดกันเปิดเผยจนเป็นเรื่องสามัญไปแล้ว และทำให้ได้รับรู้ว่าเดี๋ยวนี้ผู้ชายทั่วโลกรวมทั้งชายไทย มีอาการของ อี.ดี. กันเยอะมาก แล้วอย่าเข้าใจผิดนะว่า อี.ดี. จะเป็นเฉพาะกับผู้สูงอายุเท่านั้น แม้คนที่ยังดูหนุ่มแน่น ร่างกายดูฟิต ก็อาจเกิดอาการของ อี.ดี. ได้เช่นกัน

กลไกการแข็งตัวขององคชาต
"แข็ง" หรือ "ไม่แข็ง" เป็นสิ่งที่ผู้ชายทุกคนรู้สึกได้ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับอวัยวะเพศของตนเอง แต่เชื่อว่าน้อยคนนักที่จะเข้าใจถึงกลไกตามธรรมชาติ ว่าเกิดขึ้นอย่างไร เพราะอะไร ข้อสงสัยเหล่านี้ ศ.นพ.กฤษฎา รัตนโอฬาร อธิบายให้ฟังตามหลักวิชาการแพทย์ว่า

"อวัยวะเพศชายเปรียบเทียบเหมือนฟองน้ำ ถ้าหากเราตัดตามขวาง จะเห็นเป็นโพรงเต็มไปหมด ซึ่งโพรงเหล่านี้มีผนังที่ประกอบด้วยกล้ามเนื้อเรียบและเนื้อเยื่อต่างๆ แล้วก็เป็นโพรงที่เลือดจะไหลเข้าไป คือเวลาปกติเลือดแดงจะไหลเข้าไปในโพรงนี้ เพื่อเอาอาหาร และออกซิเจนไปเลี้ยงเนื้อเยื่อ แล้วก็ไหลออกมาเป็นเลือดดำ ทีนี้เวลาจะแข็งตัวเลือดก็จะเข้าไปคั่งในโพรงนี้มากขึ้น โพรงนี้ก็ยืดออกทำให้อวัยวะเพศขยายตัวออกไป พอยืดออกไปมากๆ จะเหมือนปลิงดูดเลือด คือจะเป่งออกก็จะไปกดเลือดดำทำให้ไหลออกไม่ได้ เลือดก็จะขังอยู่ในโพรงนี้มาก นั่นคือการแข็งตัวเต็มที่

"การแข็งตัวขององคชาตต้องมีสิ่งเร้า ซึ่งก็มีหลายองค์ประกอบ เช่น ประการแรกจะเกิดจากการกระตุ้นที่อวัยวะเพศโดยตรง สองเกิดจากการกระตุ้นเร้าอารมณ์ ทางด้านรูป รส กลิ่น เสียง เป็นจินตนาการ และสามเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติสรีรวิทยาของผู้ชายตอนนอนหลับ ซึ่งจะมีการแข็งตัวเป็นระยะๆ ขณะที่หลับไปแล้วโดยที่เจ้าตัวไม่ทราบ บางคนสงสัยว่านอนหลับแล้ว ทำไมองคชาตจึงแข็งตัวได้ อันนี้ผมเข้าใจว่าคงเป็นกลไกตามธรรมชาติ ที่จะนำเลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อให้มากขึ้น เพราะถ้าไม่มีเลือดไปเลี้ยงอวัยวะส่วนนั้น หรือว่าได้อาหารน้อย ก็จะเสื่อมเหมือนอวัยวะทั่วๆ ไป อันนี้เป็นการตั้งข้อสมมุติฐานนะครับ การแข็งตัวจะสิ้นสุดลงเมื่อผู้ชาย มีการหลั่งอสุจิ หรือหมดความสนใจทางเพศ ภาวะดังกล่าวเลือดที่จะไหลเข้าไปก็ลดลง ฉะนั้นเลือดดำก็จะไหลออกไป เมื่อมีเลือดคั่งอยู่ในฟองน้ำน้อยลง อวัยวะเพศก็อ่อนตัว"

อี.ดี. ถือว่าเป็นโรคหรือไม่
การแข็งตัวของอวัยวะเพศชาย เป็นกลไกที่ซับซ้อนตามธรรมชาติ ต้องมีสิ่งเร้ามีองค์ประกอบหลายอย่างมาเกี่ยวข้อง ไม่ใช่ว่าอยากจะแข็งก็แข็งได้ ดังนั้นภาวะที่องคชาตแข็งตัวไม่ดี จึงอาจเกิดจากปัจจัยหลายด้าน ซึ่งในอดีตเชื่อกันว่าปัญหานี้เกิดจากสาเหตุทางด้านจิตใจเป็นหลัก นั่นคือ เรื่องของความเครียด ความวิตกกังวล ในเรื่องการงาน ชีวิต ส่วนตัว ชีวิตครอบครัว ซึ่งอาจมีการทะเลาะเบาะแว้งกันระหว่างสามีภรรยา อาการซึมเศร้า หรือความรู้สึกผิดเกี่ยวกับเรื่องเพศ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้มีผลทำให้ระบบประสาทซิมพาเทติกไปกดรั้งไว้ ทำให้เลือดไหลมาบริเวณองคชาตได้น้อยลง จึงทำให้องคชาตแข็งตัวไม่ดี และก่อนนั้นก็เชื่อกันว่าผู้ชายที่มีปัญหา นี้เมื่อเป็นผู้ใหญ่ เป็นเพราะช่วงวัยรุ่นสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองมากเกินไป พออายุมากกระสุนหมดเลยเกิดปัญหา

ปัจจุบันได้มีการศึกษาพบว่า สาเหตุส่วนใหญ่ของปัญหา อี.ดี. เกิดจากความผิดปกติทางร่างกายเป็นหลัก ซึ่งทางการแพทย์ถือเป็นปรากฏการณ์ของโรค หรือเป็นอาการแสดงของโรค หลายโรค เช่น เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดันเลือดสูง โรคหัวใจ โรคเกี่ยวกับระบบประสาท (เช่น อัมพาต) ไตวาย โรคอ้วน การผ่าตัดต่อม ลูกหมาก หรือแม้กระทั่งการกินยาบางชนิด (ยารักษาความดัน ยาขับปัสสาวะบางตัว ยาทางด้านจิตเวชบางตัว) การติดสุราเรื้อรัง หรือการสูบบุหรี่เป็นประจำ ก็อาจทำให้เกิดภาวะองคชาตแข็งตัวไม่ดีได้ ซึ่งอาการดังกล่าวจะเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป และการแข็งตัวในช่วงเช้ามืดและกลางคืนจะไม่เกิดขึ้นตามปกติ และมีคุณภาพด้อยลง

บางกรณีปัญหา อี.ดี. อาจเกิดได้ทั้งจากสาเหตุทางร่างกาย และเรื่องของจิตใจรวมๆ กัน ซึ่งเรื่องนี้ ศ.นพ.กฤษฎา รัตนโอฬาร บอกว่า  "อี.ดี. ถ้าเป็นในคนอายุยังไม่มาก  ส่วนใหญ่มีสาเหตุจากเรื่องจิตใจ เป็นปัญหาที่สะสมมาเรื่อยๆ ทั้งจากความวิตกกังวล ความไม่เชื่อมั่นในตัวเอง เรื่องของปมด้อย เป็นไปได้ทั้งหมดครับ กรณีจากปัญหาทางจิตใจ การแข็งตัวขององคชาตในช่วงเช้ามืดและกลางคืน ยังคงเป็นไปตามปกติ แต่ถ้าเป็นกับผู้สูงอายุ มักมีสาเหตุจากโรคต่างๆ"

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดปัญหา อี.ดี.
ดังที่ทราบกันแล้วว่าสาเหตุของ  อี.ดี. ส่วนใหญ่เกิดจากปัญหาทางด้านร่างกาย ซึ่งก็คือโรคภัยต่างๆ เพราะฉะนั้นปัจจัยเสี่ยงที่ผู้ชายจะเกิดภาวะการไม่แข็งตัวขององคชาตก็คือมีโรคแฝงอยู่แล้วไม่รู้ตัว เพราะไม่ได้ไปตรวจ แล้วยิ่งอายุมากขึ้นเท่าไร โรคภัยไข้จ็บก็จะมากขึ้นด้วย ก็ยิ่งรวมกันเป็นปัจจัยเสี่ยงมากขึ้น ศ.นพ.กฤษฎา รัตนโอฬาร พูด ถึงประเด็นนี้ว่า "อวัยวะเพศก็เหมือนกับอวัยวะส่วนอื่นๆ ของร่างกาย มีการเจริญเติบโต มีความเสื่อมไปตามวัย ส่วนไหนที่ดูแลดีก็เสื่อมช้าหน่อย แต่ตรงไหนไม่ดี ใช้ไม่ถูกต้อง หรือมีโรคภัยไข้เจ็บ ก็เสื่อมเร็วเป็นธรรมดา ไม่ได้ยกเว้นแม้แต่ส่วนนี้"

ทำอย่างไรเมื่อ "น้องชายไม่สู้"
ในอดีตปัญหาต่างๆ ที่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ถือเป็นเรื่องตาบู (taboo) คือ เป็นเรื่องต้องห้าม เป็นเรื่องที่ไม่พูดกัน แล้วเวลาที่ผู้ชายมีอาการ "มะเขือเผา" หรือ "นกเขาไม่ขัน" เขาหาทางออกกันอย่างไร เรื่องนี้ ศ.นพ.กฤษฎา รัตนโอฬาร คุยให้ฟังว่า

"จริงๆ แล้ว อี.ดี. เป็นโรคที่คู่กับมนุษย์มาช้านานแล้วล่ะครับ แต่ทีนี้เวลาที่มีปัญหาองคชาตแข็งตัวไม่ดี และ มีเพศสัมพันธ์ไม่ได้ ส่วนใหญ่จะรู้สึกอับอาย ไม่กล้าบอกใคร อาจมีบ้างที่พูดคุยกันในกลุ่มเพื่อนฝูง แล้วก็แนะนำกันให้กินยาโด๊ปสูตรพิสดารมากมายตามที่บอกต่อๆ กันมา อย่างเช่น เขากวางอ่อน ดีหมี ดีงู หรือโสม อะไรพวกนี้ ก็รักษากันเอง หายบ้าง ไม่หายบ้าง แต่ส่วนใหญ่ไม่หายหรอกครับ...(หัวเราะ)

"แล้วเมื่อก่อนไม่มีใครกล้ามาหาหมอ หรือมาก็น้อยมาก เมื่อไม่ได้ตรวจ ไม่ได้รักษา ปัญหาก็ไม่ได้รับการแก้ไข แล้วในอดีตวงการแพทย์เองก็ไม่รู้กลไกว่าองคชาตหรืออวัยวะเพศชายแข็งตัวได้อย่างไร เพิ่ง ๑๐ กว่าปีมานี่เอง ที่ความรู้ทางด้านการแพทย์ก้าวกระโดด ทำให้เราได้คำตอบว่าทำไมองคชาตจึงแข็งตัวได้ แล้วก็ค้นพบยาที่นำมารักษา อี.ดี. อย่างได้ผล โดยเฉพาะในช่วง ๕ ปีที่ผ่านมา เมื่อการรักษาได้ผล คนที่มีปัญหาก็เริ่มกล้ามาพบแพทย์กันมากขึ้น อย่าไปมองว่าเป็นเรื่องสัปดี้สัปดนเรื่องอารมณ์ทางเพศเป็นเรื่องสามัญธรรมดาครับ คนอายุมากก็ยังมี เพราะเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างคู่สามีภรรยา เป็นเรื่องของความผูกพัน หลายครั้งหลายคราวที่เรื่องทางเพศทำให้เกิดปัญหาครอบครัว เกิดความระหองระแหง อยู่กันอย่างไม่มีความสุข มีการออกนอกลู่นอกทาง บ้างก็จบลงด้วยการหย่าร้าง

"ปัจจุบันผู้ชายที่มาพบแพทย์มีอยู่ ๒ กลุ่ม กลุ่มที่ ๑ มาพบแพทย์โดยตรงว่ามีปัญหา อี.ดี. และอยากรักษากลุ่มที่ ๒ ไม่ได้มาพบแพทย์เพราะเรื่อง อี.ดี. แต่เป็นผู้ป่วยที่อาจจะกำลังรักษาโรคเบาหวาน โรคหัวใจ หรือโรคความดันเลือดสูงอยู่ แล้วปรารภกับคุณหมอ หรือคุณหมอซักถามจึงรู้ว่ามีปัญหา  อี.ดี. ร่วมด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผมขอย้ำว่า อี.ดี. เป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ได้ทำให้คนที่เป็นตายหรอก แต่หากคุณเป็นโรคเบาหวาน อยู่แล้วเป็น อี.ดี. ด้วย ถ้าคุณไม่รักษาเบาหวาน คุณแย่นะ...เพราะ อี.ดี. เกิดจากเบาหวาน ส่วนคนที่ไม่ได้เป็นโรคอะไร มีปัญหา อี.ดี. เพียงอย่างเดียวจะไม่รักษาก็ได้ โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ตัวคนเดียว หรือคนที่คิดว่าตัวเองอายุมากแล้ว สงบแล้ว พอแล้ว และภรรยาก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับเรื่องพวกนี้ ผมว่าเป็นเรื่องของการควบคุมตัวเองนะครับ

"ความเดือดร้อนจะเกิดขึ้น เมื่อตัวเองหรือคู่ครองเกิดความรู้สึกว่าไปด้วยกันไม่ได้ มีผลกระทบต่อความรักใคร่กลมเกลียวกัน ตรงนี้ต่างหากเป็นเหตุผลสำคัญที่ผู้ชายควรไปพบแพทย์เพื่อรักษา อี.ดี. เริ่มต้นควรไปหาแพทย์ที่ดูแลทางนี้  เพื่อหาโรคทางกายเสียก่อน เพราะโรคทางกายเป็นสาเหตุหลักของ อี.ดี. มีคนไข้หลายคนที่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังเป็นโรคเบาหวาน เป็นโรคความดันเลือดสูง หรือโรคอื่นๆ อยู่ เมื่อเกิด อาการ "ไม่สู้" ก็คิดว่าคงเป็นเพราะทะเลาะกับภรรยาเลยเป็นแบบนี้ ที่แท้เกิดจากโรคภัยไข้เจ็บที่ซ่อนแฝงอยู่ ดังนั้น ควรตรวจหาโรคทางกายก่อน ถ้าไม่พบโรคใดๆ เลย จึงค่อยไปปรึกษาจิตแพทย์ ซึ่งจิตแพทย์ที่เขาทำทางด้านนี้จะช่วยค้นหาสาเหตุให้"

ผลกระทบที่เกิดจากปัญหา อี.ดี.
ถึงแม้ว่าปัญหา อี.ดี. จะไม่ทำให้ผู้ชายคนไหนต้องตาย จากการมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงไม่ได้ แต่ในความเป็นจริงของชีวิตแล้ว เรื่องนี้ส่งผลกระทบมากกว่าที่คาดคิด ศ.นพ. กฤษฎา รัตนโอฬาร ในฐานะผู้มีหน้าที่รักษาผู้ป่วย ได้เล่าถึงกรณีศึกษาต่างๆ ให้ฟังว่า

"มนุษย์ผู้ชายจะถือว่าเรื่องเซ็กซ์ มีความสำคัญมาก จริงอยู่ที่ว่าการร่วมเพศแต่ละครั้งไม่ใช่เพื่อการมีลูกเสมอไป แต่เป็นสิ่งที่รับรู้กันว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เมื่อเขาทำตรงนี้ไม่ได้ ก็จะรู้สึกว่าตัวเองไม่ปกติ มีปมด้อย หลายคนถึงขนาดไม่สามารถทำการทำงานได้เลย เพราะความมั่นใจในตัวของเขาจะหายไปเยอะมาก ยิ่งอยู่ในวัยคู่ผัวตัวเมียหนุ่มๆ สาวๆ ก็อาจเกิดการระหองระแหงกับฝ่ายภรรยาได้ ผู้หญิงบางคนอาจคิดว่าสามีรังเกียจตัวเอง หรือไม่สามีก็กำลังคิดนอกใจ ก็เริ่มระแวงกัน ทะเลาะเบาะแว้งกัน บางคู่นี่ไปกันใหญ่เลย... บางทีฝ่ายหญิงออกไปนอกบ้าน สามีก็คิดว่าเมียมีชู้ เพราะตัวเองไม่สามารถให้ความสุขในเรื่องเพศกับภรรยาได้ เห็นไหมครับว่ามีผลกระทบเยอะมาก ทั้งกับตัวเอง ครอบครัว การทำงาน

"แต่บางคนอาจคิดว่าเรื่องเซ็กซ์ไม่ใช่เรื่องใหญ่ก็ได้ อย่างคนที่นำเอาคำสอนทางศาสนามาใช้ คือเมื่อถึงวัยหนึ่งก็รู้จักลดละ รู้จักสงบ และภรรยาก็สงบแล้ว เรื่องพวกนี้ก็อาจไม่จำเป็น แต่คนที่ไม่สงบ มีความต้องการอยู่ในส่วนลึกๆ แล้วฝ่ายภรรยาก็ไม่ได้ปฏิเสธเรื่องนี้ ยังมีความผูกพันกันในเรื่องเพศ กรณีอย่างนี้ควรจูงมือกันไปปรึกษาแพทย์ เพื่อทำการรักษา อย่าไปมองว่าเขามีความวิปริตวิตถาร ใจไม่นิ่ง เรื่องแบบนี้ก็แล้วแต่ความคิดของแต่ละคนครับ ถ้าหากคู่ไหน คิดว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญ...ก็จบ เพราะว่าไม่ตายถ้าขาดเซ็กซ์ ปัญหาคือ บางคนอาจจะมีความต้องการมากกว่าปกติ ผมไม่อยากรักษาคนไข้ที่อยากสนุกไปนอกลู่นอกทาง ไปนอกบ้านแล้วทำความเดือดร้อน เที่ยวเอาโรคไปให้ภรรยา ไปมีเมียน้อย หรือบางคนที่ไม่ได้ไปนอกบ้าน จะยุ่งเกี่ยวกับภรรยา แต่ภรรยาสรีระไม่เอื้ออำนวย ตนเองอยากสนุกอยู่ฝ่ายเดียว ไม่คิดถึงว่าภรรยาเขาจะมีความทุกข์ทรมานจากการมีเพศสัมพันธ์ เพราะว่าคนสูงอายุก็จะมีการเปลี่ยนแปลงตามสรีระ ด้านจิตใจ ด้านอะไรต่ออะไรมากมาย บางทีการมีเพศสัมพันธ์ในคนสูงอายุ ฝ่ายหญิงอาจจะทุกข์ทรมานพอสมควร สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนครับ"

ขั้นตอนการรักษา อี.ดี.
อย่างที่ทราบแล้วว่า เดี๋ยวนี้มียาที่สามารถรักษา อี.ดี. อย่างได้ผล บางคนก็เลยไปซื้อยาดังกล่าวมากินเองด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ พฤติกรรมแบบนี้จะเป็นอันตรายหรือไม่ อย่างไร ศ.นพ.กฤษฎา รัตนโอฬาร กล่าวว่า

"การไปซื้อยามากินเองคุณทำผิดมาก...ใช่! คุณอาจจะหาซื้อได้ แต่รู้ไหมว่าผิดกฎหมาย ยาพวกนี้ต้องอยู่ในสถานพยาบาล แต่เมืองไทยทำอะไรได้ทั้งนั้น...ที่สำคัญคุณไม่รู้ว่าตัวเองเป็น โรคอะไรอยู่หรือเปล่า อย่างที่บอกแล้วว่า อี.ดี. มีสาเหตุมาจากโรคทางกายเป็นส่วนใหญ่ แล้วถ้าคุณมีโรคภัยซ่อนแฝงอยู่ แล้วไม่รักษาเพราะไม่รู้ คุณอาจจะเสียชีวิตได้ ตรงนี้คือความผิดพลาดที่น่าห่วงอย่างยิ่ง ถ้าเพียงแค่มีอาการของ อี.ดี. เพียงอย่างเดียว จะไม่รักษาก็ไม่ตายหรอก อีกประการที่สำคัญคือ คุณอาจจะได้รับอันตรายจากการกินยาได้ เพราะยาหลายชนิดจะมีข้อบ่งใช้โดยเฉพาะ หรือข้อห้ามที่คุณไม่เคยรู้มาก่อน ยิ่งถ้าไปเจอเอายาปลอมยิ่งน่ากลัว เริ่มแรกคุณต้องไปพบหมอก่อน ซึ่งตรงนั้นหมอก็จะตรวจร่างกาย ซักประวัติ การตรวจร่างกายอย่างถูกต้อง จะทำให้ทราบถึงสมุฏฐานของโรคว่าเกิดจากอะไร เมื่อรู้สาเหตุ แพทย์ก็จะรักษาโรคที่ต้นเหตุ กรณีของผู้ที่เป็นไม่มาก อาจเพียงแค่ปรับเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิต การกิน การอยู่ เรื่องของอารมณ์และจิตใจ การออกกำลังกาย ปรับชีวิตใหม่ และบางครั้งก็ต้องนำพาร์ตเนอร์หรือคู่ หรือภรรยาของเขามา คุยกับหมอด้วย วิธีการเหล่านี้สามารถช่วยให้หลายคนดีขึ้น โดยไม่ต้องพึ่งอะไรเลย ทีนี้ถ้าลองทำตามวิธีการข้างต้น แล้วยังไม่ได้ผล ก็มีทางเลือกอีกหลายทาง ซึ่งการรักษา อี.ดี. ในทางการแพทย์จะรักษาอย่างเป็นขั้นเป็นตอน คือ แนวที่หนึ่ง แนวที่สอง แนวที่สาม...

"แนวที่หนึ่ง เป็นการรักษาแบบง่ายๆ ก่อนคือ การกินยา ซึ่งในปัจจุบันมียากินมากมาย และเป็นยาที่รักษาได้ผลเชื่อถือได้ การมียาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างที่เรียกว่า เปลี่ยนโฉม หน้าการรักษาอย่างชัดเจน เพราะได้ผลมาก ก่อนหน้านี้ก็มียากินเหมือนกัน แต่ว่าไม่มีประสิทธิผลพอ เพิ่งจะมียาดีที่ได้ผลเมื่อ ๕ ปีมานี่เอง บางคนก็ใช้กระบอกสุญญากาศ ซึ่งเป็นอุปกรณ์สำเร็จรูปสวมเข้าไป แล้วก็ปั๊มด้วยมือหรือใช้แบตเตอรี่ วิธีนี้ไม่ต้องกินยา ฉะนั้นหลายคนจะชอบ แต่บางคนก็ไม่ชอบบอกว่าเจ็บ นานาจิตตังครับ ตรงนี้ถือว่าการกินยา การใช้กระบอกสุญญากาศ เป็นการรักษาในแนวที่หนึ่งเป็นการรักษาเบื้องต้น

"แนวที่สอง ก็ขึ้นมาอีกสเต็ปหนึ่งคือ เริ่มเจ็บตัวแล้วนะ นั่นคือ การใช้ยาฉีดเข้าที่องคชาตโดยตรง วิธีนี้หลายคนเขาก็ใช้กัน แล้วความจริงยาฉีดเขาค้นพบได้ก่อนยากินนะ แต่ไม่ค่อยสะดวก ในแง่การปฏิบัติ และบางคนก็กลัว ซึ่งก็ได้ผล วิธีนี้เป็นวิธีที่ใช้เฉพาะกิจ เฉพาะเมื่อคุณมีความประสงค์จะมีเพศสัมพันธ์ ณ เวลานั้น จุดนั้น ถ้าไม่มีความต้องการก็ไม่ต้องใช้ นอกจากนี้ก็ยังมีการใช้ยาสอดเข้าทางท่อปัสสาวะอีกด้วย นี่ก็เป็น แนวทางที่สอง

"แนวที่สาม เมื่อยากินไม่ได้ผล ยาฉีดก็ไม่ได้ผล สุดท้ายบางคนอาจต้องทำการผ่าตัดแก้ไขหลอดเลือดที่องคชาต หรือใช้แกนเทียมใส่เข้าไปในองคชาต วิธีนี้ได้ผลดี แต่ค่าใช้จ่ายจะสูง เพราะวิธีการยุ่งยากซับซ้อนกว่าวิธีอื่นๆ และ ความจริงแกนเทียมนี่ค้นพบก่อนยาฉีดยากินด้วยซ้ำไป

"ทั้งหมดคือขั้นตอนการรักษา อี.ดี. ซึ่งแพทย์จะชี้แจงให้ผู้ป่วยฟังอย่างละเอียด ว่าเรามีขั้นตอนการรักษาตั้งแต่ ๑ ๒ ๓... ใครจะเลือกรักษาแบบไหนก็ ได้ตามความเหมาะสม แต่ว่าต้องมีข้อนี้เสมอ นั่นคือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเปลี่ยนนิสัย ซึ่งจะช่วยได้มากสำหรับคนที่มีอาการไม่รุนแรง นอกนั้นก็เหมือนกับเมนูให้คนไข้เลือก ไม่ใช่บอกว่าคุณเอายาไปกินเลย เพราะบางคนเขาเป็นโรคหัวใจ จะกินยาพวกนี้ไม่ได้ หรือยาอาจราคาแพงมากสำหรับบางคนซึ่งเขาไม่มีเงินซื้อ หรือให้คนไข้เอายาไปฉีด ซึ่งบางคนก็ไม่กล้าฉีด ทำไม่ได้ เพราะตาไม่ดี หรือมือสั่นอะไรอย่างนี้ คือเราจะให้คนไข้เขาเลือกเอง วิธีการต่างๆ ที่บอกไป ก่อนที่จะให้การรักษา แพทย์ก็จะดูที่ความสำคัญและความเดือดร้อนของแต่ละคน ขณะเดียวกันเมื่อรักษาไปแล้ว ต้องไม่ทำให้ฝ่ายภรรยาเดือดร้อน เพราะผู้สูงอายุหลายคน ภรรยาเขาหยุดเรื่องพวกนี้แล้ว แต่ตัวเองไปทำ ไปปลุกเขา ผมจะไม่รักษาผู้ชายที่คึกแต่ภรรยาไม่พร้อมด้วย อย่างนี้ไม่ดี หรือบางคนรักษา อี.ดี. เพื่อที่จะไปยุ่งกับเด็กสาวๆ กับโสเภณี มีเมียน้อย หรือประพฤติตัวนอกลู่นอกทาง สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่แพทย์จะต้องนำมาพิจารณา เพราะการรักษา อี.ดี. ก็เพื่อรักษาความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว ระหว่างสามีภรรยาให้ครองคู่อยู่ด้วยกันตลอดไป"

อาหารที่ช่วยเพิ่มพลังทางเพศ
ความเชื่อในเรื่องอาหารบำรุงกามมีมานานตั้งแต่ยุคโบราณแล้ว และถ้าจะนับตามความเชื่อที่ถ่ายทอดกันมาคงนับไม่ไหวเพราะมีมากมายนับร้อยชนิด ทั้งอาหารจากสัตว์ แมลง พืชสมุนไพร ผักผลไม้ และเครื่องดื่มสูตรต่างๆ ว่ากันว่าความเชื่อในเรื่องอาหารบำรุงกามนี้น่าจะมาจากหลักคิด ๓ ประการใหญ่ๆ คือ

๑. อิงตามเทพนิยายโบราณของชาวตะวันตก ที่เชื่อกันว่าเทพธิดาแห่งรักและกามารมณ์ถือกำเนิดจากทะเล ดังนั้น อาหารทะเลทุกชนิดสามารถช่วยเพิ่มพลังทางเพศได้ โดยเฉพาะหอยแครง หอยนางรม ซึ่งจินตนาการกันว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งเพศหญิง

๒. จินตนาการเกี่ยวกับรูปลักษณ์ของสิ่งต่างๆ ที่ละม้ายคล้ายคลึงกับอวัยวะเพศชาย หรือเมื่อรู้สึกว่าส่วนใดของร่างกายอ่อนแอ ก็จะชดเชยด้วยสิ่งที่คล้ายคลึงกันที่มีอยู่ตามธรรมชาติ เช่น อวัยวะเพศของเสือ ช้าง กวาง สิงโตทะเล นอแรด ดีหมี ดีงู เป็นต้น และแม้แต่ผักผลไม้หลายชนิด ก็ถูกคนในหลายวัฒนธรรมคิดว่าจะช่วยปลุกกำหนัดได้ เช่น กล้วยหอม แครอต แตงกวา มะเขือยาว หน่อไม้ฝรั่ง และเห็ดบางชนิด ส่วนที่เหมือนกับอวัยวะเพศหญิง ได้แก่ ลูกท้อ ลูกแพร์ อะโวคาโด เชอร์รี่ องุ่น แอปเปิล ทับทิม ถั่วอัลมอนด์ ถั่วพิชตาชิโอ เป็นต้น ความเชื่อในเรื่องที่เกี่ยวกับรูปลักษณ์นี้ มีผลกระทบอย่างมากต่อสิ่งแวดล้อม เพราะทำให้มีการล่าสัตว์และฆ่าสัตว์ป่ามากมาย โดยเฉพาะสัตว์บางชนิดแทบจะสูญพันธุ์ไปเลยอย่างแรด

๓. ความเชื่อเกี่ยวกับสมุนไพร ซึ่งเชื่อกันว่าอาหารรสเผ็ดร้อนต่างๆ จะช่วยกระตุ้นกำหนัดได้ เช่น เครื่องเทศต่างๆ หัวหอม กระเทียม พริกไทย กระชายดำ โสมต่างๆ ใบแปะก๊วย (จิงโกะ) กวาวเครือ เป็นต้น หรือแม้กระทั่งเครื่องดื่มและขนมหวานอย่างกาแฟและช็อกโกแลต ปัจจุบันได้มีผู้พยายามศึกษาวิจัย ในเรื่องอาหารที่จะช่วยเพิ่มพลังทางเพศกันมากมาย แต่ก็ยังไม่มีงานวิจัยชิ้นใดที่สามารถพิสูจน์ได้ว่า อาหารบำรุงกามตามที่เชื่อๆ กันนั้น มีประสิทธิผลจริงตามคำร่ำลือ เรื่องนี้ ศ.นพ.กฤษฎา รัตนโอฬาร ให้ข้อคิดว่า

"ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของจิตใจและความเชื่อมากกว่า แล้วความเชื่อนี้ทำให้การพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องยาก เพราะอารมณ์เพศเกิดจากจิตใจเป็นสำคัญ เมื่อใจเชื่ออย่างนั้นก็จะเกิดความรู้สึกที่ดี แต่ส่วนใหญ่เรื่องสมุนไพรมักไม่ใช่ข้อสรุปจากงานวิจัย เป็นเพียงคำบอกเล่าปากต่อปาก แล้วมีคนพูดว่าจริง ขณะนี้ไม่มีใครทำวิจัยเรื่องสมุนไพรรักษา อี.ดี. เพราะเป็นเรื่องยาก ปัญหาคือเราไม่รู้สรรพคุณที่แท้จริง ไม่ รู้ความเป็นมาว่าดีไม่ดีอย่างไร อันตรายไหมขนาดของตัวยาที่เหมาะสมเป็นอย่างไร ฤดูกาลเก็บเกี่ยวที่เพาะปลูก การวัดผล คือไม่มีใครรู้จริงๆ สักคน เป็นเพียงบอกต่อกันมา จึงวิจัยยากเพราะไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร แล้วจริงๆ ก็ไม่มีคนใช้อย่างแพร่หลายเพียงพอ ถ้าเผื่อคนใช้กันมากๆ แล้วได้ผลดีจริง ก็น่าศึกษาแต่นี่ไม่ชัดเจน อาจเป็นแค่เพียงความรู้สึก จึงไม่คุ้มที่จะลงทุนลงแรงศึกษาวิจัย

"เมื่อก่อนเชื่อว่า อี.ดี. เป็นโรคทางจิต แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่...เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเกิดจากโรคทางกายทางใจ เรามียารักษามากมายที่ได้ผลดี แล้วหากมีสาเหตุทางจิตใจเป็นหลักการไปพบจิตแพทย์ หรือพูดคุยทำความเข้าใจกันระหว่างสามีภรรยาแล้วปรับวิถีชีวิตก็หายได้ บางคนอาจจะแค่หลอดเลือดตีบนิดหน่อย พอเจอความเครียดผสมโรง ก็เลยเกิดอาการไม่สู้ ครั้งสองครั้งเมื่อร่วมเพศไม่ได้ก็ทำให้กลัว ทีนี้พอยิ่งกลัวก็ยิ่งไม่สำเร็จ เจอผู้หญิง...เจอภรรยาก็หงอทุกที แต่ถ้าปรับนิสัยใหม่ ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน กินดี อยู่ดี โรคก็หายได้"

การป้องกันปัญหา อี.ดี.
ดังที่ทราบกันไปแล้วว่าปัญหา อี.ดี. ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากโรคภัยทางด้านร่างกายเป็นหลัก อย่างเช่น คนที่เป็นเบาหวาน โอกาสเกิด อี.ดี. มี ถึงร้อยละ ๗๐-๗๕ ถ้าเป็นเบาหวานร่วมกับความดันเลือดสูง ตัวเลขก็จะ สูงขึ้นเป็นร้อยละ ๘๐-๘๕ แล้วหากมีหลายโรค เช่น เป็นทั้งเบาหวาน ความดันเลือดสูง และโรคหัวใจ ภาวะเสี่ยงต่อ อี.ดี.ก็มีถึงร้อยละ ๙๕-๑๐๐ เพราะฉะนั้นการที่จะป้องกันไม่ให้เป็น อี.ดี. ก็คือ การป้องกันไม่ให้เป็นโรคเหล่านี้ด้วยการดูแลปฏิบัติตัวตามหลักสุขภาพที่ดีที่รู้ๆ กันอยู่แล้ว ในเรื่องกินอาหารที่มีประโยชน์ การพักผ่อนอย่างพอเพียง ออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอ พยายามอย่าให้มีความเครียด ปัญหาทางใจในเรื่องครอบครัว การงาน เศรษฐกิจ หากแก้เองไม่ได้ก็คงต้องพึ่งจิตแพทย์ เพราะถ้าร่างกายและจิตใจอยู่ในภาวะสมดุล ระบบทุกอย่างในร่างกายก็ย่อม เป็นไปตามปกติ สุขภาพดี ร่างกายแข็งแรง เป็น เงื่อนไขสำคัญของพลานามัยทางเพศ เพราะพลังทางเพศก็คือพลังส่วนเกินจากที่จำเป็นสำหรับการทำงานของร่างกายในยามปกติ ดังนั้น ผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีปัญหาจิตใจ ก็ย่อมมีพลังทางเพศเพียงพอ โดยไม่ต้องไปพึ่งยา หรืออาหารกระตุ้นกำหนัดใดๆทั้งสิ้น หากสุขภาพไม่ดี ร่างกายไม่สมบูรณ์ มีความเครียดสูง ไม่มีกำลังวังชา อาหารบำรุงกามก่อนอื่นใด ทั้งหมดต้องเป็นอาหารสุขภาพที่เสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง ซึ่งก็คืออาหาร ๕ หมู่ ที่ต้องกินให้ครบในทุกๆ วันอยู่แล้ว ร่วมกับการออกกำลังที่เหมาะสม ลดน้ำหนัก ลดความอ้วน เมื่อร่างกายฟิต เรื่อง "อย่างว่า" ก็ดีเอง

รู้จักยารักษา อี.ดี. กันสักนิด
ยาที่ใช้รักษาผู้ป่วย อี.ดี. มีทั้ง ยาฉีด ยาทา และยากิน ที่ผ่านๆ มา ยาที่แพทย์ส่วนใหญ่ใช้รักษาผู้ป่วย อี.ดี. ได้แก่

  • ยาซิลเดนาฟิล (sildenafil) หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า ไวอะกร้า ยานี้จะออกฤทธิ์ที่กล้ามเนื้อเรียบของอวัยวะเพศ ทำให้เลือดมาเลี้ยงที่ภายในอวัยวะเพศมากขึ้นเมื่อมีสิ่งเร้าทางเพศ ทำให้องคชาตแข็งตัวได้ แต่ยาซิลเดนาฟิลก็ทำให้เกิดอาการข้างเคียงหลายอย่าง เช่น หน้าแดง ปวดท้อง คัดจมูก ปวดหัว ปวดกล้ามเนื้อ และทำให้องคชาตแข็งตัวนานเกินไป
     
  • ยาอัลโพรสเตดิล (alprostadil) ยาชนิดนี้มี ๒ แบบ แบบแรกใช้ฉีดเข้าองคชาตโดยตรง อีกแบบใช้สอดเข้าทางท่อปัสสาวะ เป็นการไปเปิดหลอดเลือดให้เลือดมาเลี้ยงอวัยวะเพศเพิ่มขึ้น ยาอัลโพรสเตดิลใช้ได้ผลดีในผู้ที่เป็นเบาหวาน และผู้ที่มีปัญหา อี.ดี. จากการผ่าตัดในช่องเชิงกราน หรืออุบัติเหตุของไขสันหลัง แต่ก็มีอาการข้างเคียงที่พบได้คือ ความดันเลือดของผู้ป่วยลดต่ำเกินไป มึนศีรษะ เป็นลม องคชาตแข็งตัวนานเกินไป และยาแบบสอดเข้าท่อปัสสาวะอาจทำให้มีการระคายเคืองที่ช่องคลอดของผู้หญิงได้ด้วย คือ จะมีอาการแสบๆ คันๆ ภายในช่องคลอด
     
  • ยาอัลโพรสเตดิล มีข้อห้ามใช้ในผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มในหลอดเลือด ในเร็วๆ นี้อาจจะมียาชนิดครีมสำหรับใช้ทาที่องคชาตด้วย

     
  • ยาอะโพมอร์ฟีนไฮโดรคลอไรด์ (apomorphine hydrochloride) เป็นยาตัวใหม่ชนิดเม็ดอมใต้ลิ้น ที่ให้ผลดีในการรักษา และมีอาการข้างเคียงพอสมควร วิธีใช้คือ อมเม็ดยาไว้ใต้ลิ้น ตัวยาจะออกฤทธิ์ในการสร้างสัญญาณ (sex signal) ส่งผ่านไปถึงองคชาต เมื่อองคชาตถูกกระตุ้นจะทำให้หลอดเลือดขยายตัว ทำให้เลือดมาคั่งที่องคชาต จนเกิดการแข็งตัวเหมือนผู้ชายปกติ

แม้จะแนะนำให้รู้จักยาชนิดต่างๆ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะให้ไปซื้อหามาใช้เอง ยารักษา อี.ดี. ต้องใช้โดยคำแนะนำจากแพทย์ผู้รักษาเท่านั้น อย่าลืมว่าการใช้ยาเองอาจมีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้

ข้อมูลสื่อ

292-003
นิตยสารหมอชาวบ้าน 292
สิงหาคม 2546
ธารดาว ทองแก้ว