• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

เครื่องสำอางของนอกกับของไทย ต่างกันตรงไหน?

ว่ากันว่าชีวิตคนส่วนใหญ่ทุกวันนี้ ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของการโฆษณาอย่างน่าเป็นห่วง ตั้งแต่เรื่องอาหารการกิน วิถีชีวิตความเป็นอยู่ หรือแม้แต่จะซื้อข้าวของอะไรสักอย่างมาใช้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าชนิดใดชนิดหนึ่งนั้นเป็นผลมาจากการได้ยิน ได้เห็น ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนคุ้นเคย และเกิดเป็นความเชื่อถือ
อย่างเรื่องของเครื่องสำอางก็เช่นกัน ถ้าหยิบนิตยสารขึ้นมาสักเล่มหนึ่ง เราจะได้เห็นโฆษณาผลิตภัณฑ์เพิ่มความสวยงามจากต่างประเทศนานายี่ห้อ และแต่ละยี่ห้อก็เขียนข้อความบอกกล่าวถึงคุณประโยชน์ของผลิตภัณฑ์อย่างน่าชวนเชิญให้รีบควักเงินซื้อ (สำหรับคนกระเป๋าหนัก) เสียอย่างเดียวที่สินค้าเครื่องสำอางเหล่านี้ราคาค่อนข้างแพงจนถึงแพงมาก เพราะฉะนั้นคนที่กระเป๋าเบาหรือเงินน้อยก็ได้แต่ทำตาปริบๆ ที่ไม่มีโอกาสได้ใช้ของราคาแพงจากเมืองนอกตามค่านิยมของสังคม

ครั้นมาถึงยุคปลุกกระแสนิยมไทย รวมทั้งการสนับสนุนให้ ประชาชนใช้ผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร ธรรมชาติ ก็จะเห็นว่ามีสินค้าเครื่องสำอางยี่ห้อไทยๆ วางขายกันดาษดื่นละลานตานับร้อยยี่ห้อ เอาล่ะซิ! คราวนี้จะเลือกซื้อยี่ห้อไหนดี เพราะดูหีบห่อบรรจุภัณฑ์ก็ล้วนสวยเก๋ น่าใช้ไปเสียหมด จนเกิดความรู้สึก " รักพี่เสียดายน้อง"  อยู่บ่อยๆ แล้วพอตัดสินใจไม่ได้ ในที่สุดหลายคนมักจะซื้อมา ทดลองใช้ทุกยี่ห้อ จนข้าวของกองเต็มบ้าน และหมดเงินไปกับความไม่รู้ไม่ใช่น้อย

ความจริงเครื่องสำอางสมุนไพรไทยใช้ได้ผลดีและราคาไม่แพงมาก ซึ่งหากผู้หญิงเราเลือกเป็นดูเป็น ก็จะประหยัดเงินในเรื่องฟุ่มเฟือยเหล่านี้ได้มากโขทีเดียว เภสัชกรหญิงสุภาภรณ์ ปิติพร แห่งโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ซึ่งเป็นผู้ผลิตยาสมุนไพรและเครื่องสำอางสมุนไพรยี่ห้อ " อภัยภูเบศร"  ได้ให้ความรู้เรื่องการผลิตเครื่องสำอางสมุนไพรกับนิตยสาร " หมอชาวบ้าน" รวมทั้งข้อคิดที่น่าสนใจในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ด้วย

"ของนอก" กับ "ของไทย" ต่างกันตรงไหน
อย่างที่เกริ่นมาข้างต้นว่า หน้าโฆษณาขายเครื่องสำอางในนิตยสารต่างๆ อ่านแล้วชวนเคลิบเคลิ้มเหลือเกิน เพราะแต่ละยี่ห้อก็มักจะบอกว่าสินค้าของตัวเองมีส่วนผสมพิเศษ เป็นสูตรลับเฉพาะ เป็น นวัตกรรมใหม่ หรือผ่านการวิจัยทดสอบกับผู้หญิงชาตินั้นชาตินี้มาแล้วกี่คน (ส่วนใหญ่เท่าที่เห็นจะอยู่ที่ ๑๐-๑๐๐ คน) และจากผล วิจัยก็จะออกมาในทำนอง "ใช้แล้ว ผิวขาวขึ้น เรียบเนียนขึ้น ริ้วรอยเหี่ยวย่นค่อยๆ จางหาย เป็นต้น"

ผู้เขียนเองขนาดรู้แสนรู้ว่า การโฆษณาเป็นการเลือกพูดแต่สิ่งที่ดีหรือจุดเด่นของสินค้าเพียงด้านเดียว พูดง่ายๆ คือบอกความจริงไม่หมด ถึงกระนั้นอ่านโฆษณาเหล่านี้ทีไรมักจะ "อิน" ไปกับข้อความ ที่ก๊อบปี้ไรเตอร์เขาร้อยเรียงขึ้นทุกครั้ง เรียกว่าอ่านเมื่อไรก็อยากซื้อ อยากใช้ อยากลองกับเขาบ้าง แต่ก็ไม่เคยต้องเสียเงิน  ด้วยเหตุว่าสินค้ายี่ห้อนอกเหล่านี้ แต่ละชิ้นแต่ละชนิดราคาเทียบเท่าราคาทองคำทีเดียว

แล้วที่ว่า "ผ่านการวิจัย"  นั้น เขาวิจัยกันลึกซึ้งละเอียดลออแค่ไหน ประเด็นนี้คุณสุภาภรณ์คุยให้ฟังว่า

" ต้องบอกก่อนว่าโดยทั่วไปเครื่องสำอางทั่วโลกไม่จำเป็นต้องทดลอง เพราะไม่ใช่ยารักษาโรค แต่เครื่องสำอางยี่ห้อแพงๆ เขาอาจ จะมีห้องทดลองของเขา ส่วนที่บอก สรรพคุณว่าแก้โน่นแก้นี่ได้มากมาย นั้น จริงๆ แล้วอาจจะไม่ได้มีการทดลองตามที่เขียนไว้ทั้งหมดหรอก หรืออาจจะมี แต่ส่วนใหญ่จะเป็นอะไรที่ขายฝัน (ขายโฆษณา) เสีย มากกว่า เพราะที่สุดแล้วถ้าเขาผลิตสินค้าที่ไม่ดีออกมา คนก็ไม่ ซื้อมาใช้ ส่วนที่บอก ว่ามีการทดลอง อย่าง น้อยก็สร้างความเชื่อถือ ให้กับตัวสินค้านั้นๆ
พูดไปแล้วต้นทุน จริงๆ ของเครื่องสำอาง กระปุกแพงๆ กับสิ่งที่ เราทำอยู่ บางทีก็ไม่แตกต่างกันนัก อย่างเช่น ครีมล้างหน้าแตงกวาขายอยู่ ๑๐๐ กว่า บาท (เรียกว่าเป็นสินค้าที่แพงที่สุด ในบรรดาผลิตภัณฑ์ของอภัยภูเบศร ขณะที่ของนอกราคาต่ำสุดก็ประมาณ ๗๐๐ บาทขึ้นไป) เพราะการทำค่อนข้างยุ่งยากและมีปัญหามาก แตงกวานี่เชื้อโรคชอบมาก เพราะฉะนั้นเราต้องใช้ clean room ในการปั่น กลั่นปุ๊บก็ต้องรีบส่งเข้าโรงงานแล้วไปทำเป็นครีม ใช้เวลาทดลองอยู่ ๒-๓ ปี ก่อนจะออกมาขาย

ที่นี่พยาบาลเยอะ...ก็เป็นข้อได้เปรียบที่ว่าเวลาจะทำอะไรออกมาแต่ละชิ้น ไม่ว่าจะเป็นครีมแตงกวา แชมพูต่างๆ หรือแป้งว่านที่กำลังจะทำออกมา ก็ได้ทำการทดลองกับน้องๆ หลายคน รวมทั้งทดสอบความพึงพอใจอย่าง แชมพูนี่เป็นเรื่องเฉพาะบุคคล มาก เพราะคนคนเดียวกันนี่เอง ช่วงก่อนมีประจำเดือนหรือช่วงที่อดนอน แชมพูตัวเดียวกันก็มีปัญหาได้ เพราะฉะนั้นถามว่าอภัยภูเบศรทำวิจัยไหม ทำ! แต่ ถามว่าจะเป็นการวิจัยที่เป็นทางคลินิกไหม คิดว่าคงไม่ต่างจากของเครื่องสำอางอื่นๆ

วันก่อน คุณลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ มาที่นี่บอกว่า "เดี๋ยวนี้  เลิกใช้ครีมราคาเป็นหมื่น เพราะใช้ครีมแตงกวาแล้วก็ไม่แตกต่างจากของแพงเลย คือเครื่องสำอางไม่ว่ายี่ห้อไหน ถ้าดูส่วนประกอบแล้วก็คล้ายๆ กัน อย่างแชมพูกี่ยี่ห้อ ก็เกือบจะคล้ายกันหมด คือส่วนใหญ่ของนอกก็จะเป็นการขายฝัน ขายหีบห่อบรรจุภัณฑ์ ขายยี่ห้อ ขายความหรูหรา ทำให้ดูแตกต่าง แล้วมีการลงทุนในการโฆษณาอย่างมากมายมหาศาล"

เหตุผลเหล่านี้ผู้เขียนคิดว่าบางคนรู้ว่าการที่สินค้ามีราคาแพง ส่วนหนึ่งเพราะผู้ผลิตได้บวกต้นทุน ในการโฆษณาไว้ด้วย แล้วบางครั้งถ้าหากขายถูกก็ทำให้ผู้ซื้อบางคนคิดว่าสินค้านั้นไม่ดี หรือไม่มีคุณภาพ ก็เพราะค่านิยมแบบนี้ นี่เองที่ทำให้บริษัททุนนิยมต่างๆ ร่ำรวยไปตามๆ กัน (ก็คุณเต็มใจให้เขาหลอกเองนี่นา)
เพราะฉะนั้นเครื่องสำอางคนไทยที่ชื่อไทย หรือแม้จะตั้งชื่อเป็นฝรั่งที่มีงบการตลาดน้อย ก็เลยเป็น สินค้าที่ดูไม่ไฮโซ ไม่น่าสนใจ ไม่น่า เชื่อถือ ทั้งๆ ที่มีคุณภาพดีและราคาถูก (ที่ผู้ผลิตบางรายไม่อยาก เอาเปรียบคนไทยด้วยกันเองจึงพยายามขายถูก แต่คนไทยใจฝรั่ง มักไม่เชื่อว่าของไทยจะดีสู้ต่างชาติ ได้)

อยากบอกว่าเดี๋ยวนี้เครื่องสำอางของคนไทย ส่งออกไปขายต่างประเทศกันมากขึ้นทั้งที่เป็นชื่อไทยพันธุ์แท้อย่างไม่อายใคร หรือชื่อที่เป็นสากล แต่สัญชาติไทยเมดอินไทยแลนด์ ก็ทำให้คนไทยใช้ แต่ไทยกันเองไม่ใช้ อย่ากระนั้นเลยส่งขายต่างชาติดีกว่า แถมได้ราคาดีกว่าด้วย

เครื่องสำอางสมุนไพร ยังไงก็ยังมีสารเคมี
ผู้หญิงบางคนแพ้สารเคมีในเครื่องสำอาง ก็จะหันมาใช้เครื่องสำอางที่ติดฉลากว่าผสมสมุนไพรนานาชนิดเป็นทางเลือก แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ขึ้นชื่อว่าเครื่องสำอาง แล้วก็หนีไม่พ้นที่จะต้องมีสารเคมีเป็นส่วนประกอบไม่มากก็น้อยแทบทั้งสิ้น คุณสุภาภรณ์แสดงความคิดเห็นในประเด็นนี้ว่า

"สมัยก่อนเราไม่ได้ใช้สารเคมี สาวๆ ที่รักสวยรักงาม ก็จะเสริมแต่งจากของธรรมชาติที่มีอยู่รอบตัว อย่างเช่น ใช้สีผึ้งทาปาก ใช้แป้งว่านทาหน้า หรือแกะเมล็ดบานเย็น มาทาผิว (เมล็ดบานเย็น มีไขมัน) หรือเคี่ยวน้ำมันไว้ใส่ผม ต่อมา ก็มีการพัฒนาเป็นครีมต่างๆ ซึ่งครีมก็เป็นสารเคมี แต่อาจไม่ใช่สารเคมีที่อันตราย
เมื่อก่อนเวลาสระผมคนโบราณจะใช้ขี้เถ้า ต่อมาก็มีการเคี่ยวด่างกับไขมัน ทำเป็นพวกสบู่ ซึ่งบางครั้งเคี่ยวไม่หมดก็ละลายน้ำได้น้อย ก็จะมีเหนียวๆ แล้วด้วยกระบวนการ ปิโตเคมีคอลจากการกลั่นน้ำมัน เราก็สามารถสังเคราะห์สารเหล่านี้มาเป็นผงซักฟอก เป็นสบู่ เป็นยาสระผม ซึ่งเป็นเทคโนโลยีของทางตะวันตก ทีนี้การใช้สมุนไพรลงไปก็คือนำส่วนที่เป็นประโยชน์ของสมุนไพร เช่น มีสารต้านอนุมูล อิสระ หรือการลดการอักเสบต่างๆส่ลงไป เพื่อช่วยลดการระคายของ แชมพูที่มีต่อหนังศีรษะ หรืออาจช่วยในการทำให้เส้นผมกระชับขึ้น

ที่อภัยภูเบศรเรามีสินค้าที่เป็นสมุนไพรล้วนๆ อยู่หลายตัว อย่างเช่น ครีมมะขาม น้ำมันสมอ และยาสีฟัน ที่ทำน้ำมันสมอขึ้นมา ก็เพราะเดี๋ยวนี้คนจะสระผมกันบ่อยทุกวัน แล้วแชมพูสระผมจะค่อยๆ ทำลายน้ำมันธรรมชาติ เรา ก็เคี่ยวน้ำมันมะขามป้อมกับสมอไทย เป็นน้ำมันหมักผมเพื่อช่วยปรับสภาพเส้นผม หรือยาสีฟันของที่นี่เราจะใส่สมุนไพรลงไปเยอะมาก จนบางครั้งจะมีความคงตัวน้อย ซึ่งบางคนอาจจะไม่ชอบ"

เท่าที่ผู้เขียนทราบ เครื่องสำอางสมุนไพรล้วนๆ นั้นแทบจะไม่มี ผู้ผลิตออกมาจำหน่าย เพราะสินค้า ไม่สามารถเก็บไว้ได้นาน ซึ่งจะมีผลกระทบต่อการจำหน่าย ดังนั้น จึงต้องมีการเติมสารต่างๆ ลงไป อย่างน้อยก็สารกันหืนหรือสารกันบูด เพื่อยืดอายุเครื่องสำอางให้อยู่ได้นานหลายปี และขายได้กว้างขวางมากขึ้น อย่างไรก็ตาม เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสารสกัดจาก ธรรมชาติก็ยังดีกว่าเครื่องสำอางที่มีส่วนประกอบเป็นสารเคมีล้วนๆ

อยากใช้สินค้าคุณภาพต้องรู้จักเลือก
ท่ามกลางความหลากหลายของสินค้าเครื่องสำอางสมุนไพรไทย ที่วางจำหน่าย ซึ่งล้วนน่าซื้อน่าลอง แทบทั้งสิ้น ข้างฝ่ายผู้ซื้อเองก็ค่อน ข้างจะสับสน เพราะสินค้าประเภท เดียวกันบางครั้งมีหลายสิบยี่ห้อ (ทั้งที่ใช้ชื่อไทยและชื่อฝรั่ง) สุดท้าย หลายคนต้องใช้วิธี " ลองของ" ไป เรื่อยๆ จนกว่าจะรู้สึกว่าสินค้านั้น เหมาะกับตัวเอง คุณสุภาภรณ์ในฐานะเภสัชกรและในฐานะผู้ผลิต ได้ให้คำแนะนำในการเลือกซื้อเครื่องสำอางเหล่านี้ว่า

 " ความจริงแล้วเครื่องสำอางโดยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นโลชั่น แชมพู ครีมบำรุงผิว แป้ง หรืออื่นๆ จะมีสูตรเฉพาะอยู่แล้ว เพียงแต่เราดัดแปลงมาใส่สมุนไพรหลายชนิด ลงไปให้มีประโยชน์มากขึ้น แล้วใส่กลิ่น ใส่กล่องให้ดูดี น่าซื้อ น่าใช้ แต่โดยส่วนผสมหลักๆ จะเหมือนกันหมด

เพราะฉะนั้นในการเลือกซื้ออันดับแรกก็ดูที่คนทำว่าน่าเชื่อถือ หรือผลิตได้มาตรฐานหรือเปล่า (โดยอาจสังเกตจากเครื่องหมายรับรองจากหน่วยงานต่างๆ) แล้วก็ดูว่าเราตอบสนองกับผลิตภัณฑ์นั้นแค่ไหน หมายถึงใช้แล้วไม่มีปัญหาก็ใช้ต่อไปได้ ส่วนเรื่องราคา ก็ไม่จำเป็นต้องแพงมาก ไม่ใช่ว่าเปลี่ยนยี่ห้อใหม่อยู่เรื่อยๆ เพราะคิดว่าจะทำให้ตัวเองสวยเพิ่มขึ้น ไม่อย่างนั้นก็จะโดนหลอกเสียเงินไป เรื่อยๆ ในเรื่องของส่วนประกอบหรือส่วนผสมต่างๆ ถ้าไม่ใช่เภสัชกร หรือคนที่สนใจจริงๆ ก็อาจจะดูยาก สักหน่อย "

ได้ยินคำยืนยันอย่างนี้แล้ว คุณผู้หญิงทั้งหลายคงสบายใจกันมากขึ้นที่ต่อไปนี้ทุกคนสามารถจะดูดีขึ้นได้ โดยไม่ต้องเสียเงินมากเป็นหมื่นเป็นแสน เพราะจริงๆ แล้วของแพงใช่ว่าจะเป็นของดีเสมอ ไป ทำนองเดียวกันของราคาถูกบาง ครั้งอาจคุณภาพดีกว่าของราคาแพง ด้วยซ้ำ อยู่ที่ว่าเลือกเป็นหรือเปล่า ส่วนของที่ราคาถูกมากๆ ชนิดราคา ๒๐-๓๐ บาท ที่ขายกองๆ อยู่ใน กระบะนั้นก็ให้ระวังกันบ้างนะคะ เพราะอันตรายถึงขั้นเสียโฉมได้ ถ้ารู้เท่าไม่ถึงการณ์

สารสกัดธรรมชาติในเครื่องสำอาง
ต้องบอกว่าเป็นยุคที่ฮิตจริงๆ กับการเติมสารสกัดจากธรรมชาติชนิดต่างๆ ลงไปในเครื่องสำอาง ไม่ว่าจะเป็นแตงกวา มะเขือเทศ กล้วย ส้ม อ้อย น้ำผึ้ง ไข่แดง บัวบก ไชเท้า แปะก๊วย ว่านหางจระเข้ เป็นต้น ซึ่งหลายคนอาจสงสัยว่าระหว่างของสดๆ กับสารสกัดอย่างไหนจะดีกว่ากัน เรื่องนี้คุณสุภาภรณ์บอกว่า  

" ถ้ามีความรู้แล้วใช้ในปริมาณ ที่เหมาะสม ใช้อย่างถูกวิธี แน่นอน ว่าของสดๆ นี่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็น แตงกวา มะเขือเทศ กล้วย แตงโม หรืออื่นๆ ซึ่งจริงๆ คนโบราณเขาก็ใช้กันมาตั้งนานแล้ว อย่างเช่นว่านหางจระเข้ แม้จะมีที่ไม่มากนักถ้าเราปลูกไว้สักกระถาง แล้วค่อยๆ ตัดมาทีละแว่นๆ ก็ไม่จำเป็น ต้องไปซื้อเครื่องสำอาง เพราะว่านหางจระเข้ใช้กับผมก็ได้ ใช้กับผิวหน้าก็ได้

แล้วการที่นำว่านหาง-จระเข้ไปผ่านกระบวนการกว่าจะเอามาใช้ คุณค่าก็ลดลง สู้ใช้แบบสดๆ จะดีกว่า เพียงแต่ว่า ณ วันนี้ เราไม่ยอมเสียเวลาให้กับสิ่งเหล่านี้ แต่กลับเอาเวลาไปทำงานหาเงิน แล้วมาซื้อครีมกระปุกละ ๓,๐๐๐ บาท ซึ่งอาจได้ผลรับเช่น เดียวกับการใช้ว่านหางจระเข้ ๑ กระถางสดๆ ที่เราปลูกไว้เอง ก็จะช่วยประหยัดเงินตราต่างประเทศ ได้มาก และจะได้ไม่ถูกเขาหลอก เพราะว่าสมุนไพร (นานาชนิดในเครื่องสำอางทั้งหลาย ที่บอกว่าช่วย รักษาโน่นรักษานี่ได้มากมาย) ไม่ได้มีงานวิจัยอะไรชัดเจน"

ผู้หญิงเราถูกหลอกให้ต้อง ซื้อของแพงกันมานานแล้ว โดยเฉพาะสินค้าประเภทเครื่องสำอาง ถึงเวลาแล้วกระมัง ที่จะต้องหันกลับมาสวยแบบสมเหตุสมผล สวยแบบพึ่งสารเคมีให้น้อยที่สุด สวยแบบประหยัด และสุดท้ายคือสวยแบบกู้ชาติ นั่นคือ อุดหนุน สินค้าของคนไทย เงินทองจะได้ไม่ รั่วไหลออกนอกประเทศ เหมือน ที่ผ่านๆ มา

ข้อมูล :
 ภญ.สุภาภรณ์ ปิติพร
 โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร

ข้อมูลสื่อ

286-005
นิตยสารหมอชาวบ้าน 286
กุมภาพันธ์ 2546
ธารดาว ทองแก้ว