คนในเมืองแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมวิกฤติง่ายนิดเดียว ด้วยการกินอาหารปลอดสารเคมี
ประเวศ วะสี
ภาวะแวดล้อมวิกฤติที่สำคัญคือการทำลายป่าไม้ ประเทศไทยมีเนื้อที่ 321 ล้านไร่ เมื่อ 35 ปีก่อนเรามีเนื้อที่เป็นป่ากว่า 220 ล้านไร่ หรือกว่าร้อยละ 69 ของเนื้อที่
การที่ประเทศใดประเทศหนึ่งจะมีความสมดุลตามธรรมชาติ ควรมีเนื้อที่เป็นป่าร้อยละ 50 หรืออย่างน้อยไม่ควรต่ำกว่าร้อยละ 40
ภายใน 30 ปีเศษประเทศไทยทำลายป่าไม้ของตนเองลงไปกว่าเท่าตัว ขณะนี้เหลือไม่ถึงร้อยละ 24 ภาคอีสานเหลือน้อยกว่านี้มาก บางจังหวัดเหลือไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์
เมื่อเป็นเช่นนี้ธรรมชาติก็เสียสมดุลและมีผลกระทบต่อมนุษย์อย่างรุนแรง เมื่อป่าไม้หมดไป หน้าดินอันมีคุณค่าก็จะผุกร่อนไปด้วยแรงลมและแรงน้ำ ป่าเหลือน้อยทำให้ฝนแล้ง แต่ถ้าฝนตกน้ำก็ท่วมเพราะขาดต้นไม้ดูดซับน้ำไว้ นอกจากนั้นเมื่อป่าเหลือน้อยต้นน้ำลำธารก็เหือดแห้งไป ระดับน้ำในแม่น้ำลำคลองและเหนือเขื่อนลดต่ำลง ประเทศไทยซึ่งเคยเป็นเมืองน้ำกำลังเกิดวิกฤติการณ์ขาดแคลนน้ำ
เมื่อป่าไม้หมดไปคนชนบทก็จะยากจนมากยิ่งขึ้น ป่าเป็นเศรษฐกิจของคนจน เพราะได้อาศัยเก็บเห็ด หน่อไม้ ผักต่างๆ จับสัตว์ ฯลฯ เมื่อป่าหมดไปก็ไม่รู้จะเอาอะไรกิน เกิดปัญหาสังคมและการเมืองตามมา ปัญหาเหล่านี้แก้ไขได้ยาก
แต่วิธีง่ายที่สุดวิธีหนึ่งคือคนในเมืองพากันกินอาหารปลอดสารเคมี
นอกจากเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของตัวเองแล้ว ยังช่วยแก้ปัญหาวิกฤติการณ์สิ่งแวดล้อมด้วย เรื่องนี้ถ้าเข้าใจก็จะเชื่อมต่อความจริงได้ และนำไปสู่การสร้างประโยชน์
การเกษตรทุกวันนี้เป็นการเกษตรที่ใช้สารเคมีคือปุ๋ยเคมีและสารพิษฆ่าแมลง อาหารปนเปื้อนด้วยสารเคมีไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ ขนาดบางครั้งเกษตรกรยังไม่กล้าใช้ผักที่ตัวเองปลูกเองเลี้ยงหมู เพราะกลัวหมูจะเป็นอันตรายจากสารเคมี
การที่ต้องใช้สารเคมีมากก็เพราะทำเกษตรกรรมแบบผิดธรรมชาติ คือปลูกพืชอย่างใดอย่างเดียวจำนวนมากๆ เช่น ปลูกข้าวอย่างเดียว ปลูกอ้อยอย่างเดียว ปลูกมันสำปะหลังอย่างเดียว ปลูกปออย่างเดียว
การปลูกพืชเดี่ยวๆจำนวนมากเป็นการทำลายความสมดุลของธรรมชาติ กล่าวคือ
- ทำลายป่าไม้
- ทำลายปุ๋ย จึงต้องใช้ปุ๋ยเคมี
- ทำลายความสมดุลระหว่างแมลงและพืช ทำให้ต้องใช้สารพิษฆ่าแมลง ซึ่งไม่ได้ฆ่าแต่แมลง แต่
ฆ่าไส้เดือน ฆ่าจุลชีพในดิน ฆ่าหอย ฆ่าปู ฆ่าปลา และฆ่าคนได้
เกษตรธรรมชาติหรือเกษตรที่เลียนแบบธรรมชาติ ได้แก่ เกษตรผสมผสานที่ปลูกพืชหลายชนิดคละปะปนกันเหมือนสภาพป่า อีกชื่อหนึ่งจึงเรียกว่าวนเกษตร คือการเกษตรที่เป็นป่าไปด้วยพร้อมกัน การเกษตรชนิดนี้ไม่ต้องใช้ปุ๋ยเคมี และไม่ต้องใช้สารพิษฆ่าแมลง ไม่เคยมีใครต้องไปใส่ปุ๋ยให้ป่า ป่าไม้ก็งามสะพรั่ง เพราะถ้ามีต้นไม้หลากชนิดมันสร้างปุ๋ยได้เอง ไม่มีใครต้องไปพ่นสารพิษฆ่าแมลงเพื่อรักษาป่า เพราะป่าธรรมชาติที่มีต้นไม้หลายชนิดขึ้นคละปะปนกัน ต้นไม้กับแมลงได้สมดุลกัน แมลงไม่สามารถทำลายป่าได้
เกษตรปลอดสารเคมี คือเกษตรที่เลียนแบบธรรมชาติเป็นเกษตรนิเวศน์ คือได้การเกษตรด้วย ได้การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมด้วย
ฉะนั้นถ้าคนในเมืองกินอาหารปลอดสารเคมี อำนาจของผู้บริโภคก็จะไปกระตุ้นให้เกิดการเกษตรปลอดสารเคมี ซึ่งเป็นเกษตรนิเวศน์ มีผลให้ป่าไม้กลับคืนมา และต้นน้ำลำธารกลับคืนมาได้ทีเดียว
- อ่าน 2,149 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้