• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

เมื่อน้องมิ้นต์พบหมอฟัน

เมื่อน้องมิ้นต์พบหมอฟัน


สภาพสังคมปัจจุบันที่เร่งรัด วุ่นวาย ทำให้เวลาในการเอาใจใส่เลี้ยงดูลูกของพ่อแม่ลดลง เด็กเล็กส่วนมากใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับพี่เลี้ยง ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน สถานรับเลี้ยงเด็ก หรือโรงเรียนอนุบาล จึงไม่น่าแปลกใจที่เด็กเหล่านี้จะได้รับอิทธิพลด้านต่างๆจากพี่เลี้ยงเป็นอย่างมาก ซึ่งก็น่าเป็นห่วงเพราะเด็กๆ จะเลียนแบบพฤติกรรม ข้อปฏิบัติในชีวิตประจำวันจากผู้ที่เลี้ยงดูใกล้ชิด จากนั้นเด็กจึงจะปรับรับเข้าเป็นนิสัยการปฏิบัติของตน

ลักษณะการเรียนรู้ที่ว่านี้เกิดขึ้นตั้งแต่เด็กยังเล็กและเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป นิสัยเหล่านี้ที่สำคัญ ได้แก่ นิสัยในการดูแลสุขภาพส่วนบุคคล เช่น ความสะอาดของร่างกาย การดูแลรักษาสุขภาพช่องปาก เช่น นิสัยการแปรงฟัน การเลือกกินอาหาร เป็นต้น

สุขภาพช่องปากและฟันของเด็กเล็กดูจะอยู่ในความสนใจของพ่อแม่น้อยเต็มที เพียงแต่ว่าบอกให้เด็กแปรงฟัน หรือบอกให้พี่เลี้ยงช่วยดูให้ เมื่อมีปัญหาก็พาไปถอนฟันเท่านั้นเอง แถมพ่อแม่บางรายยังไม่มีเวลาพาลูกไปพบหมอฟันด้วยตนเอง ภาระหน้าที่การพาไปพบทันตแพทย์ก็ยังเป็นหน้าที่ของพี่เลี้ยงไปเสียอีก

การพาเด็กเล็กไปทำฟันเป็นเรื่องปวดเศียรเวียนเกล้าพอสมควร ยิ่งถ้าเป็นเด็กที่โตมากับพี่เลี้ยงเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะเด็กที่เคยถูกพี่เลี้ยงเล่าปนขู่เรื่องการทำฟันมาก่อนก็ยิ่งจะน่าหนักใจมากยิ่งขึ้น เพราะในเด็กเล็ก เด็กจะแยกจินตนาการกับความจริงไม่ออก เด็กจะถือเรื่องในจินตนาการเป็นเรื่องจริงจัง เมื่อได้รับฟังเรื่องราว เด็กจะจินตนาการไปไกล และวาดภาพไว้เกินจริงเสมอ ดังนั้น การทำฟันในเด็กเล็กที่มีจินตนาการ (แบบร้ายๆแฝง) อยู่ จึงต้องอาศัยความรู้ ความเข้าใจ ความอดทนอดกลั้น และความร่วมมือเป็นอย่างดีของพ่อแม่ผู้ปกครองกับหมอฟันเป็นพื้นฐานสำคัญ เพื่อให้การทำฟันนั้นๆ เป็นประสบการณ์ที่ดีที่เด็กยอมรับ และให้ความร่วมมือในครั้งต่อๆ ไปด้วย

น้องมิ้นต์อายุใกล้จะ 5 ขวบ มาพบหมอด้วยอาการที่คุณพ่อบอกว่า ‘น้องมิ้นต์ปวดฟัน’ น้องมิ้นต์ร้องไห้ครางฮือๆ มาตลอด เมื่อเห็นเก้าอี้ทำฟันก็ยิ่งร้องไห้ใหญ่ ครั้นคุณพ่อบอกว่าอยากให้ถอนฟันน้ำนมออก น้องมิ้นต์ก็ยกมือปิดปากตัวเองแน่นหนา แม้ว่าจะเม้มริมฝีปากเสียแน่นแล้วก็ตาม เห็นท่าทางแบบนี้ทั้งหมอและคุณพ่อก็แอบถอนหายใจคนละเฮือกก่อนที่จะค่อยๆปลอบปนขู่ให้น้องมิ้นต์ยอมขึ้นนั่งบนเก้าอี้ทำฟัน หลังจากนั้นหมอก็ส่งสัญญาณให้คุณพ่อเงียบๆ และยอมให้น้องมิ้นต์จับมือคุณพ่อไว้ได้ แล้วหมอก็ถามชื่อถามโรงเรียนของน้องมิ้นต์ จากนั้นหมอก็เอากระจกส่องให้น้องมิ้นต์ดู บอกว่าจะมานับฟันในปากของน้องมิ้นต์กันว่ามีกี่ซี่ มีซี่ไหนที่สวยๆ บ้าง

ก่อนที่น้องมิ้นต์จะยอมอ้าปากก็ขอสัญญาก่อนว่าหมอจะไม่ถอนฟัน หมอจะต้องทำเบาๆ ไม่เจ็บ และไม่ฉีดยา หมอจึงตอบน้องมิ้นต์ไปว่า “ที่แน่ๆ หมอจะไม่ถอนฟันและทำเบาๆ ไม่เจ็บแน่ ให้น้องมิ้นต์อ้าปากได้” เมื่อน้องมิ้นต์ยอมอ้าปาก ก็เห็นขี้ฟันเต็มปากเลย เพราะไม่ยอมแปรงฟันมาหลายวัน หมอก็บอกว่า “รู้แล้วว่าทำไมน้องมิ้นต์ไม่ยอมยิ้มเลยวันนี้ เพราะมีขี้ฟันเยอะนี่เอง ถ้างั้นวันนี้หมอช่วยขัดขี้ฟันออกให้ น้องมิ้นต์จะได้ยิ้มซะที” แล้วหมอก็ค่อยๆ ตรวจหาสาเหตุที่ทำให้น้องมิ้นต์เจ็บมากขนาดร้องไห้เพื่อมาหาทันตแพทย์ ก็พบว่า นอกจากจะมีฟันผุหลายซี่ในปากแล้ว บริเวณริมฝีปากด้านล่างที่น้องมิ้นต์พยายามจะปิดป้อง หมอก็สงสัยไว้ก่อนว่าน่าจะมีอะไรผิดปกติ เมื่อตรวจดูก็พบว่า เป็นแผลที่กระพุ้งแก้มขนาดใหญ่

เด็กๆ มักเป็นแผลที่ริมฝีปากและกระพุ้งแก้มได้ง่าย เพราะเด็กมักขาดความระมัดระวัง บางทีก็หกล้มกระแทก หรือแปรงสีฟันกระแทก เมื่อเป็นแผลและเจ็บ เด็กก็ไม่ยอมแตะต้องบริเวณนั้น แปรงฟันก็ไม่ได้ ทำให้อาการเจ็บเป็นมากขึ้น แผลหายยากขึ้น เพราะเชื้อโรคจากสิ่งสกปรกรอบๆ ฟันไปทำให้เกิดการอักเสบ แทนที่แผลจะหายเองใน 2 สัปดาห์ ก็จะยิ่งเป็นนานขึ้น เด็กบางคนมีอาการไข้ร่วมด้วย และบางครั้งก็ดินไม่ได้ ทำให้ร่างกายยิ่งอ่อนแอลง

จากการที่เด็กไม่ได้รับการเอาใจใส่ดูแลอย่างเพียงพอ พ่อแม่มักคิดเพียงว่าเกิดฟันผุ ปวดฟัน ต้องถอนฟัน แต่แท้ที่จริงแล้วเกิดจากการเป็นแผลในปากต่างหาก หมอชี้ให้น้องมิ้นต์และคุณพ่อดูว่าเป็นอะไร จะดูแลรักษาได้อย่างไร

คุณพ่อก็ถามว่าใส่ยาให้ได้ไหม นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญในยุคปัจจุบัน เรามักต้องการแต่ของสำเร็จรูปที่เห็นผลได้เร็วๆ เพียงแต่ใส่ยาปุ๊บแผลจะหายปั๊บประเภทนั้น ซึ่งอันที่จริงแล้วแผลในปากนี้ไม่จำเป็นต้องใส่ยาเลย เพียงแต่ต้องทำความสะอาดช่องปากให้ดี อาการต่างๆ จะหายไปเอง ยกเว้นกรณีมีไข้ เด็กกินอาหารไม่ได้ หมอก็จะให้ยาลดไข้แก้ปวด พร้อมกับยาทาเพื่อช่วยทุเลาอาการปวดแสบร้อนขณะกินอาหารได้บ้างเท่านั้น

น้องมิ้นต์ชักใจชื้นขึ้นเมื่อเห็นว่าหมอไม่ได้ทำให้เจ็บ แถมยังรู้ด้วยว่าสาเหตุที่เจ็บเป็นอะไร และข้อสำคัญ คือ ไม่ต้องถอนฟัน ซึ่งน้องมิ้นต์กลัวนักกลัวหนา ก็พี่โอ๋ พี่เลี้ยงคนดีเขาบอกมานี่นาว่าถอนฟันน่ะต้องฉีดยาชาที่แสนจะเจ็บ แถมตอนถอนก็น่ากลัวมากและเจ็บอีกต่างหาก หมอได้ให้น้องมิ้นต์ดูกระจกพร้อมกับเอาเครื่องมือรูปร่างคล้ายเคียว มีปลายแหลมๆ มีเขี่ยดูที่เล็บของน้องมิ้นต์ ซึ่งไม่เจ็บเลย จากนั้นหมอก็เขี่ยเอาขี้ฟันออกจากฟันทีละซี่ พอถึงฟันกราม ขี้ฟันเริ่มแข็งเพราะค้างอยู่นาน หมอก็เปลี่ยนเครื่องมือเป็นคล้ายๆ ช้อนอันเล็กๆ ซึ่งหมอต้องให้น้องมิ้นต์ตรวจดูอย่างแน่ใจก่อนทุกครั้ง

หลักการลักษณะนี้เป็นการติดต่อสื่อความกับเด็กเล็ก ที่ทำเพื่อให้เขาเข้าใจ ทำให้ดู และค่อยๆ ทำจริงๆ ในปาก ซึ่งเด็กจะยอมรับได้ ดังนั้นน้องมิ้นต์จึงยอมอ้าปากอย่างดีเมื่อหมอขัดฟันให้สะอาด แถมน้องมิ้นต์ช่วยจับแยกริมฝีปากส่วนที่เจ็บออกเพราะกลัวหมอจะไปโดนเข้า น้องมิ้นต์เริ่มคุ้นกับหมอโดยขอให้หมอช่วยขัดฟันน้ำนมสีดำที่ยังแทรกค้างอยู่ระหว่างฟันแท้ซี่หน้า ซึ่งหมอก็ยินยอมทำให้แต่โดยดี หลังจากนั้นหมอบอกน้องมิ้นต์ว่า มีฟันแท้ผุไม่สวยอยู่ข้างใน หมอจะอาบน้ำทำความสะอาดฟัน แล้วจะแต่งตัวให้ฟันสวยๆ น้องมิ้นต์จะได้ยิ้มได้อย่างมั่นใจ ในครั้งแรกน้องมิ้นต์กลัวที่จะมีเครื่องกรอฟันเสียงดังอยู่ในปาก แถมมีที่ดูดน้ำลายด้วย พอหมออธิบายว่า ตอนที่อาบน้ำบางทีฟันอาจจะจั๊กกะจี้ (เสียว) บ้าง แต่ไม่เจ็บนะ ที่ดูดน้ำลายก็เพราะน้ำจะท่วมปากถ้าไม้ดูดออก

พออาบน้ำให้ฟัน (กรอฟัน) สะอาดแล้ว หมอก็ให้น้องมิ้นต์ดูกระจกอีกครั้ง แล้วก็อุดฟันให้ พอเสร็จแล้ว น้องมิ้นต์ก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อวดฟันขาวๆ ไปทั่วทีเดียว งานนี้ต้องขอบคุณคุณพ่อของน้องมิ้นต์ที่เข้าใจในการทำงานของหมอ ไม่รบกวนขณะที่หมอทำงาน และสนับสนุนให้กำลังใจหลังการทำฟันเสร็จเรียบร้อยแล้ว

2 สัปดาห์ต่อมา น้องมิ้นต์กลับมาพบหมออีกครั้ง พร้อมด้วยน้องสาววัย 3 ขวบ กับเสียงคุยจ้อมาตลอดว่า ทำฟันไม่เจ็บเลย อยากให้น้องไหมได้ทำบ้าง ขณะที่หมอทำการอุดฟันให้น้องไหม น้องสาวของน้องมิ้นต์นั้น น้องมิ้นต์มายืนดูเป็นกำลังใจเชียร์น้องไหมตลอดเวลา ไม่มีอาการกลัวการทำฟันอีก ส่วนน้องมิ้นต์เองก็ต้องอุดฟันเพิ่มไปอีก 1 ซี่ ก่อนจะกลับสองสาวน้อยหันมายกนิ้วหัวแม่มือให้หมอ พร้อมกับบอกว่า “คุณหมอยอดเยี่ยมจริงๆ เลย”

เฮ้อ! กว่าจะได้เป็น ‘ยอดเยี่ยมจริงๆ เลย’ ของบรรดาสาวน้อยตัวเล็กๆ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยละค่ะ

ข้อมูลสื่อ

167-007
นิตยสารหมอชาวบ้าน 167
มีนาคม 2536
หมอปุ้ย