• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

ร่วมด้วยช่วยกันเยียวยาโลก ธรรมสัญจรสู่มูลนิธิพุทธฉือจี้

ร่วมด้วยช่วยกันเยียวยาโลก ธรรมสัญจรสู่มูลนิธิพุทธฉือจี้
(เขียนเมื่อ 28 มกราคม 2550)



5 ท่านธรรมาจารย์เจิ้งเหยียน (ต่อ)


" ฉันจะต้องลืมอดีต และอยู่กับปัจจุบันเท่านั้น "

                                                                                                         ธรรมาจารย์เจิ้งเหยียน

เหมันตฤดูปีนี้หนาวเย็นกว่าปกติ อุณหภูมิที่ " สวนกวาง " ลดลงต่ำถึงห้าสิบกว่าองศา (ฟาเรนไฮต์) ลมหนาวพัดลงมาจากภูเขา ผนังของวัดเล็กๆ บนเขานั้นก็บางมาก ทำให้ลมหนาวพัดเข้ามาเต็มห้อง และแล้วกลางเดือนธันวาคมนั้นฤดูฝนก็เริ่มขึ้น หลังคาก็รั่วทำให้พื้นห้องที่สกปรกกลายเป็นโคลน ทุกอย่างเปียกชื้นและมีราขึ้น

" มันมีพิษไหมเนี่ย " ชินหยุนชี้ไปที่เห็ดสีขาวที่ขึ้นเป็นกระจุกใกล้ๆ ที่หลวงพี่เมฆเมตตานอน
" ถ้าไม่มีพิษ ฉันจะได้เอาไปทำซุปเห็ดสักหม้อหนึ่ง... ในฤดูหนาวอย่างนี้คงหาถั่ว หรือมันเทศ หรือผักอะไรที่พอกินได้ไม่ได้หรอก "
หลวงพี่เมฆเมตตาไม่ได้พูดตอบ แต่รวบรวมกำลังหันไปมองเห็ด การเคลื่อนไหวของเธอทำให้มีเสียงสวบสาบขึ้นกับหญ้าฟางที่รองนอน ร่างอันบอบบางสั่นด้วยความหนาว
ชินหยุนขยับไปใกล้เพื่อนของเธอ ยื่นมือไปแตะหน้าผากแม่ชีที่กำลังป่วย "ไข้หายไปแล้ว เธอจะหายในไม่ช้า " เธอพยายามพูดให้ร่าเริงซ่อนความวิตกกังวลไว้
หลวงพี่เมฆเมตตาพลิกศีรษะจากมุมมืดมาเห็นสายตาที่วิตกกังวลของชินหยุน "คงไม่เป็นอย่างนั้น เธอต้องอยู่คนเดียวที่นี่ในไม่ช้า ฉันเสียใจที่จะต้องจากเธอไป "
"ปวดท้องอีกหรือเปล่า " 
ชินหยุนถามพร้อมทั้งเอามือวางบนหน้าท้องเพื่อน
หลวงพี่เมฆเมตตาอ่อนเพลียเกินกว่าที่จะพยักหน้ารับ แต่กะพริบตาครั้งหนึ่งเป็นการรับว่าใช่
ชินหยุนมองเพื่อนไม่สบายด้วยความเจ็บปวดในหัวใจ หลวงพี่เมฆเมตตาไม่สบายมาหลายวัน ความหนาวเย็นเป็นส่วนหนึ่ง แต่เหตุใหญ่คือการไม่มีอะไรจะกิน
พระภิกษุรูปนั้นก็พยายามแบ่งปันอาหารให้ชินหยุนและหลวงพี่เมฆเมตตา แต่ชินหยุน ก็ปฏิเสธ เพราะอาหารของพระได้มาจากการซื้อด้วยเงินที่ชาวบ้านบริจาคให้ ตั้งแต่ทางเดินขึ้นเขาลื่นเพราะฝนตก ชาวบ้านก็ไม่ขึ้นมาที่วัดอีก และไม่มีใครรู้ว่าชินหยุนและหลวงพี่เมฆเมตตากำลังจะอดตาย
" เป็นความผิดของฉันเองที่เธอป่วย" ชินหยุนพูดด้วยความรู้สึกผิด "ความดื้อรั้นของฉัน "
การพูดอย่างให้อภัยของหลวงพี่เมฆเมตตายิ่งทำให้ชินหยุนรู้สึกผิดมากขึ้น เธอยังคงนวดบริเวณท้องให้เพื่อน หวังว่าความรักของเธอที่มีต่อเพื่อนจะมีกระแสแห่งความเยียวยา ประดุจยาและอาหารที่จะทำให้อาการปวดท้องของเพื่อนทุเลาลง
" ฉันอยากขอให้มียารักษาอาการปวดท้อง และมีอาหาร เช่น ข้าว...ข้าวสวยสักชามใหญ่ๆ! ถ้าพระมาบอกให้อาหารอีก คราวนี้ฉันจะรับ และถ้าฉันมีอะไรที่จะขายได้..."
ชินหยุนรำพึงรำพัน จนตัวเองก็เริ่มหนาวสั่นอีกคน
ลมแรงพัดมาอีก ทะลุผนังบางๆ หลังคาที่รั่วก็ทำให้ฝนกระจายเข้ามาทุกทิศทุกทาง เม็ดฝนเย็นๆ ตกมาถูกคอของชินหยุน

ชินหยุนมีแต่เสื้อผ้าฝ้ายบางๆ เป็นชุดใหม่สีเทาเมื่อหลวงพี่เมฆเมตตาพับใส่กระเป๋าก่อนออกเดินทางจากฟอนหยวน แต่บัดนี้มันเก่าและขาด เธอถอนมือจากหน้าท้องของเพื่อนมาดึงเสื้อให้กระชับขึ้น นิ้วของเธอไปแตะอะไรอย่างหนึ่งแข็งและเย็น เธอมองดูว่าเป็นอะไร
" อ้า! " เธออุทาน
มันเป็นจี้เพชรที่แขวนจากสร้อยคอทองคำเปล่งประกายตัดกับผิวของเธอที่คล้ำลงจากการทำงานตากแดดเมื่อก่อนฤดูหนาว เธอมองเพชรเม็ดนั้นและความคิดบินไปสู่อดีตเมื่อเธอยังเป็นวัยรุ่น พ่อแม่ให้สร้อยคอนี้แก่เธอ เพื่อนๆ ผู้หญิงของเธอมีนิลบ้าง อำพันบ้าง มุกบ้าง เธอเป็นเด็กคนเดียวในฟอนหยวนที่มีเพชร เธอไม่เคยเอาสร้อยคอนี้ออกจากตัวเลย มันเป็นส่วนหนึ่งของตัวเธอจนลืมว่ามีมันอยู่ จนกระทั่งขณะนี้
" มันเป็นตัวแทนความรักของพ่อและแม่... " เธอพึมพำขณะที่จับเพชรไว้ในมือ
น้ำตาเอ่อขึ้นมาเต็มเบ้าตา เธอกะพริบตาถี่ๆ กัดริมฝีปาก คิดใคร่ครวญ : ไม่ได้ฉันจะต้องลืมอดีต! และอยู่กับปัจจุบันเท่านั้น!

" แม่และพ่อ... " เสียงเธอปร่า เมื่อพูดต่อ" ...โปรดยกโทษให้ลูก ที่จะต้องพรากจากของที่พ่อแม่ให้ด้วยความรัก"
ลมยังคงพัดแรง ฝนก็ยังสาดมากระแทกผนังห้อง ชินหยุนฟังเสียงลมและฝนหวังว่าจะได้ยินเสียงบิดาบ้าง แต่พ่อก็ไม่ได้ฝากคำพูดมากับสายลม คำตอบที่เธอใฝ่หามาจาก หัวใจของตัวเอง : ชินหยุนจงทำสิ่งที่ต้องทำ
" เพื่อนรัก " เธอพูดกับหลวงพี่เมฆเมตตา "ฉันต้องทิ้งเธอไปสักพัก นี่ก็ยังเช้าอยู่ ฉันอาจจะยังไม่กลับมาจนกว่าจะค่ำ แต่ฉันจะกลับมา  "

ตามคำสอนของพระพุทธองค์
พระอาทิตย์คือตัวแทนของความกล้าหาญ พระจันทร์เป็นตัวแทนของปัญญา พระจันทร์ที่รักของข้าเอ๋ย โปรดประทานปัญญาให้ข้าสามารถก้าวไปข้างหน้าด้วยเถิด ไม่ใช่ถอยหลัง

                                                                                                              ธรรมาจารย์เจิ้งเหยียน

ชินหยุนเดินฝ่าลมและฝนลงจากภูเขาบนทางแคบๆ อันแสนลื่น ฝนตกเปียกเสื้อผ้าจนโชก ลมพัดผมปลิวในตอนแรก แล้วก็มาเกาะติดอยู่ตามหน้าผาก หน้าและคอ เธอเกาะต้นไม้กันลื่นตกลงไป แต่ก็ไปฉวยเอาไม้หนามเข้ามือและนิ้วจึงถูกหนามตำเจ็บจนต้องร้องครวญคราง เดินพลางดูดนิ้วที่บาดเจ็บไปพลางลงจากภูเขาไป

เมื่อลงมาถึงตีนเขาก็เดินได้สะดวกขึ้น เธอเดินตรงไปทางเมืองจนมาถึงสถานีรถไฟ
"สวนกวาง"ก่อนจะถึงร้านขายทองร้านแรก เธอหยุดเอานิ้วเสยผม เอาหลังมือทำความสะอาดหน้า เธอสังเกตว่าส่วนล่างของเสื้อเปื้อนโคลน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เลย เธอเชิดศีรษะทำอกผายไหล่ผึ่ง เพื่อให้คนเห็นความภาคภูมิในตัวเธอมากกว่าความซอมซ่อ

เจ้าของร้าน ซึ่งเป็นชายวัยกลางคน แปลกใจที่เห็นเธอ "อะไรทำให้เธอลงมาจากภูเขาสูงนั่นในลมฟ้าอากาศอย่างนี้ คนผมยาว เธอตัดสินใจที่จะซื้ออาหารแทนที่จะขุดหาตามไร่นาแล้วละสิ"
"เปล่า " เธอตอบพร้อมกับสั่นศีรษะ "ฉันไม่ได้มาซื้อแต่ฉันมาขาย"
เธอพยายามปลดสร้อยคอ นิ้วอันเย็นเฉียบไปแตะที่คอ เธอสั่นไปทั้งตัวไม่ใช่สั่นเพราะนิ้วเย็น แต่ด้วยความทรงจำแต่อดีต : กว่าทศวรรษมาแล้ว เมื่อพ่อใส่สร้อยคอให้เธอ ขณะที่แม่จ้องมองด้วยรอยยิ้ม

น้ำตาไหลริน เธอรู้ว่ายามนี้แม่ก็อยู่ไกลแสนไกล นิ้วของพ่อก็จะไม่สามารถมาแตะคอเธอได้อีกแล้ว และในไม่ช้านี้แล้วเธอจะต้องพรากจากของขวัญของรักที่พ่อแม่ให้ไว้อย่างไม่มีวันจะกลับมา
กะพริบตาถี่ๆ เพื่อพักห้ามน้ำตา กลืนลมที่จุกคอหอย เธอหักใจที่จะละทิ้งความทรงจำเก่าๆ  " คุณจะตีราคาเท่าไหร่สำหรับของนี้ " เธอถามขณะที่ยื่นสร้อยคอไปให้เขาดูด้วยมือที่สั่นเทา
ชายผู้นั้นรับสร้อยคอไปดู เขาไม่เคยเห็นเพชรมาก่อน และก็ไม่สามารถแยกทองจากทองเหลือง เขาชำเลืองดูเห็นประกายตาเร่งรีบของชินหยุนก็อยากจะช่วยเหลือ "ลูกสาวตัวเล็กของฉันอาจจะอยากใส่แก้วขลุกขลิกนี้ หรือใส่ให้ตุ๊กตาของเธอ ผมจะให้คุณ 300 ดอลลาร์ "
ชินหยุนอ้าปากหวอ "มันไม่ใช่แก้วขลุกขลิกอะไรนั่น..." แล้วก็หยุดแค่นั้น
ไม่มีประโยชน์ที่จะอธิบาย ชายผู้นี้คงไม่มีเงินที่จะซื้อเพชรและทอง เธอคำนวณเร็วๆ ในใจ ชายผู้มีน้ำใจคนนี้ให้ราคาเท่ากับเจ็ดดอลลาร์อเมริกัน! คงจะมากกว่าเท่าที่เคยซื้อตุ๊กตาให้ลูกสาวของเขา
ยิ้มให้ชายผู้นั้น แล้วพูดว่า " ตกลง ฉันจะรับ 300 ดอลลาร์  "
ชายผู้นั้นโยนสร้อยคอเส้นนั้นลงในลิ้นชักแล้วปิดดังโครม เสียงลิ้นชักปิดทำให้น้ำตาชินหยุนไหลออกมาใหม่ " ลาก่อน ของขวัญของรักของฉัน ลาก่อน อดีตอันแสนหวาน ของฉัน " เธอละจากโต๊ะหน้าร้านเพื่อไปซื้อของที่ต้องการ
ไม่มีอะไรจะให้ซื้อมากนัก ไม่มียาแก้ปวดท้อง ตัดสินใจว่าจะทำอะไร เธอได้ยินเสียงรถไฟกำลังวิ่งมา แล้วร้านก็สั่นยังกับแผ่นดินไหว เธอเกิดความคิดขึ้นมา โค้งขอบคุณเจ้าของร้านแล้วก็เดินฝ่าสายฝนออกไป
สถานีรถไฟห่างไปไม่กี่ก้าว เธอมองราคาตั๋วที่จะไปไตตุง ตั๋วชั้นหนึ่งและชั้นสองราคาแพงเกิน เธอซื้อตัวชั้นสามซึ่งไม่แน่ว่าจะมีที่นั่งบนรถไฟ ถือตั๋วไปต่อคิวผู้โดยสาร ผู้โดยสารที่เข้าคิวอยู่หน้าเธอเป็นชาวนาที่ขนพืชผลทางเกษตร เป็ดไก่ ลูกหมู แต่ละคนเปียกโชกและอารมณ์เสีย รถไฟมา คนในแถวแตกฮือ เธอถูกผลักออกไปข้างหนึ่ง มีคนเหยียบเท้าและเสื้อตัวยาว เธอตระหนักว่าเพื่อเอาชีวิตรอดจะต้องเหวี่ยงความนอบน้อมถ่อมตัวทิ้งไป เธอแหวกผู้คนจนเข้าไปอยู่ในรถไฟได้
ยืนอยู่ระหว่างตะกร้าหัวไชโป๊ว และเข่งห่านที่ส่งเสียงดัง เธอหายใจเอากลิ่นที่ไม่น่ารื่นรมย์เข้าไป-กลิ่นผสมระหว่างผมที่เปียกชื้น รองเท้าที่เปื้อนโคลน มูลสัตว์ เหงื่อ ยาฉุน และลมหายใจที่เหม็น ผู้โดยสารรอบๆ เธอต่างส่งเสียงตะโกนแข่งกับเสียงรถไฟ หูเธอชาและศีรษะปวดร้าว เธอหลับตาลง แล้วภาพในอดีตก็หวนกลับมาอีก
เธออยู่ในชุดแต่งกายใหม่ นั่งรถไฟชั้นหนึ่ง มีเบาะอันนุ่มคลุมด้วยผ้าคลุมสีขาว พนักงานเดินเข้ามาพร้อมด้วยกาน้ำร้อน แล้วรินลงในถ้วยชาด้วยความแม่นยำ ในนั้นมีใบชาที่ส่งกลิ่นหอม
" คุณหว่อง คุณเดินทางแทนคุณพ่ออีกแล้วหรือ " ในความทรงจำเธอได้ยินใครบางคนถามอย่างสุภาพ
"แม่สาว หลบทางให้ฉันหน่อยได้ไหม " เสียงชายคนหนึ่งตะโกนอย่างไร้ความอดทน ขณะที่พยายามจะเดินผ่าน เสียงนั้นกระตุกเธอออกมาจากความทรงจำของอดีต
หลบทางให้เขา ชินหยุนลืมตาขึ้นและถอนใจ : อดีตจากไปแล้วชั่วนิรันดร์ เธอไม่ใช่บุคคลที่ร่ำรวยที่กำลังเดินทางเพื่อธุรกิจภาพยนตร์ที่รุ่งเรืองของบิดาอีกต่อไปแล้ว
" ไปให้พ้นเสียเถอะ ความจำที่โง่เง่า หยุดมาหลอนฉันเสียที "  เธอพูดโดยไม่รู้สึกตัวว่าเธอส่งเสียงออกมาจริงๆ
คนรอบๆ มองเธอด้วยความแปลกใจ เธอยิ้มให้เขาเหล่านั้นเพื่อซ่อนความอับอายของตัวเอง
รถไฟไปถึงไตตุง ชินหยุนลงจากรถไฟ นึกขอบใจที่ฝนหยุด เธอเดินไปที่ตลาด ซื้อยา และเดินไปที่ร้านขายกับข้าว
" ชินหยุน หว่อง! "เธอสะดุ้ง มองไปเห็นแม่ชีสาว 2 คนจากวัดเมฆเมตตา เธอคิดจะหนี แต่คนก็แน่นและแม่ชีทั้งสองก็อยู่ห่างไปเพียง 2-3 ก้าว
" ชินหยุนหว่อง " คนหนึ่งฉวยแขนเธอไว้ เรารู้ว่าสมภารของเรา หลวงพี่เมฆเมตตา หนีไปกับคุณ เธออยู่ที่ไหน เราเที่ยวตามหาและต้องการตัวเธอกลับไป "
"เธออยู่ที่...
"ชินหยุนพยายามหาถ้อยคำที่จะไม่ต้องบอกความจริง
"เธออยู่ที่วัดแห่งหนึ่งไม่ไกลจากที่นี่มากนัก"
"เธอเป็นอย่างไรบ้าง" แม่ชีอีกคนหนึ่งอยากได้คำตอบ
" เราไม่ได้รับข่าวคราวจากเธอเลย เราวิตกกังวล เธอสุขภาพไม่ค่อยดี และเราคิดว่าเธอไม่ควรจากวัดไปนานเช่นนี้"
"เธอกำลังป่วย " ชินหยุนบอกความจริง ชูยาในมือให้ดู "แต่ฉันก็ดูแลเธออย่างดี"
"เราต้องการจะไปหาเธอ " แม่ชีคนแรกพูด 
" คุณจะพาเราไปหาเธอได้ไหม " แม่ชีคนที่สองพูดต่อ

                                                                                                                                                (ยังมีต่อ)

ข้อมูลสื่อ

335-017
นิตยสารหมอชาวบ้าน 335
มีนาคม 2550
ศ.นพ.ประเวศ วะสี