• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

ร่วมด้วยช่วยกันเยียวยาโลกธรรมสัญจรสู่มูลนิธิพุทธฉือจี้

ร่วมด้วยช่วยกันเยียวยาโลกธรรมสัญจรสู่มูลนิธิพุทธฉือจี้
(เขียนเมื่อ 25 กุมภาพันธ์ 2550)


6 ท่านธรรมาจารย์เจิ้งเหยียน (ต่อ)

" ฉันยังซื้อของไม่เสร็จ " ชินหยุนพูดโดยหวังว่าแม่ชีเหล่านั้นจะเปลี่ยนใจ "ยังต้องใช้เวลาอีกมาก "
"เรามีเวลาเยอะ "
 แม่ชีคนแรกพูด
"เราจะไปซื้อของกับคุณ" แม่ชีคนที่สองพูด
ชินหยุนจึงเข้าไปในร้านขายของชำโดยมีแม่ชีขนาบข้างละคน ชินหยุนก็เริ่มซื้อของ เธอกับหลวงพี่เมฆเมตตาไม่ได้กินข้าวมาตลอดฤดูกาล แล้วก็ไม่มีน้ำมันที่จะผัดหรือทอดอะไรที่พอจะกินได้บ้าง เธอซื้อน้ำมันถั่วลิสงขวดหนึ่ง และใช้เงินที่เหลือซื้อข้าวสาร
แม่ชีทั้งสองตามติดเธออย่างใกล้ชิด ชินหยุนไม่มีทางเลี่ยง นอกจากพาเธอไปสถานีรถไฟ แล้วก็นั่งรถต่อไปยังสวนกวาง แม่ชีทั้งสองเห็นถึงความห่างไกลและด้อยความเจริญของหมู่บ้านเล็กๆ เธอต้องปีนเขาลื่นไถลก็ตั้งหลายครั้งหลวง
พี่เมฆเมตตาหลับอยู่ เมื่อทั้งสามมาถึง แม่ชีที่มาเยี่ยมเรียกชื่อเธอ เธอลืมตาขึ้น เห็นแม่ชีทั้งสองแล้วก็ยิ้ม ชินหยุนเอายาให้เธอกิน แม่ชีทั้งสามยินดีที่มาพบกันอีก ชินหยุนไปตักน้ำและเตรียมอาหารเย็น
"ข้าวขาว! แต่ละเม็ดนุ่มและน่ากิน อร่อยอะไรอย่างนี้"หลวงพี่เมฆเมตตาพูดขณะที่กินอาหารอย่างมีความสุข "ฉันรู้สึกดีขึ้นมากแล้วละ"
"นี่ยังกะงานเลี้ยงเชียวนะ
" ชินหยุนกล่าวขึ้นอย่างดีใจที่เพื่อนหายเร็วและภูมิใจที่ทำให้เพื่อนมีกิน
แต่แม่ชีสองคนจากฟอนหยวนไม่ได้ประทับใจในอาหารง่ายๆ มื้อนี้เลย โต๊ะก็ไม่มีต้องนั่งยองๆ กับพื้น มองไปรอบๆ แล้วก็หน้านิ่วในสิ่งที่พบเห็น เตียงนอนหรือก็คือฟางกองหนึ่งที่มุมห้อง มืดแล้วก็ไม่มีไฟฟ้า
"หลวงพี่เมฆเมตตา" แม่ชีคนหนึ่งถามขึ้น "ท่านจะกลับไปยังฟอนหยวนไหม เรายังไม่มีสมภารเลย เราต้องการท่าน"
"ใช่แล้ว หลวงพี่"
ชีอีกคนหนึ่งร่วมด้วย "พวกเราคิดถึงหลวงพี่ ที่วัดของเราน่าอยู่มากนะ"
หลวงพี่เมฆเมตตามองชินหยุน ระลึกถึงชีวิตที่สุขสบายในฐานะสมภารของวัดที่ใหญ่พอสมควร และความเคารพรักจากสานุศิษย์
 "ชินหยุนเราจะกลับบ้านไหม เมื่อไปถึงฟอนหยวน เธออาจจะทำให้แม่ยอมให้เธอมาอยู่วัดกับเรา"
ชินหยุนวางชามข้าวและสั่นศีรษะ "ไม่ ฉันกลับไม่ได้ แม่จะไม่มีวันยอมให้ฉันไปอยู่วัด นอกจากนั้นฉันยังไม่ได้ทำอะไรให้สำเร็จสักอย่าง ตั้งแต่จากบ้านมา"
หลังจากลังเลใจอยู่ชั่วครู่ เธอบอกความลับแก่เพื่อน "ฉันสัญญากับตัวเองว่าจะไม่กลับไปยังฟอนหยวน นอกจากมีความสำเร็จในสิ่งที่มีความหมาย"
"เงยหน้าขึ้นมองหน้าเพื่อนที่อิดโรย เธอกล่าวว่า "แต่คุณกลับไปก็ได้ เพื่อสุขภาพ"
"ไม่มีทาง" หลวงพี่เมฆเมตตาตอบ "ถ้าเธอไม่กลับ ฉันก็ไม่กลับเหมือนกันที่จริงฉันออกจากฟอนหยวนมาเพื่อหาวัดใหม่ ถ้าฉันกลับไปโดยยังไม่พบวัดใหม่ก็เท่ากับพ่ายแพ้"
ระหว่างที่สนทนากันนั้นก็ดึกและหนาวมากขึ้น ฝนหยุดตกไปนานแล้ว ฟ้าใสขึ้น เห็นพระจันทร์สุกสกาว ชินหยุนเอาชามข้าวออกจากที่พัก เดินข้ามเขาไปยังน้ำตก เธอล้างชามช้าๆ เงยหน้ามองพระจันทร์อันสวยงาม เธออยากให้โอกาส แม่ชีสองคนในการชวนหลวงพี่เมฆเมตตา เธอคิดว่าเพื่อนอาจจะตกลงกลับ ถ้าเธอกลับไปยังฟอนหยวนกับเพื่อน ชีวิตก็คงไม่ลำบากอย่างนี้ ไม่ต้องดิ้นรนต่อสู้อีกต่อไป แม่และน้องก็คงมีความสุขที่จะได้พบเธอ...
แต่ก็สั่นศีรษะอย่างมั่นใจ สลัดตัวออกจากความคิดที่จะยอมแพ้
มองพระจันทร์และพูดกับตัวเองว่า"ตามคำสอนของพระพุทธองค์ พระอาทิตย์เป็นตัวแทน ของความกล้าหาญ พระจันทร์เป็นตัวแทนของปัญญา ขอให้พระจันทร์โปรดประทานปัญญาให้ฉันก้าวไปข้างหน้าด้วยเถิด แทนที่จะถอยหลัง"
เมื่อกลับไปยังวัด หลวงพี่เมฆเมตตายิ้มทักอย่างแจ่มใส "เนื่องจากฉันจะไม่กลับไปกับพวกเขา พวกเขาจะอยู่กับเราอีกวันสองวัน"
"และอีกวันสองวันหลวงพี่เมฆเมตตาอาจจะได้คิดก็ได้" แม่ชีที่มาคนหนึ่งพูดขึ้น

วันรุ่งขึ้น แม่ชีคนหนึ่งถามหลวงพี่เมฆเมตตาว่า "แข็งแรงพอที่จะนั่งรถไฟไปไตตุงด้วยกันไหม ไปซื้อของที่จำเป็นเช่นอาหาร ไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน ฉันจะออกเอง"
แม่ชีคนหนึ่งจะอยู่เป็นเพื่อนชินหยุน เพื่อเป็นตัวประกันไม่ให้เธอหนีไป หลวงพี่เมฆเมตตากับลูกศิษย์คนหนึ่งเดินทางไปซื้อของ กว่าจะกลับก็มืด หอบอาหารมาเต็มแขน หน้าตาตื่นเต้น
"นั่งรถไฟจากไตตุงกลับมาสวนกวางมีอะไรน่าตื่นเต้น เราพบชายที่น่าสนใจคนหนึ่ง" แม่ชีลูกศิษย์พูดต่อ "ชายคนนี้แต่งตัวเหมือนพระแต่งตัวซอมซ่อ และก็จิตใจดี เขาเล่าอะไร ให้เราฟังอย่างน่าสนใจ เขาว่าเขาอยู่เมืองข้าวหอม เป็นเมืองเล็กๆ อยู่ใกล้ไตตุง มีภูเขาสูงถึงเมฆเรียกว่าภูเขากล้วยไม้ บนเขาสูงมีงูใหญ่ แต่ไม่ทำอันตรายใคร เพราะมีเทพองค์หนึ่งสะกดไว้"

ทั้งสองผลัดกันเล่าเรื่องเทพศักดิ์สิทธิ์ดังที่ได้ยินมา จนทั้งสี่คนตัดสินใจที่จะเดินทางไปพบชายคนที่ว่ารู้จักเทพองค์นั้น ช่วยกันเก็บของและนำอาหารที่เพิ่งซื้อมาไปมอบให้พระภิกษุผู้รักษาอาราม

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * ** * * * * ** * * * * * * * * *

ย้อนกลับไปพูดถึงทางเมืองฟอนหยวน นางหว่องและน้องเขยเดินทางไปสถานีรถไฟ แล้วก็ไปยังเมืองไตตุง ไปพบทันตแพทย์ นายหว่องบอกกับทันตแพทย์ว่า "เรามาจากฟอนหยวนเพื่อจะมาพบท่าน"
"อะไรมาไกลจากฟอนหยวนเชียว ชื่อเสียงของผมระบือไกลถึงเพียงนั้นเทียวหรือ หรือว่าอาการปวดฟันของคุณมันมากจนหมอที่นั่นรักษาไม่ได้ นั่งลงและอ้าปากกว้าง..." แต่ว่าคุณหมอฟันก็ไม่มีโอกาสพูดจนจบ
"ฉันมาตามหาลูกสาว น้องสาวของคุณหมอที่ชื่อหลวงพี่เมฆเมตตาแวะมาหาคุณหมอ เมื่อฤดูเก็บเกี่ยวที่แล้วใช่ไหม" นางหว่องถามอย่างหายใจหายคอไม่ทัน "เขามากับผู้หญิงผมยาวคนหนึ่งหรือเปล่า เขายังอยู่ที่นี่หรือเปล่า ถ้าอยู่ช่วยบอกให้คนผมยาวออกมาหน่อย"
"อ๋อ เขามาที่นี่เมื่อฤดูใบไม้ร่วง"
ทันตแพทย์ตอบ รู้สึกผิดหวังที่เขาไม่ใช่คนไข้ "แต่เขาอยู่คืนเดียว รุ่งขึ้นก็ไป เขาไม่ได้บอกว่าจะไปไหน ผมรอให้เขากลับมา แต่เขาก็ไม่กลับมาสักที ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าเขาอยู่ที่ไหน เพราะหนึ่งในสองคนนั้นก็คือน้องสาวของผมเอง ผมเป็นห่วงเขาเหมือนกัน"
นางหว่องไม่ได้นอนหลับเลยเมื่อคืนที่ผ่านมา เพราะใจจ่ออยู่กับการที่จะพบลูกสาวที่เมืองไตตุง ในรถไฟนางถึงกับจินตนาการไปว่าจะได้กอดชินหยุน เมื่อนั่งรถถีบไปยังร้านหมอฟันนางก็ยังแน่ใจว่า เมื่อพบหมอฟันเขาจะเรียกเธอออกมาจากหลังร้าน คำตอบของหมอฟันทำให้ความฝันของนางทลายลง เรี่ยวแรงหมด เป็นลมอยู่บนเก้าอี้ที่ร้านหมอฟันนั่นเอง ร้องคร่ำครวญหาลูกสาว

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

"ชินหยุน ชินหยุน " หลวงพี่เมฆเมตตาปลุกชินหยุน "ลุกขึ้นได้แล้ว "
ชินหยุนลืมตาขึ้น ยังมืดอยู่ตามธรรมดาหลวงพี่เมฆเมตตาไม่เคยตื่นก่อน แต่คราวนี้ หลวงพี่เมฆเมตตากับแม่ชีอีกสองคนแต่งตัวเตรียมพร้อมที่จะไปแล้ว
ชินหยุนแต่งตัวอย่างรวดเร็ว และออกจากอารามข้ามเขาไปอีกด้านหนึ่ง พระจันทร์ยังสว่าง เธอตรงไปที่น้ำตก ล้างหน้า แปรงฟัน น้ำเย็นจัดทำให้หนาวสั่น เธอพูดพึมพำผ่าน ฟันที่กระทบกันกึกกึก "พระจันทร์เจ้าเอ๋ย ช่วยให้ข้ามีสติปัญญา เพื่อจะไม่ทำอะไรที่โง่เขลา"

เมื่อเธอกลับมาที่อาราม หลวงพี่เมฆเมตตาและแม่ชีผู้มาเยือนสองคนคอยอยู่พร้อมแล้วที่ทางเดิน พระภิกษุยังหลับอยู่ แต่ชินหยุนก็ได้กล่าวคำอำลาท่านแล้วตั้งแต่เมื่อคืน มองอารามเล็กๆ เป็นครั้งสุดท้าย ที่ที่เธอได้อาศัยร่มเงาตลอดฤดูหนาวที่ผ่านมา แล้วก็ออกเดินทางกันไป

ทั้งหมดมาถึงสวนกวางเมื่อรุ่งอรุณ ขึ้นรถไฟไปเมืองข้าวหอม ซึ่งอยู่ชานเมืองไตตุง เมืองนี้เล็กสักเท่าครึ่งหนึ่งของเมืองสวนกวาง มีถนนสายเดียว และก็มีร้านขายของอยู่ร้านเดียว ที่ซึ่งคนสักครึ่งเมืองของเมืองนี้มาออกันอยู่ที่หน้าร้าน
"ฉันเห็นเขาแล้ว" หลวงพี่เมฆเมตตาตะโกน พร้อมชี้มือไปที่ชายผู้หนึ่งซึ่งนั่งอยู่หน้าร้าน
ชินหยุนเบิ่งตาออกกว้างเมื่อชายคนนั้นยืนขึ้นและเดินเข้ามาหา เขาตัวใหญ่มาก เครื่องนุ่งห่มก็ดูคล้ายพระขาดวิ่นและสกปรก เท้าเปล่า มีมีดโค้งเล่มใหญ่ห้อยอยู่ที่เอว มีอีกคนหนึ่งติดตามมาด้วย เป็นชายสูงอายุแต่งตัวเรียบร้อย หน้าตาเป็นคนใจดีและฉลาด
"ฉันนึกแล้วว่าเธอจะต้องมา" ชายร่างยักษ์พูดกับหลวงพี่เมฆเมตตา ด้วยรอยยิ้มที่เผยให้เห็นฟันสีเหลืองที่แตกลาย "คราวนี้พาเพื่อนมาด้วย"
"เรามาเพื่อไปตามหาเทพ แล้วก็จะขอบคุณมากถ้าท่านพาเราไปยังหน้าผาที่มีประตูกลนั้น
"หลวงพี่เมฆเมตตาพูด
หลังจากคุยกันอยู่พักหนึ่ง ทั้งหกคนก็ออกเดินทางไปทางตะวันตกมุ่งตรงไปยังเทือกเขากลาง สักพักก็ได้ยินเสียงน้ำไหลดังโครมคราม
"อะไรนั่น" ชินหยุนถาม
"แม่น้ำหวล"  ชายร่างยักษ์ตอบ "แม่น้ำนี้อยู่ระหว่างหมู่บ้านของเรากับภูเขา กว้างประมาณสองไมล์ ไม่มีสะพาน แต่ก็ไม่ลึกนัก"
ทั้งหมดเดินผ่านดงไผ่ เมื่อโผล่จากป่า ถึงกับอ้าปากค้าง เพราะแม่น้ำหวลกว้างสุดๆ และน้ำไหลเชี่ยวมาก มีก้อนหินโผล่กลางแม่น้ำ ทำให้ดูเหมือนควายที่ถูกจับไว้โดยเทพแห่งลำน้ำ และกำลังร้องหาความ ช่วยเหลือขณะที่กำลังจะจมน้ำ
" เราเดินอ้อมแม่น้ำไปที่ภูเขาได้ไหม " ชินหยุนถามชายร่างยักษ์สั่นศีรษะ
"ท่านจะให้เราลุยข้ามแม่น้ำที่น่ากลัวนี้หรือ" ชินหยุนถาม
ชายร่างยักษ์พยักหน้า
แม่ชีจากฟอนหยวนหนึ่งในสองถอยหลังไปทางป่าไผ่และพูดว่า "ฉันเปลี่ยนใจไม่ไปหาเทพแล้วละ"
แม่ชีอีกคนหนึ่งก็เปลี่ยนใจเช่นเดียวกัน "ฉันต้องการมีชีวิตอยู่มากกว่าไปตามหาเทพ"
ชินหยุนก็พร้อมจะร่วมกับแม่ชีสองคนนั้น ขณะที่พลวงพี่เมฆเมตตารวบแขนขวาเธอไว้
"ทุกคนอย่าหนี" หลวงพี่เมฆเมตตาพูด เสียงดุเข้มแข็งและมั่นใจผิดปกติ "ขอให้จับมือกันไว้"
"ไม่ต้องกลัว"
ชายชราพูดขณะที่ก้าวเดินลงไปในแม่น้ำ "ฉันข้ามแม่น้ำนี้เป็นร้อยครั้ง ฉันก็ยังมีชีวิตอยู่"
"เราลองดูก็ได้"
ชินหยุนพูด พร้อมทั้งใช้มือซ้ายจับมือขวาชายชรา
ชายร่างยักษ์จับมือซ้ายชายชรา หลวงพี่เมฆเมตตาจับมือขวาชินหยุนและแม่ชีอีกสองคนก็จับมือหลวงพี่เมฆเมตตาและกันเอง
"โอ้ยน้ำเย็นยังกับน้ำแข็ง" ชินหยุนตะโกน "แล้วมันก็ลึกถึงหัวเข่า ไม่ใช่ถึงต้นขา...ถึงเอว...ถึงหน้าอก"
"เรากำลังจะจมน้ำตาย " แม่ชีจากฟอนหยวนคนหนึ่งร้องโหยหวน
"มีอะไรมาดึงขาชั้น คงจะเป็นผีของคนที่จมน้ำตาย" แม่ชีอีกคนหนึ่งกรีดร้อง
"ขอให้เราสวดมนต์" หลวงพี่เมฆเมตตาพูดเสียงสั่น
ชายร่างยักษ์และชายชราไม่สนเหล่าสตรี ดึงพวกเขาเดินต่อไป เหล่าสตรีทั้งหมดพากันสวดมนต์
ชายชราบีบมือชินหยุน เธอมองหน้าเขาเห็นรอยยิ้ม
"เด็กน้อย หนูดูตลกที่ไว้ผมยาวแต่สวมเสื้อผ้าแบบนางชี แต่หนูก็สวดมนต์เป็น "เขาว่า "ชาวพุทธที่แท้จะไม่ร้องขอว่าจงประทานสิ่งนั้นสิ่งนี้ให้ข้าพเจ้า ไม่มีพระเจ้าหรอก พระพุทธเจ้าเกิดมาก็เป็นคนธรรมดาแต่ตรัสรู้ พระพุทธองค์หรือเทพใดๆ ไม่สามารถช่วยให้ใครข้ามแม่น้ำหรือทำอะไรอื่นได้"
"ถ้าอย่างนั้น
" ชินหยุนจ้องหน้าชายชรา "ทำไมเราถึงกำลังเสี่ยงชีวิตเพื่อตามหาเทพ"ชายชราไม่ตอบคำถาม 

                                                                                                                                           (ยังมีต่อ)

ข้อมูลสื่อ

336-016
นิตยสารหมอชาวบ้าน 336
เมษายน 2550
ศ.นพ.ประเวศ วะสี