• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

ร่วงแล้วที่ราวป่า

ร่วงแล้วที่ราวป่า

น้ำค้างหยดบนใบหญ้าเป็นประกายสุกใส เท้าเปล่าสองคู่ย่ำสวบ ๆ บนใบไม้เย็นเฉียบ เช้านักหมอกเหมยเลื่อนลอยอ้อยอิ่งแตะตีนเขา ไกลออกไป ไกลออกไป ยอดดอยผลุบโผล่พ้นหมอกแลเลือน ๆ เหมือนเกาะกลางทะเลกว้าง ไม่ว่าฤดูเดือนใด หมอกเหมยไม่เคยจางจากแผ่นดินบนดอยสูง เท้าเปล่าสองคู่ย่ำสวบสาบ ก้อนกรวดพลิกตัวกลิ้งตกก้นห้วย น้ำไหลอยู่สาดซ่า นกน้อยบินพรือแล้วร่อนลงจิกกินลูกเซมิสะ สูงชัน โขดหินขรุขระ ชายหนึ่งหญิงหนึ่งสะพักกึ๊ บนหลัง ก้มหน้างุด ๆ ตามกันเงียบ ๆ

“ข้าว่าหาเอาแถวนี้เถอะ อะป่า” เป่อโจชะงักเท้านิดหนึ่งเมื่อมีเสียงทักท้วงจากคนตามหลังแล้วก้มหน้างุด ๆ ไต่เนินดอยสูงชันขึ้นไปอีก

“เขาสูง ทางไกล เปลือกก้ายหนัก สูบ่สบายนะ อะป่า”

“เปลือกก้ายที่นี่เนื้อบางไม่มีราคา เป่อโจตอบเมีย “ไปบนพู้นเถอะข้ายังไหว ข้ากินยาแก้ปวดมาแล้ว” สวบสาบ กรอบแกรบ กิ่งไม้แห้งหักเผาะเมื่อถูกย่ำดงดอยรกเรื้อไปด้วยไม้พุ่มไม้เถาออกดอกหนาหน้า บนหัวคือสีเขียวคระครึ้มของใบไม้ มันสาดกิ่งสานก้านกันหนาแน่น หน่อปอยโพเดินตามผัวเงียบ ๆ ควันยาจากเมาะหรือกล้องยาลอยกรุ่นฉุนคลุ้งคุ้นจมูก....มันสปาย นางคิด มันบ่นโคสะชาตะโก่ตะเก๋อ คือปวดร้อนหนาวเย็นมาหลายวันแล้ว นางบอกว่ามันควรพักบ้างแต่มันไม่ฟัง

“วัน ๆ สูแบกเปลือกก้ายได้เท่าไร” มันถามเมื่อก่อนออกบ้าน นางบอกว่าเสอะชิโละ คือ สามสิบกิโล

เสอะชิก็เป็นเงินสิบห้าบาท มันจะพอหรือ ข้าแบกแสย่ชิโละได้อีกยี่สิบห้าบาท ไปเถอะสู เดือนมืดหนนี้เปลือกก้ายก็เสื่อม พ้นนี้ไปเราก็หาเงินไม่ได้อีกนาน อย่าห่วงข้า เป็นเองมันหายเองแหละ

ตะโพยอหรืออีเห็นวิ่งพรวดพราดตัดหน้า นางสะดุดความคิด ป่าเปลี่ยววังเวง หมู่ร้องแมงไยร่ำระงมหวี่หวู่ ต้นก้ายสูงเพรียวขึ้นแทรกสนประปราย ปู่แก่คนรับซื้อบอกว่า เขาเอาเปลือกมันไปทำธูป เสียงขวานสับไม้ปก ๆ ก้องป่า เสียงไม้ล้มครึนสะเทือนสะท้าน ผัวเมียคู่อื่นคงโค่นก้ายเพื่อลอกเปลือกมันแล้ว

“เอาต้นนี้เถอะ” เป่อโจลุ่ยก็ลงหลังหยิบขวานด้ามยาวออกมา หน่อปอยโพเลี่ยงไปนั่งห่าง ๆ จุดไฟจ่อเมาะสูบอยู่เงียบ ๆ ขวานสับปึก ๆ บิ้งไม้กระเด็นเว่อ เย็นเยียบเฉียบฉ่ำคือเขาสูงและดงดอยรอบด้าน ขวานเงื้อแล้วสับปึก เป่อโจ....นางมองเงาหลังมัน เป่อโจเป็นคนดีไม่อ่อปี่อ่อซิคือสูบฝิ่นกินเหล้าเหมือนคนอื่น ๆ มันขยัน มันทรหด...แต่ว่า...วันนี้มันออดแอด เจ็ดปีที่อยู่กินกันมามันทำลูกให้นางสามคน มันขยัน ไร่ข้าวมันขยายได้กว้างกว่าใครในรุ่นเดียวกันแต่ข้าวไม่เคยพอคุ้มปีสักครั้ง ต้องไปกู้สองใช้สามจากปู่แก่ ทุกปี

“อะป่า สูเหนื่อยแล้ว พักเถอะ” เป่อโจวางขวาน ยกมือปาดหน้า นางลุกขึ้น

“ไม้แค่นี้ข้าเคยโค่นติดต่อกันสี่ห้าต้น” เป่อโจดึงดัน

“นั่นมันวันก่อน วันนี้สูบ่สบาย ส่งขวานมาข้าฟันเอง”

ไฟวอมแวมลุกไหววูบวาบในห้องคับแคบ กลิ่นสาบแห่งควันไฟราโรยลงบ้างเมื่อย่างดึก ลูก ๆ นอนขดงอรายล้อมกะบะไฟมีหยะคือผ้าห่มทอเองพอกตัวคนละผืน เด๊าะเกอะโอร้องฮูก ๆ หาหนูจากนอกบ้าน วังเวงยามดึก หวิว ๆ ไหว ๆ ลมลอยชายคามาหวีด ๆ หน่อปอยโพพลิกตัวคลี่หยะพาดผ่านอกผอมบางของผัวแผ่วเบา เป่อโจขยับตัวแล้วยุดมือนางไว้

“สูยังไม่หลับหรือ อะป่า”

“หลับ เมื่อกี้ข้าฝัน ฝันเห็นมุโขป่า”


“มุโขป่า !” (เจ้าพ่อ, ผีฟ้า, ผีหลวง)  นางทวนคำ สะท้านสะเทือนในหัวอก นางพลิกตัวหนี อยากหวีดโหยอยากร้องไห้ ไกลแสนไกลเด๊าะเกอะโอคราง ฮูก ๆ นางสอดมือแตะเช็ดหัวตา

“ถ้าข้าตาย....สูจะเอาผัวใหม่ไหม....หน่อป่อยโพ”

“สูพูดเหมือนข้าไม่ใช่สายเลือดปาเกอะยอ”

“ถ้าข้าตาย....” เป่อโจพูดเลื่อนลอย “สูยังสาว ยังแข็งแรง สูเอาผัวใหม่ ข้าไม่ว่า อย่าเคร่งฮึดนัก มันจะทรมานสู”

“สูไม่ตาย....สูต้องไม่ตาย”
นางพูดเสียงคัดจมูก “อะป่า สูเป็นคนดี มุโขป่าต้องไม่เอาสูไป”เป่อโจหัวเราะเบา ๆ เอื้อมแขนอกโอบรั้งปลอบปละโลม

“ข้ายังไม่ตายหรอก ก็กอดสูอยู่นี่ไง ไม่ใช่ข้าหรือ”

ดึกดื่น น้ำค้างหล่นตีนตองดังเปาะ ๆ เดือนเดียวดาย นุ่มนวลอยู่นอกบ้าน นานเหลือเกินนะ นานมาก นางหลับตาลง นึกถึงฤดูเก็บเกี่ยวที่หมู่บ้านโพ้น นานเท่าไรนะ เจ็ดแปดปีแล้วกระมัง ตอนนั้นนางยังนุ่งเชกวา ชุดขาว พรหมจรรย์อยู่ ฤดูเก็บเกี่ยว แดดกล้า ฟ้าโล่งและไร่ข้าวสีทองจรดเชิงเขา หนุ่มต่างบ้านคนหนึ่งเป่าแกวม่วนหวาน สายจามันคมกริบ คมเหมือนเคียวเกี่ยวข้าว มันชื่อเป่อโจ เพื่อน ๆ พรหมจรรย์ที่ร่วมลงลานบีบทางเคียวนางให้หันเหไปหามันเรื่อย ๆ ทางโน้นก็บีบมันมา ใกล้กัน รู้จักกัน พูดคุยและชอบพอ ลงท้ายด้วยพิธีอ่อม คือ กินแขกแต่งงาน
เป่อโจหลับไปแล้ว เนื้อตัวร้อนผ่าวเพราะพิษไข้ นางปลดแขนมันออกแผ่วเบา เป่อโจ....สูต้องไม่ตาย นางกระซิบบอกมันในใจ

“สูกินข้าวนิดเดียว อะป่า”

“มันขม ขมในปากไปหมด ข้าไม่หิว”

วันนี้สูอยู่บ้านนะ สูบ่สบายนัก ข้าจะไปคนเดียว” นางพูดเชิงบังคับ “ข้าจะขอใบต่อสุ่ยโพจากพ่อหมอมาด้วย มันจะทำให้สูกินข้าวได้มาก ๆ หายเร็ว ๆ”

“ข้าอาย " เป่อโจก้มหน้าต่ำแล้วเงยขึ้น “จำได้ไหมในไร่ข้าวโพดข้าพูดว่าถ้าสูอยู่กับข้า ข้าจะให้สูสุขสบาย วันนี้ข้าทำไม่ได้ ข้าอายตัวเอง”

“สูบ่สบาย เชื่อคำข้า วันนี้ถ้าสูจับกึ๊จับขวาน ต่อไปอย่ามาพูดกับข้า”

กุก ๆ กัก ๆ ฟากไม้ลั่นกรอบแกรบ หน่อปอยโพลงเรือนไปลำพัง เป่อโจถดกันพิงฝา ขม ๆ จืด ๆ น้ำลายเหนียวหนึบ เอ่อเต็มปาก เบาหวิว โหวงเหวง ปวดในหัวเหมือนมีมด มีแมงเข้าไปกัดแทะ ลูก ๆ ตามกันเป็นพรวนไปสู่โรงเรียนที่หมู่บ้านตะวันตก เท่าไรแล้วนะ หลึ่ยซี เคาะชี เต๊อะป่อขิชี ห้าวันแล้ว คิป่อบาท สองร้อยบาทแล้ว หนี้สินรุงรังที่ร้านค้า ปู่แก่คงเบาบางลงบ้าง ถ้าไม่ป่วยไข้ และกว่าเดือนจะมืด แกกับเมียน่าจะหาเงินได้อีกมากมาย บางทีมันอาจจะเหลือพอจะซื้อผ้าห่มเมืองล่างให้ลูกๆ ได้อีกผืนสองผืนสำหรับหนาวนี้ แต่เหมือนฟ้าแกล้ง ล้มตอนไหนไม่ล้ม เมือกมาล้มตอนนี้

วาบ ๆ หวิว ๆ หนาวเยือกจนขนลุกเห่อ เป่อโจแข็งใจลุกไปหยิบซองยาเหน็บฝามาฉีก เทผงขม ๆ เปรี้ยว ๆ เข้าปาก แล้วตามด้วยน้ำอึก ๆ ปู่แก่บอกว่าร้านมันมียาแก้ไข้ จากเมืองกอลา คือฝรั่ง ฤทธิ์ยาชะงัดนัก แต่ราคาเจ็บปวดเหลือหลายถึงเม็ดละห้าบาท มันแพงเกินไป แกคิด ยาเม็ดเดียวมีค่าเท่ากับเปลือกก๋ายสิบกิโล มันไม่คุ้มกันเลย เป่อโจลากแข้งเบาหวิวเข้าห้อง อ่อนเพลีย โผเผ ฟ้าหมุนแผ่นดินโคลงเคลง เหงื่อเหนียวหนับเปียกชื้นที่ซอกคอและหน้าผาก นึกถึงไร่ข้าวหลายวันแล้วไม่ได้ไปดู หนามไหนใส่สุมยังดีอยู่หรือ เกรงอย่างเดียวว่าม้าลาอันเพ่นพ่านจะลักลอบเข้าไปกัดกินเสียหาย คงอีกนานกว่าข้าวจะสุก ปีนี้จะเหลือสักเท่าไรหนอ กู้หนี้ยืมสินเขามาก็เกือบสามร้อยปิ๊บแล้ว เออหนอ....ตัวเองลงปรุงลงแรงแท้ ๆ ข้าวไม่เคยพอกินสักปี ปู่แก่เล่า มันไม่เคยจับมีดจับจอบ แต่ข้าวทั้งหมู่บ้านเหมือจะไหลไปรวมที่ยุ้งมันหมด

สูกินยานี่นะ อะป่า”

“ยาอะไร”

“กินเถอะ ปู่แก่ให้มาสี่เม็ด”
เป่อโจผงกหัว ชันตัวพิงฝา หน่อปอยโพแกะเม็ดยา แล้วยื่นให้พร้อมจอกน้ำ เป่อโจดื่มอึก ๆ

สูเป็นหนี้ปู่แก่เพิ่มอีกยี่สิบ...ใช่ไหม” เป่อโจคาดคั้นถาม นางหลบตาลง

“เอาเถิด...ช่างมันเถิด” เป่อโจถอนใจเอนกายราบลง “คนอย่างเรานะปอยโพเหมือน ๆ จะเกิดมาเพื่อเป็นหนี้เป็นข้าเขาเท่านั้น ป่อยโพข้าไม่ตำหนิสู”

สูกินแต่น้ำข้าวมาหลายวัน” นางสบตาผัว “ปู่แก่ให้ไอ้นี่มาซองหนึ่งสูกินนะ” นางอวดอาหารผนึกถุงพลาสติคแก่ผัว “ปู่แก่เรียกว่าหม่ามะ บำรุงคนไข้ ห้าบาทเท่านั้น ข้าจะต้มให้สู”

“สูเอาให้ลูกเถอะ ข้าไม่หิว”

เย็นย่ำ เฒ่าท่านหนึ่งก้าวกุก ๆ งันงก ลมแรงพัดฮือฮา ราวจะหอบผู้เฒ่าปลิวขึ้นจากแผ่นดิน ย่ามแดงสะพายไหล่หนักตุงด้วยหัวว่าน หัวไพล งาช้าง และกระดูกผี จะค่ำแล้ว ตะวันเหลืองแสงเหลืองหดหู่ที่ปลายไม้ กระท่อมหน่อปอยโพ มีคนพลุกพล่าน ใครคนหนึ่งชี้ที่พ่อเฒ่าแล้วก้าวฉับมาพยุงแขน ผู้เฒ่าย่ำบันไดออดแอดขึ้นไป หน่อปอยโพนั่งหน้า หนองคล้ำในมุมมืด พ่อเฒ่าวางย่ามแล้วนั่งลงใกล้ ๆ คนเจ็บ เป่อโจลืมตาเลื่อนลอยของมันขึ้น มันมองไม่มีจุดหมาย ตัวมันผอมเหลืองแบบบางติดฟาก พ่อเฒ่ายื่นมือออกอังหน้าผาก จับข้อมือมันแล้วปล่อยลง

“เป็นอย่างไร พ่อหมอ” ผู้เฒ่าส่ายหน้าสิ้นหวัง หน่อปอยโพร้องไห้เงียบ ๆ

มืดค่ำดวงตาแห่งผีฟ้าพราวสลอน กระท่อมคับแคบ มีไฟวังเวงลุกวอบแวบ ผู้เฒ่า ผู้แก่ ผู้ชาย ผู้หญิง สี่ห้าคน นั่งกอดเข่าสูบเมาะกันเงียบ ๆ บางคนพูดถึงหมอ โรงพยาบาล และการบำบัดแผนใหม่อันเลือนราง ไกลเหลือเกิน เหมือนจะไปไม่ถึง ดาวหริบหรี่ส่องแสงซีดจางอยู่ปลายฟ้า เป่อโจหายใจหอบเหนื่อย มันลืมตาแตกซ่านขึ้นแล้วเอ่ยปากติดขัด

“ปะ....ปอย....โพ”

“ข้าอยู่นี่”
นางกระถดกันเข้าหา มือกุมมือผัวมั่น ถ้าแลกได้นางยินดีจะแลกทุกอย่างที่มีเพื่อซื้อชีวิตผัวไว้ “ปะ....ปอย....โพ....สู...สูเอา.....ผัวเอา...ขะ....ข้าไม่....ไม่ว่า”

มืดหมดแล้วลมราตรีพัดผ่านมาเยือกหนาว ไกลแสนไกลเด๊าะเกอะโอฮูกเสียงหาหนู ผู้เฒ่าผู้แก่แกะมือนางออก...มันกำลังไปสู่โลกใหม่ อย่าถ่วงมันไว้....เฒ่าหนึ่งพูดอย่างนี้ แต่นางเหมือนเลื่อนลอย พ่อหมอหยิบของสองสามอย่าง ยื่นวนและพึมพำภาษาลี้ลับต่อหน้ามัน เพื่อนบ้านสองคนตลบเสื่อมัดหัวท้ายแล้วหามลงไป หน่อปอยโพเดินตามไต้ไฟวู่ ๆ วูบ ๆ เงียบงัน หนาว หนาวอากาศเยือกเย็น ใบไม้หมุนคว้างแล้วหล่นตุก ใบไม้ไม่ทันเหลืองมันก็หล่นได้เหมือนกัน

 

ข้อมูลสื่อ

16-017
นิตยสารหมอชาวบ้าน 16
สิงหาคม 2523
อื่น ๆ
มาลา คำจันทร์