• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

ปล่อยวาง ช่วยรักษาไมเกรน

ปล่อยวาง ช่วยรักษาไมเกรน

เนื่องจากอุปนิสัยของดิฉันเป็นคนช่างคิด จริงจังกับชีวิต และค่อนข้างจะเจ้าทุกข์ เพราะเกิดในครอบครัวที่มีแต่ปัญหา ตั้งแต่จำความได้ ไม่เคยรู้สึกเลยว่าชีวิตนี้ โลกที่เราอยู่นี้ คือ โลกที่มีความสุข ดิฉันไม่เคยดำรงชีวิตโดยที่ปราศจากความทุกข์เลย คนทุกคนในครอบครัวพากันสร้างปัญหาและความวุ่นวายต่างๆ ขึ้นมา ดิฉันจึงโตด้วยการเห็นแต่ปัญหา และมีแต่ความคิดว่า ทำไม...ทำไมครอบครัวถึงเป็นอย่างนี้ ชีวิตไม่มีค่า ไม่มีความหวังอะไรเลย

เมื่ออายุประมาณ 10 ขวบ ดิฉันเริ่มปวดหัวโดยไม่ทราบสาเหตุ ในตอนแรกก็คิดว่า คงเป็นโรคทางสมองเพราะเคยถูกรถชน จึงไปเอกซเรย์สมอง ตรวจคลื่นสมอง หาหมอ โดยเปลี่ยนโรงพยาบาล เปลี่ยนหมอไปเรื่อยๆ อาการปวดหัวก็ไม่ทุเลาลง มีแต่จะมีอาการรุนแรงมากขึ้นๆ โดยที่ตัวดิฉันเองก็ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร จนปัจจุบันนี้อาการปวดหัวก็ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และได้ทราบจากการไปตรวจอาการและรักษาอย่างต่อเนื่องกับหมอที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งว่าเป็น ไมเกรน

ดิฉันรู้สึกทรมานเป็นอย่างมาก เวลาปวดจะทำอะไรไม่ได้เลย ตาพร่า คลื่นไส้ ปวดทีหนึ่งๆ ก็กินเวลาเป็นวันๆ ปวดตลอด 24 ชั่วโมง กินยาแก้ปวดจำนวนมากๆ อาการก็ไม่ทุเลาลง จนกระทั่งชีวิตเกือบทั้งชีวิตอุทิศให้กับการปวดหัว ดิฉันทุกข์ใจมาก ท้อแท้และหมดกำลังใจ อยากตายไปให้พ้นจากโลกนี้ ดิฉันไม่สามารถบอกใครได้เลยว่า ดิฉันทรมานและปวดแค่ไหน เพราะคนรอบข้างไม่เคยมีใครมีอาการเหมือนดิฉัน และดิฉันได้รับความกดดันจากการรับรู้ปัญหาของครอบครัว มีปัญหาการอยู่ร่วมกับผู้อื่น ปัญหาการเรียน และสารพัดอย่างที่ก่อให้เกิดความวิตกกังวล หันไปรอบข้างไม่รู้จะพึ่งพาผู้ใด ดิฉันเหมือนคนที่หาดีอะไรไม่ได้เลยในชีวิต

เมื่อสิ่งต่างๆ ก่อให้ดิฉันรู้สึกหมดหวัง หมดหนทาง ไม่อยากได้อยากดีอะไรเลย ก็ปล่อยให้ชีวิตผ่านไปวันหนึ่งๆ เท่านั้น ดิฉันเริ่มเป็นคนเก็บตัว ไม่ค่อยเข้าสังคม และช่วงนี้เองที่เริ่มเปลี่ยนแปลงชีวิตดิฉันให้ดีขึ้นเรื่อยๆ การที่เราได้มีเวลาอยู่คนเดียว บางครั้งจะทำให้เราเริ่มมองเห็นปัญหาและหนทางแก้ไข ดิฉันนั่งคิดอยู่คนเดียวว่า ในขณะที่ดิฉันมีความทุกข์ มองไปที่เพื่อนๆ มองไปที่คนอื่นๆ ทำไมเขาถึงดูสดใสและมีความสุขกันดี

ดิฉันเริ่มถามตัวเองว่า ทำไมดิฉันจึงเป็นเช่นนี้ เพราะอะไร ดิฉันเริ่มบันทึกอาการปวดหัว กิจกรรมที่ทำในแต่ละวัน อารมณ์ สิ่งแวดล้อม ข้อผิดพลาด ข้อดีข้อเสียของตัวเอง และหาหนังสือทั้งปรัชญา จิตวิทยา และทางวิชาการเกี่ยวกับเรื่องปวดหัวทั้งหมด เพื่อต้องการช่วยตัวเองให้มีชีวิตที่มีความสุขมากขึ้น ดิฉันอ่านหนังสือเกี่ยวกับธรรมะ และหนังสือเกือบทุกประเภทเพื่อศึกษาความเป็นจริงของชีวิต

ในที่สุด ดิฉันก็ค้นพบวิธีการรักษาไมเกรน ด้วยการใช้ยาน้อยลง และมีชีวิตที่มีความสดใสมากขึ้น นั่นก็คือ การรู้จักปล่อยวาง ถือหลักธรรมะที่ว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ดิฉันมองโลกในแง่ดีมากขึ้น และเข้าใจแล้วว่าชีวิตนี้มีเกิดและดับ ไม่มีสิ่งใดที่จะเป็นนิรันดร์ ทุกสิ่งทุกอย่างแก้ไขได้ด้วยการใช้สติปัญญา ความอดทน และสอนให้ตนเองเป็นคนที่รู้จักรอคอยเวลาที่เหมาะสมที่จะแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้ลดน้อยลง

ดิฉันจึงอยากให้คุณผู้อ่านที่มีอาการปวดหัวบ่อยๆ หรือเป็นไมเกรนรักษาตัวเองด้วยการศึกษาสาเหตุแห่งอาการปวดนั้น พยายามสังเกตและจดจำพฤติกรรมของตนเองว่า ก่อนที่จะปวดหัวได้ไปทำอะไรมา เช่น กินอาหารบางประเภทแล้วปวดก็ทดลองกินอาหารชนิดนั้นๆ ในภาวะที่คุณเป็นปกติ ถ้าปวดหัวขึ้นมา ก็ควรจะไปพบหมอและเล่าอาการให้ฟังอย่างละเอียดโดยไม่ปกปิด ซึ่งจะช่วยได้มาก หรือถ้าสังเกตพบว่าอาการจะเกิดเมื่อออกไปอยู่กลางแจ้งที่ที่มีเสียงดัง คนพลุกพล่าน สิ่งเหล่านี้จำเป็นมาก ต้องคอยสังเกตตัวเอง เพราะจะช่วยให้หมอวินิจฉัยโรคได้ดีขึ้น

ในขณะที่มีอาการปวดหัว ขอให้หายใจลึกๆ ถ้าคิดอะไรหรือกลุ้มใจอะไรอยู่ ต้องหยุดคิด แล้วหาอะไรทำให้เพลินๆ ไป เช่น คุยกับเพื่อน ดูโทรทัศน์ เดินเล่น ถ้ามีปัญหาหนักใจอะไร ก็คุยกับคนที่ไว้ใจได้ เพื่อระบายความทุกข์นั้นออกมาบ้าง แล้วปลงซะว่า แม้ว่าจะคิดจนสมองระเบิดในตอนนี้ ปัญหาต่างๆ ก็ไม่ได้หมดไป ใจเย็นๆ ค่อยๆ คิด อย่าหมกมุ่น ถ้าปวดหัวอยู่คิดยังไงๆ ก็ไม่ทำให้อะไรดีขึ้น เลิกคิดถึงมันซะ รอให้หายปวดหัวก่อนแล้วค่อยๆ นึกถึงสาเหตุ มองไปทีละจุด แล้วก็แก้ไปทีละอย่างไป จำไว้ว่า “สิ่งเลวร้ายเพียงใด ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป” ดิฉันตระหนักถึงความทุกข์ทรมานเพราะอาการปวดหัวมามาก จึงอยากให้คุณผู้อ่านหลุดพ้นจากความทุกข์เหมือนดิฉัน...ลองทำดูซิคะ เผื่ออาการของคุณจะดีขึ้น 

ข้อมูลสื่อ

129-024
นิตยสารหมอชาวบ้าน 129
มกราคม 2533
อนัตตา วลีวงศ์