• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

อานุภาพแห่งการเจริญสติ : ช่วยสงเคราะห์ผู้ป่วย (ตอนที่ 2)

อานุภาพแห่งการเจริญสติ : ช่วยสงเคราะห์ผู้ป่วย (ตอนที่ 2)

บุคคลแรกที่ดิฉันจะต้องกล่าวถึงด้วยความเคารพยิ่ง ซึ่งบัดนี้เธอได้เสียชีวิตไปแล้ว ด้วยโรคมะเร็งปากมดลูก เธอเป็นบุคคลแรกที่มีส่วนผลักดันให้ดิฉันมีความกล้าหาญในการใช้วิชาการเจริญสติสอนให้เธอปฏิบัติ แม้จะเป็นระยะเวลาอันสั้น แต่ก็มีผลทำให้เธอมีจิตใจสงบ เป็นกุศลพ้นจากความทุกข์ได้ในบางขณะระหว่างที่เธอเจ็บป่วย

  • การสงเคราะห์ผู้ป่วยด้วยธรรมโอสถ (รายที่ 1)

เรื่องมีอยู่ว่า ในขณะที่ดิฉันอยู่ในระหว่างการรักษาตัวที่โรงพยาบาล เพื่อนสนิทที่มาเยี่ยมเป็นประจำได้ทราบถึงการที่ดิฉันใช้ธรรมโอสถช่วยตนเองให้พ้นทุกข์ทางใจจากการเจ็บป่วยด้วยโรคมะเร็ง จึงขอร้องให้ดิฉันไปเยี่ยมสตรีท่านหนึ่งซึ่งเข้ามารักษาตัวที่โรงพยาบาลเป็นครั้งที่ 2 ตอนนั้นดิฉันนึกไม่ออกจริงๆ ว่าจะช่วยเขาได้อย่างไร เพราะรู้อยู่แก่ใจตนเองว่า การปฏิบัติธรรมต้องใช้เวลาสร้างเหตุ คือฝึกฝนปฏิบัติมากจนเป็นอุปนิสัย แล้วผลจึงจะเกิดเป็นอัตโนมัติ แต่คนเจ็บรายนี้ยังไม่เคยปฏิบัติธรรมมาก่อน

แต่มาตระหนักใจว่า เมื่อเพื่อนขอร้อง ก็แสดงว่า เขาต้องศรัทธาเราและเห็นผลที่เกิดขึ้นในตัวเราแล้ว จึงตอบตกลง ตลอดเวลาที่เดินทางไป สารภาพจริงๆ ว่ายังคิดไม่ออกว่าจะให้เขาปฏิบัติอย่างไร ในระยะเวลาอันน้อยนิด และให้บังเกิดผล แต่เมื่อไปเห็นสภาพเขาแล้ว ก็เกิดรู้โดยอัตโนมัติว่าจะช่วยเขาอย่างไร

ในห้องพักผู้ป่วย มีพระพุทธรูปองค์ใหญ่สวยงามมากตั้งอยู่เหนือเตียง ญาติพี่น้องแวดล้อมอยู่เต็ม ดอกไม้นานาพรรณสดใส ข้าวของจากการเยี่ยมอุดมสมบูรณ์ คนดูแลเรียนจบ ปกศ.สูง ได้รับการว่าจ้างเป็นพิเศษให้อยู่กับผู้ป่วยตลอดเวลา เมื่อมองมาที่ผู้ป่วย เธอเป็นสุภาพสตรีโสด อายุ 52 ปี เดินเหิน กินได้ ร่างกายโดยทั่วไปเป็นปกติ หากแต่มองลึกลงไป พบว่า สภาพจิตใจมีกังวล หม่นหมอง ห่อเหี่ยว ท้อแท้ กลัว และสิ้นหวัง ตามลักษณะของคนที่รู้ตัวว่าเป็นโรคมะเร็ง และก็คงจะรู้ต่อไปอีกว่า ความเจ็บป่วย ทรมาน และความตายกำลังรออยู่

ความรู้สึกแวบหนึ่งเข้ามาในจิต บอกว่าตนเองโชคดีมหาศาล ที่ยังไม่ประมาทต่อกาลเวลา ได้มารับการฝึกอบรมวิปัสสนาและการเจริญสติจากคุณแม่สิริ กรินชัย และปฏิบัติตลอดมาจนอยู่ในสภาพที่สามารถช่วยตนเองหลุดพ้นจากความทุกข์ที่เนื่องมาจากความเจ็บป่วยได้ จึงเริ่มต้นแนะนำเขากินยาอย่างมีสติ โดยสาธิตให้ดูและปฏิบัติตาม กล่าวคือ จับแก้วก็ให้ใจรู้ตามการสัมผัสนั้นๆ เย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง ยกแก้ว กินน้ำ กลืนยา ก็ให้ใจตามรู้การกระทำนั้นๆ ดิฉันใช้เวลาถึง 1 ชั่วโมงเต็ม ฝึกเขาให้มีสติตามรู้สิ่งที่เข้ามาปรากฏในทวารทั้ง 6 ด้วยการกำหนด เห็นหนอ ยินหนอ กลิ่นหนอ รสหนอ สบายใจหนอ เจ็บปวดหนอ และฝึกการกำหนดอิริยาบถการเคลื่อนไหวในการยืน เดิน นั่ง นอน และอิริยาบถย่อยต่างๆ อย่างติดต่อเนื่องกัน จนเขาทำตามได้ และดิฉันก็รับรู้ได้ว่าเขาได้อารมณ์จากการได้อยู่กับปัจจุบันจนทำให้เขามีใจสงบ เยือกเย็น เป็นสุข พ้นสภาวะของความเครียดทางใจทั้งหลายได้ชั่วขณะ จึงได้อำลากลับ

จากประสบการณ์ดังได้กล่าวมา ทำให้ดิฉันมั่นใจมากว่า การมีสติกำหนดรู้ที่ดิฉันได้รับการฝึกฝนมานี้สามารถช่วยบุคคลที่มีทุกข์ทางกายและใจได้เป็นอย่างดี ซึ่งดิฉันเชื่อว่า ทุกคนสามารถทำได้ไม่ยากเลย ขอเพียงแต่ให้เรียนรู้และเข้าใจวิธีการ และมีความเพียรพยายามในการกำหนดรู้เท่านั้น

  • การสงเคราะห์ผู้ป่วยด้วยธรรมโอสถ (รายที่ 2)

ผู้ป่วยท่านที่ 2 ที่ดิฉันพบเป็นสุภาพสตรีอายุ 75 ปี โสด เคยเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนสตรีจังหวัดสมุทรปราการ ท่านเป็นอาจารย์ของดิฉันตั้งแต่ดิฉันเข้าเรียนชั้นมัธยมปีที่ 1 จนจบมัธยมปีที่ 6 และครอบครัวดิฉันสนิทกับท่านมาก วันหนึ่งพี่สาวดิฉันโทรศัพท์มาเล่าว่า ท่านมีอาการพูดไม่ชัด มือขวาเคลื่อนไหวไม่ได้ เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลพระมงกุฎฯ แพทย์ตรวจพบว่าเป็นเนื้องอกร้ายที่สมอง เนื่องจากมะเร็งที่ขั้วปอดลุกลามไปที่สมอง แพทย์จึงทำการผ่าตัดเนื้องอกที่สมองโดยด่วน และจะให้การรักษาโดยฉายรังสีกับให้ยาในเวลาต่อมา

ดิฉันได้ทราบข่าว รู้สึกใจหาย ตกใจมาก ด้วยไม่คาดคิดมาก่อน ดิฉันรีบรุดไปเยี่ยมท่านที่โรงพยาบาล เมื่อเห็นท่าน ดิฉันถอนใจโล่งอก ภาพที่เห็นช่างตรงกันข้ามกับที่ดิฉันคิดไว้ในใจจากคำบอกเล่าของพี่สาว เพราะภาพที่เห็น คือ ท่านมีหน้าตาแจ่มใส ยิ้มแย้ม จำทุกคนได้หมด พูดคุยกับแขกที่ไปเยี่ยมอย่างมิรู้เหน็ดเหนื่อย แสดงความห่วงใยแขกที่มาเยี่ยม เชื้อเชิญให้แขกกินขนมอยู่ตลอดเวลา ตัวท่านก็กินอาหารทุกอย่างได้ดี พี่สาวท่านเล่าว่า “หนูโชคดีที่มาพบท่านในสภาพที่ฟื้นตัวได้มากที่สุด” อาการของท่านในวันนั้น บอกเราทุกคนในนั้นว่า ท่านจะต้องดีขึ้นเป็นลำดับ

ดิฉันเข้าไปจับมือท่าน ท่านเอ่ยชื่อดิฉันและกล่าวว่า “จำนง (พี่สาวของดิฉัน) บอกครูว่า หนูชวนเขาเข้าปฏิบัติธรรมกับคุณแม่สิริ กรินชัย ที่บ้านคุณหมออุดมศิลป์ ศรีแสงนาม เมื่อเดือนธันวาคม 2531 เขามาชวนครู ไม่ทราบอย่างไร ครูได้ปฏิเสธเขาไป น่าเสียดายนะ”

ดิฉันถามความรู้สึกของท่านที่เจ็บป่วยอยู่ขณะนี้ ท่านบอกว่า “ครูกลัวจะไม่ได้กลับบ้าน ครูไม่คิดว่าจะต้องเจ็บมากอย่างนี้” ดิฉันปลอบใจและให้กำลังใจว่า “คุณครูต้องไม่เป็นอะไร คุณครูต้องทำใจให้เข้มแข็ง ในชีวิตนี้คุณครูทำแต่ความดีงาม สร้างสรรค์ผู้คน ทำประโยชน์ให้สังคมมากมาย ที่หนูเจริญก้าวหน้าทั้งชีวิตส่วนตัวและราชการ ก็เพราะการอบรมสั่งสอนของคุณครู”

ดิฉันได้นำท่านให้คิดถึงบุญกุศลที่ท่านได้กระทำมา ท่านเล่าเรื่องหลังเกษียณอายุแล้วว่า “ครูเก็บรวบรวมเงินได้แสนบาท ครูนำเงินนี้ไปถวายสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เพื่อเข้ามูลนิธิสายใจไทย ครูได้เข้าเฝ้าเบื้องพระยุคลบาท พระพักตร์ท่านงดงามมาก ครูปลื้มปีติจนบรรยายไม่ถูก ครูดีใจมาก เป็นสุขมาก ครูอยากเก็บเงินทำบุญถวายท่านอีก แต่ครูคงไม่มีโอกาสอีกแล้ว” ตลอดเวลาที่ดิฉันซักถามและท่านตอบนั้น ใบหน้าของท่านละมุนละไม ดวงตาอิ่มเอิบด้วยบุญกุศลอย่างเต็มเปี่ยม

จากนั้นดิฉันบอกให้ท่านเอาใจตามรู้การเคลื่อนไหวของร่างกาย ด้วยการยกมือขึ้น-ลง มือกำ-คลาย เท้างอ-เหยียด เอามือซ้ายซึ่งเคลื่อนไหวได้ดีช้อนมือขวาซึ่งเคลื่อนไหวได้เล็กน้อย แล้วโยกมือทั้งสอง ขึ้น-ลง ขึ้น-ลง จากคางจรดท้อง ทำเช่นนี้หลายครั้ง ท่านถามดิฉันว่า “จำเนียรให้ครูทำทำไม” ดิฉันตอบว่า “หนูกำลังให้คุณครูทำความรู้สึกตัวกับการเคลื่อนไหวของกายและจิตค่ะ” จากนั้นคุณครูก็เอาใจตามรู้การเคลื่อนของมือและเท้าตามที่ดิฉันบอกท่าน ทำกันไปสักพักใหญ่ คุณครูก็พูดว่า “ดีจริง วิธีของจำเนียรง่ายๆ ครูใจสงบดีมาก” ดิฉันพูดว่าเมื่อดิฉันกลับแล้วขอให้คุณครูทำเช่นนี้บ่อยๆ ใจจะได้สงบสบายและเป็นกุศลมาก คุณครูรับว่าจะพยายามทำ

ขณะนั้นคุณอำนวยซึ่งเป็นผู้ดูแลคุณครู คงจะเห็นด้วยตาตนเองว่า คุณครูสบายใจมาก จึงสนใจวิธีการที่ดิฉันแนะนำคุณครู ได้เข้ามาซักถามถึงประโยชน์และเรียนรู้วิธีการเพื่อจะช่วยเตือนคุณครูให้ทำบ่อยๆ ดิฉันดีใจมากได้บอกว่า “ถ้าคนเราสามารถทำความรู้สึกตัวทุกขณะของการเคลื่อนไหวของกายและจิตได้ ใจจะเป็นสมาธิ มีความสงบและเกิดสุข เพราะสภาวะนั้นกิเลสเข้าไม่ได้นั่นเอง ผลที่ได้ คือ จิตผ่องแผ้ว และเป็นมหากุศล”

ดิฉันไม่อาจทราบว่า หลังจากนั้นคุณครูจะมีสติสัมปชัญญะระลึกรู้ได้อีกต่อไปหรือไม่ แต่ดิฉันเชื่อเหลือเกินว่า จิต (ใจ) ของท่านขณะนั้นเป็นกุศลมาก ดิฉันลากลับและคิดว่าจะหาโอกาสกลับมาเยี่ยมท่านอีก แต่น่าเสียดาย เพียง 2 วันหลังจากแพทย์เยียวยาท่านด้วยการฉายรังสีที่สมอง ท่านเริ่มทรุดลง ดิฉันไปเยี่ยมท่าน พบว่า ท่านมีอาการซึม ไม่อยากรับรู้โลกภายนอกอีกแล้ว จะให้ท่านทำความรู้สึกตัวเหมือนเช่นเดิม ท่านก็ไม่เอาแล้ว ดิฉันได้แต่มองหน้าท่าน และแผ่พลังจิตให้ท่านหายหรือคลายจากความเจ็บป่วยโดยเร็ว แต่ไม่เป็นผล พี่สาวดิฉันเล่าว่า อาการท่านทรุดลงทุกวัน จนในที่สุดท่านหมดลมหายใจ ช่างรวดเร็วเหลือเกิน

ข้อมูลสื่อ

129-026
นิตยสารหมอชาวบ้าน 129
มกราคม 2533
ธรรมโอสถ
จำเนียร ช่วงโชติ