• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

ข่าวมาลาเรีย สำหรับชาวบ้าน (ตอนที่ 1 )

ข่าวมาลาเรีย สำหรับชาวบ้าน (ตอนที่ 1 )


ระหว่างวันที่ 17-19 พฤศจิกายน 2523 กระทรวงสาธารณสุขได้จัดการประชุมมาลาเรียแห่งชาติขึ้นที่โรงแรมโนรา อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ถึงแม้ผมจะไม่ได้รับเชิญเข้าร่วมประชุม ก็มีโอกาสแอบเข้าไปฟังและได้รับแจกเอกสารกลับมาอ่านที่บ้าน ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ฟังตลอดรายการ ก็ได้รับความรู้เกี่ยวกับโรคมาลาเรีย โดยเฉพาะสถานการณ์ปัจจุบันเกี่ยวกับปัญหาโรคมาลาเรียในประเทศไทยอย่างมากมายผมรู้สึกตื่นเต้นและตกใจพอสมควร และคิดว่าถ้าจะเล่าเรื่องนี้ส่งมาให้ “หมอชาวบ้าน” ลงเผยแพร่ให้เพื่อนไทยในชนบทได้รับทราบไว้ ก็คงจะเป็นประโยชน์

ผมเป็นแพทย์ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับเรื่องมาลาเรียน้อยมาก และในการประชุมคราวนั้นผมก็ได้ฟังเป็นบางตอนเท่านั้น เพราะฉะนั้นข้อความที่จะเล่านี้คงจะไม่สมบูรณ์ แต่ก็หวังว่าจะมีส่วนที่เป็นประโยชน์ต่อเพื่อนชาวบ้านในชนบท และหวังว่าในส่วนที่ผมได้ละเลยไปเพราะความไม่รู้ คงจะมี “นักมาลาเรีย” เขียนมาเล่าเพิ่มเติมต่อไปอีก

การประชุมคราวนั้น “ยิ่งใหญ่” สมเป็นการประชุมระดับชาติจริง ๆ มีคุณลุงทองหยด จิตตวีระ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งจะเคยเป็น “ไข้จับสั่น” บ้างหรือเปล่าก็ไม่ทราบ เป็นประธานเปิดการประชุม มีผู้เข้าร่วมประชุมกว่า 300 คน มาจากทุกสารทิศ รวมทั้งฝรั่งปริมาณสิบกว่าคนด้วย ผู้เข้าร่วมประชุมมีทั้งแพทย์ นักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย อาจารย์ในมหาวิทยาลัย, และเจ้าหน้าที่ของกระทรวงสาธารณสุขที่น่ายินดี คือ ผู้เข้าร่วมประชุมส่วนใหญ่เป็นผู้ที่รับผิดชอบการป้องกันและรักษา โรคมาลาเรียในชนบท

และที่น่ายินดียิ่งขึ้นไปอีกก็คือ ผมได้รับทราบจากข่าววงในว่า หลังจากการประชุมคราวนั้น กระทรวงสาธารณสุขก็จะได้รับข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องโรคมาลาเรียจากทั่วประเทศไทย รวมทั้งแนวนโยบายขององค์การอนามัยโลกและองค์การอื่น ๆ ที่มีส่วนช่วยกันควบคุมและกำจัดโรคนี้ ก็คงจะมีการจัดตั้งคณะที่ปรึกษาทางด้านมาลาเรีย มาช่วยกันวางแผนและแนวทางต่อสู่กับโรคมาลาเรีย ให้เกิดผลต่อเพื่อนไทยในชนบทอย่างจริงจัง เพราะว่าโรคนี้เป็นโรคของชนบทโดยแท้ ในเมืองไม่มี

เพื่อนชาวบ้านที่อยู่ในชนบททุกคนทราบดีว่า เวลานี้มาลาเรียเป็นปัญหามากแค่ไหนในชนบท โดยเฉพาะตามป่าเขา แต่ถ้าเราจะมองย้อนกลับไปสัก 30 ปี คือในปี พ.ศ.2493 (ซึ่งเป็นปีแรกที่ประเทศไทยเริ่มมีโครงการควบคุมโรคมาลาเรีย) ประเทศไทย ในขณะนั้นจะมีคนเป็นไข้มาลาเรียปีละ 25% คือตอนนั้นประเทศไทยมีพลเมืองประมาณ 18 ล้านคน เป็นมาลาเรียปีละ 4.5 ล้านคน และในตอนนั้นคน 100,000 คน ตายเพราะโรคไข้มาลาเรียถึง 250 คน คือ โรคมาลาเรียเป็นโรคที่ทำให้คนไทยตายมากที่สุดเป็นอันดับ 1 หรือ แชมเปี้ยนทีเดียว นี่เป็นเรื่องของปี พ.ศ.2493 นะครับ

หลังจากมีโครงการควบคุมและกำจัดกวาดล้างมาลาเรีย โรคนี้ก็ลดลงเรื่อย ๆ คืออัตราการเป็นโรคลดลงต่ำสุดในปี พ.ศ.2512 เหลือเพียง 0.2% หรือลดลงจากปี 2493 หนึ่งร้อยเท่าพอดี คือ ถ้าตอนนั้นประเทศไทยทั้งประเทศมีพลเมือง 40 ล้านคน จะมีคนเป็นมาลาเรียปีละ 80,000 คนเท่านั้นเอง
แต่เราก็โชคดีอยู่ไม่นาน หลังจากนั้นโรคมาลาเรียก็เริ่มชุกชุมขึ้นใหม่อีก อัตราการเป้ฯโรคมาลาเรียก็เพิ่มขึ้น ๆ แต่เวลานี้ก็เริ่มลดลงอีกอย่างช้า ๆ จนอัตราการเป็นมาลาเรียเท่ากับ 0.7% คือทั่วประเทศมีคนเป็นโรคประมาณปีละ 300,000 คน แต่คุณหมอสุรินทร์ พินิจพงศ์ ผู้อำนวยการกองมาลาเรียคนใหม่เอี่ยม ท่านบอกว่า คงจะมีคนเป็น โดยที่ทางการไม่รู้อีกสักปีละ 500,000 คน รวมเป็นคนที่เป็นมาลาเรียทั้งหมดทั่วประเทศปีละ 800,000 คน นี่เป็นตัวเลขของเวลาปัจจุบันนี้นะครับ,

เห็นตัวเลขแล้วก็ตกใจ ว่าแต่ละปีมีเพื่อนชาวบ้านเป็นไข้จับสั่นถึงเกือบหนึ่งล้านคน แต่ผมยิ่งตกใจหนักขึ้นไปอีก เมื่อได้ฟังศาสตราจารย์แพทย์หญิง คุณหญิงตระหนักจิต หะริณสุต (ชื่อท่านยาวหน่อยครับ เพราะศึกษาเรื่องมาลาเรียมานาน ต่อไปผมจะขอเรียกท่านว่า อาจารย์หมอตระหนักจิตก็แล้วกัน) บอกว่าเชื้อมาลาเรียยุคน้ำมันแพงนี่มันดื้อหมด ยาอะไร ๆ มันก็ดื้อแล้วทั้งนั้น
อย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะครับว่าต่อไปนี้ใครเป็นไข้มาลาเรียละก็ไม่มีทางรักษาหาย โรคนี้ยังรักษาหายครับ แต่ก็รักษายากขึ้น ๆ ทุกที ยาที่เคยรักษาได้ผลดี เมื่อ 20 ปีก่อน เช่น ยาคลอโรควิน (Chloroquine) นั้น เวลานี้เชื้อมาลาเรียชนิด ฟาลซิปารั่ม ซึ่งเป็นชนิดที่พบเป็นส่วนใหญ่ในประเทศไทย มันดื้อยานี้หมดแล้ว ส่วนยาที่เพิ่งมาเริ่มใช้กันแพร่หลายมากในเวลาประมาณ 10 ปีที่ผ่านมาคือ ยาแฟนสิดาร์ (Fansidar) นั้น เชื้อก็เริ่มดื้อแล้ว แล้วพบว่าดื้อมากขึ้นๆ ทุกที เวลานี้เราต้องกลับไปใช้ยาเก่าที่เคยใช้กันมานานแล้ว คือ ควีนิน ควีนินเป็นยารักษามาลาเรียแบบที่เกิดจากเชื้อฟาลซิปารั่ม ได้ผลดีที่สุดในปัจจุบัน

             
                รูป เชื้อมาลาเรียชนิด ฟาลซิปารั่มระยะไม่มีเพศ อยู่ภายในเม็ดเลือแดง
     

ตัวเชื้อมาลาเรีย
มาถึงตอนนี้ก็ขอทำความเข้าใจกับท่านผู้อ่านที่ยังไม่คุ้นเคยกับเรื่องเชื้อโรคมาลาเรียเสียสักหน่อยว่า เชื้อโรคนี้มีหลายชนิด ชนิดที่พบบ่อยในประเทศไทยเรียกชื่อว่า ชนิดฟาลซิปารั่ม (Plasmodium falciparum) ส่วนชนิดที่พบในประเทศไทยมากรองลงมาคือ ชนิดไวแวกซ์ (Plasmodium vivax) ที่จริงในประเทศไทยเรายังพบเชื้อมาลาเรียชนิดอื่นๆ บ้างประปราย แต่ก็นับว่าน้อยมาก ไม่เป็นปัญหาสำคัญ จึงจะไม่เอยถึง

เชื้อฟาลซิปารั่ม ทำให้เกิดไข้มาลาเรียแบบที่อาการรุนแรง บางทีจึงเรียก ไข้จับสั่นชนิดร้าย อาการไข้และอาการไม่สบายอื่น ๆ มักรุนแรงมาก มักจับไข้ทุก ๆ 36 ชั่วโมงหรือทุกวัน แต่บางครั้งก็อาจจับไข้วันละหลายครั้ง หรือเวลาจับไข้ไม่แน่นอนก็ได้ การอาศัยอาการเป็นเครื่องบอกว่าไข้มาลาเรียนั้นเกิดจากเชื้อชนิดไหนจึงบอกได้ไม่แน่นอน จะบอกได้แน่นอนโดยการเจาะเลือดป้ายบนแผ่นกระจก (ภาษาแพทย์เรียกว่า แผ่นสไลด์) นำไปย้อมสีและดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ ตัวเชื้อมาลาเรียแต่ละชนิดมีลักษณะไม่เหมือนกัน ในปี พ.ศ. 2523 นี้ 68% ของคนเป็นไข้มาลาเรียในประเทศไทยเกิดจากเชื้อฟาลซิปารั่ม เชื้อชนิดนี้ทำให้เกิดอาการแทรกซ้อนได้บ่อย เช่นทำให้เกิดมาลาเรียขึ้นสมอง มาลาเรียลงตับ มาลาเรียลงไต มาลาเรียลงกระเพาะ เป็นต้น

เชื้อไวแวกซ์ ทำให้เกิดไข้มาลาเรียแบบที่อาการไม่รุนแรงมาก บางทีจึงเรียกไข้จับสั่นชนิดไม่ร้าย และอาการไข้จับสั่นมักเกิดขึ้นทุก ๆ 48 ชั่วโมง การจับไข้จึงมักจับวันเว้นวัน เชื้อชนิดนี้ทำให้เกิดอาการไข้จับสั่นที่ไม่รุนแรงนักก็จริงอยู่ แต่มันก็มีลักษณะพิเศษ ที่ทำให้รักษาให้หายขาดไม่ได้โดยยาชนิดเดียวดังจะกล่าวถึงต่อไป


            

             รูป เชื้อมาลาเรียชนิด ฟาลซิปารั่มระยะมีเพศ อยู่ภายในเม็ดเลือแดงในรูปนี้
                    ตัวยาวเป็นตัวผู้ ตัวสั้นเป็นตัวเมีย

คนเรารับเชื้อมาลาเรียมาจากยุง ยุงที่เป็นตัวนำเชื้อมาลาเรียได้นั้น ต้องเป็นยุงในตระกูลยุงก้นปล่อง เมื่อคนได้รับเชื้อโรคมาลาเรีย เชื้อนี้จะเข้าไปอยู่ในตับไปเจริญเติบโตเพิ่มจำนวนพลเมืองมาลาเรียกันในตับเป็นเวลานาน 1 สัปดาห์ ถึงหลาย ๆ สัปดาห์ แล้วแต่ชนิดของเชื้อ และแล้วแต่ว่าคนนั้นมีภูมิคุ้มกันโรคมาลาเรียอยู่บ้างหรือไม่ คนที่ยิ่งมีภูมิคุ้มกันมาก เชื้อมาลาเรียก็ยิ่งต้องใช้เวลาเพิ่มจำนวนในตับเป็นเวลานานขึ้น ระยะนี้คนนั้นจะยังไม่มีอาการผิดปกติ เมื่อเชื้อโรคมาลาเรียในตับมีจำนวนมากพอแล้ว ก็จะพรั่งพรูกันออกมาจากตับสู่กระแสเลือด และเข้าไปอยู่ในเม็ดเลือดแดง เข้าไปไม่ใช่อยู่เฉย ๆ มันแบ่งตัวเพิ่มพลเมืองต่อไปอีก พอได้จำนวนพลเมืองในเม็ดเลือดแดงมากพอ เม็ดเลือดแดงก็แตก การแตกของเม็ดเลือดแดงนี้เกิดพร้อมกันเป็นรอบ ๆ ถ้าเป็นเชื้อชนิดฟาลซิปารั่ม ก็ใช้เวลารอบละ 48 ชั่วโมง นี่เป็นสาเหตุของการที่จับไข้สั่นทุก ๆ 36 ชั่วโมง ส่วนชนิดไวแวกซ์ ใช้เวลารอบละ 48 ชั่วโมง นี่เป็นสาเหตุของการที่จับไข้สั่นทุก ๆ 36 ชั่วโมงหรือ 48 ชั่วโมง

เชื้อมาลาเรียมันมีความสามารถพิเศษคล้าย ๆ ตัวละครในเรื่องรามเกียรติ์ คือ มันสามารถแปลงตัวได้หรือจะว่ามันสามารถอวตารเป็นปาง ๆ ก็น่าจะได้ ตอนที่มันอยู่ในตับ มันก็มีรูปร่างมีชีวิตแบบหนึ่ง พอมาอยู่ในเม็ดเลือดแดง มันก็มีชีวิตและรูปร่างอีกแบบหนึ่ง ปางที่อยู่ในเม็ดเลือดแดงนี่เอง ที่เป็น “ปางก่อโรค” คือ ทำให้เกิดอาการไข้จับสั่นและอาการอื่น ๆ ปางในตับไม่ทำให้เกิดอาการ นอกจากนั้นแล้ว ปางที่อยู่ในเม็ดเลือดแดงบางตัวยัง “อวตาร” ต่อไปอีกก็ได้กลายเป็น “ปางมีเพศ” ขึ้นมา บางตัวก็กลายเป็น “ปางตัวผู้” บางตัวกลายเป็น “ปางตัวเมีย” ทั้งปางตัวผู้และปางตัวเมียนี้ ไม่ทำให้เกิดอาการ แต่มีไว้สำหรับ “สืบตระกูล” คือ ไว้รอให้ยุงก้นปล่องมากัดคนนั้น ยุงก็รับเอาเชื้อทั้งปางตัวผู้และปางตัวเมียไป เชื้อทั้งสองเพศก็ผสมพันธุ์ออกลูกหลานในยุง สำหรับไปปล่อยให้คนอื่น หรือสัตว์ตัวอื่นต่อไป

ยารักษาโรคมาลาเรียแต่ละชนิดมีฤทธิ์ไม่เหมือนกัน บางชนิดก็ฆ่าได้เฉพาะเชื้อระยะไม่มีเพศในเม็ดเลือดแดง ยาทุกชนิดที่ทำให้อาการไข้จับสั่นหาย จะต้องมีฤทธิ์แบบนี้ แต่มันอาจไม่สามารถฆ่าเชื้อที่อยู่ในตับได้ คือ ฆ่าได้ไม่หมด พอเราหยุดยา เชื้อในตับก็ออกมาใหม่ ก็กลับเป็นไข้ซ้ำอีก รักษาเท่าไรก็ไม่หายขาด นอกจากนั้นเชื้อมาลาเรียระยะมีเพศ ก็ต้องใช้ยาชนิดพิเศษมาฆ่า การฆ่าเชื้อระยะนี้ไม่ได้มีประโยชน์ต่อคนคนนั้น เพราะว่าเชื้อระยะนี้ไม่ทำให้เกิดอาการแต่ก็มีประโยชน์ในแง่ของการกำจัดเชื้อให้สิ้นซาก ไม่ติดต่อไปสู่ยุงและสู่คนอื่นๆ ต่อไปอีก เรียกว่า เป็นการตัดวงจรการนำโรค
เชื้อมาลาเรียชนิดฟาลซิปารั่มดีอยู่หน่อยตรงที่เมื่อมันออกมาจากตับ มันพร้อมใจกันออกมาหมดไม่เหลืออยู่ในตับเลย มาลาเรียชนิดนี้ ถ้าเราให้ยาฆ่าเชื้อในเม็ดเลือดแดง (เชื้อระยะไม่มีเพศ) ได้หมด ก็หายขาดไปเลย ไม่กลับเป็นซ้ำอีก (แต่อาจยังเหลือเชื้อระยะมีเพศทำให้อาจยังนำเชื้อไปติดยุงและติดคนอื่นต่อไปอีก)

         
              รูป เชื้อมาลาเรียชนิด ไวแว็กซ์ระยะไม่มีเพศ อยู่ภายในเม็ดเลือแดง

ส่วนเชื้อมาลาเรียชนิดไวแวกซ์ ยุ่งยากกว่าในแง่ที่ว่ามันเก็บทัพหลังไว้ในตับเป้นกองทัพสำรองอีกด้วย เมื่อเชื้อส่วนหนึ่งออกมาอยู่ในเลือดทำให้เกิดอาการและเราให้ยาฆ่าเชื้อ (ระยะไม่มีเพศ) ในเม็ดเลือดแดงจนหมด อาการต่าง ๆ ก็หายไป แต่ถ้าเราไม่ให้ยาชนิดที่ตามไปฆ่าเชื้อในตับได้ด้วย ในไม่ช้าทัพหลังในตับก็จะสะสมกำลัง (หมายถึงเพิ่มจำนวน) มากพอ และยกส่วนหนึ่งออกมาจู่โจมเม็ดเลือดแดงต่อไปอีก กล่าวได้ง่าย ๆ ว่าเชื้อมาลาเรียชนิดไวแวกซ์ เกิดไข้กลับซ้ำได้เก่ง ถ้าเราไม่ให้ยาชนิดที่ตามเข้าไปจัดการกับเชื้อในตับให้สิ้นซาก

เพราะฉะนั้นเชื้อมาลาเรียที่พบบ่อยในประเทศไทย 2 ชนิด ต่างก็เก่งคนละอย่าง (เก่งในแง่ของเชื้อนะครับไม่ใช่ในแง่ของคน) คือชนิดฟาลปาซิรั่ม แบ่งตัวเพิ่มจำนวนได้เร็ว ทำอาการได้รุนแรง ส่วนชนิดไวแวกซ์เก่งในแง่ที่อึด รักษาให้หายขาดยาก
ที่จริงเชื้อชนิดฟาลซิปารั่มยังมีเก่งอีกอย่างหนึ่ง คือ ดื้อยาเก่ง ดังจะเล่าต่อไป


การใช้ยารักษามาลาเรีย
จากการอ่านเอกสารที่แจกในการประชุม รวมทั้งฟังอาจารย์หมอตระหนักจิต และคนอื่น ๆ พูด ผมพอจะสรุปได้ว่าการรักษาโรคมาลาเรียนั้น ต้องรักษาตามชนิดของเชื้อ คือ ถ้าเชื้อเป็นชนิดฟาลซิปารั่ม การรักษาที่ดีที่สุดในปัจจุบันคือ กินยาควีนิน ครั้งละ 2 เม็ด วันละ 3 ครั้ง(หรือทุก 8 ชั่วโมง) เป็นเวลา 7 วัน ร่วมกับยาแฟนสิดาร์ 2 เม็ด ครั้งเดียวในวันแรกหรือวันสุดท้ายที่กินควีนินก็ได้ นี่เป็นขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่นะครับ ถ้าเป็นเด็กต้องลดลงตามส่วนดังจะเล่าต่อไป

ยาควีนินนี้กินตั้งวันละ 6 เม็ด หลายวันเข้าจะมีอาการแพ้ยาเกือบทุกคน อาการที่พบบ่อยที่สุด คือ หูอื้อ มีเสียงอู้ ๆ ในหู ซึ่งต้องทนเอาครับ อย่าไปหยุดกินยาก่อนครบ 7 วัน โรคมาลาเรียจะไม่หาย หลังจากกินยาครบ 7 วันแล้ว อาการหูอื้อดังกล่าวก็จะหายไปเอง ไม่มีอันตรายร้ายแรง ยกเว้นว่าเกิดกินยามากกว่าที่บอกไว้ หรือกินนานเกินไป ก็อาจเกิดอันตรายร้ายแรง คือ ทำให้ตาบอกได้ รวมความว่าการกินยาควีนินตามที่แนะนำคือวันละ 6 เม็ด เป็นเวลา 7 วันนั้น เป็นเรื่องที่ทำให้ผู้กินเดือดร้อนพอควร แต่ก็ต้องทนละครับ ยาอื่น ๆ ที่มีอยู่ใช้รักษามาลาเรียชนิดฟาลซิปารั่มได้ไม่ดีเท่าควีนิน

         

             รูป เชื้อมาลาเรียชนิด ไวแว็กซ์ระยะมีเพศ อยู่ภายในเม็ดเลือแดง
                      รูปซ้ายเป็นตัวผู้ รูปขวาเป็นตัวเมีย

การรักษามาลาเรียชนิดฟาลซิปารั่ม โดยการกินยาควีนินเม็ดนี้ ขอแนะนำเฉพาะคนที่มีอาการไม่รุนแรงมาก และไม่มีอาการแทรกซ้อนนะครับ ถ้ามีอาการแทรกซ้อนเช่น สติเลอะเลือน หมดสติ ชักกระตุก ตาเหลือง ตัวเหลือง ปัสสาวะดำ ปัสสาวะน้อย หรือไม่มีปัสสาวะเลย ท่านว่าให้รีบนำส่งโรงพยาบาล จึงจะปลอดภัยแล
ถ้าจะให้อาการไข้และอาการปวดเมื่อยเนื้อตัวหายเร็วหน่อย จะกินยาลดไข้แก้ปวดจำพวก แอสไพริน พาราเซตามอล ด้วย ก็คงไม่ผิดกติกาอันใด แต่ที่ควรสังวรไว้ก็คือ ยาพวกนี้จะทำให้รู้สึกสบายเร็วขึ้นมาก ทำให้บางคนคิดว่าหายแล้ว กินยาไปได้ไม่กี่วันก็หยุดยาเสียนี่ ผลน่ะหรือครับ ไข้กลับน่ะซิ และการกินยาไม่ครบขนาดแบบนี้จะยิ่งทำให้เชื้อดื้อยาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้นจึงต้องขอย้ำว่า ยาควีนินนั้นต้องกินให้ครบ 7 วัน

รักษาแบบนี้ส่วนใหญ่เชื้อมาลาเรียชนิดฟาลซิปารั่มปางไม่มีเพศอยู่ในเม็ดเลือดแดงก็จะตายหมดโรคหายเรียบร้อย แต่ในเลือดของคนนั้นจะยังมีเชื้อมาลาเรียระยะมีเพศเหลืออยู่ ถ้ายุงมากัดก็จะแพร่เชื้อมาลาเรียต่อไปอีก จึงควรฆ่าเชื้อระยะมีเพศโดยการกินยา ไพรมาควิน วันละ 1 เม็ด เป็นเวลา 5 วัน

แต่อาจมีบางคนที่หลังจากหายเรียบร้อยไปแล้วหลาย ๆ วัน ก็กลับเป็นไข้ใหม่อีก ตรวจเลือดพบเชื้อมาลาเรียชนิดฟาลซิปารั่มอีก โดยไม่ได้ถูกยุงกัดและมีหลักฐานแน่นอนว่าไม่ได้รับเชื้อมาลาเรียเข้าไปใหม่ ถ้าเป็นเช่นนี้ก็ขอให้พึงทราบว่าเชื้อมาลาเรียฟาลซิปารั่มพันธุ์ที่ท่านกำลังเลี้ยงดูปรนเปรออยู่ด้วยเลือดของท่านนั้น ดื้อยา เสียแล้ว ท่านว่าพึงไปหาหมอจึงจะปลอดภัยแล

เรื่องของเชื้อดื้อยาหรือได้รับเชื้อมาลาเรียเข้าไปใหม่ จึงอาจสับสนกันได้สำหรับคนที่อยู่ในดงมาลาเรีย ที่ผมพอจะนะนำได้ก็คือ คนที่อยู่ในดงมาลาเรียควรกินยาป้องกันทุกคน

ทีนี้ลองหันมาดูวิธีรักษาไข้มาลาเรียที่เกิดจากเชื้อไวแวกซ์ ซึ่งรักษาง่ายกว่าแยะ
อาจารย์หมอตระหนักจิตท่านบอกว่า เชื้อไวแวกซ์ไม่มีปัญหาการดื้อยา คือ ใช้ยา คลอโรควิน 4 เม็ด จะกินครั้งเดียว 4 เม็ด หรือครั้งละ 2 เม็ด ห่างกัน 4-6 ชั่วโมงก็ได้ผลเหมือนกัน คือ เชื้อมาลาเรียไวแวกซ์ทุกระยะในเลือดตายหมด แต่ต้องไม่ลืมว่าเชื้อไวแวกซ์ยังมีทัพหลังอยู่ในตับอีก จึงต้องตามไปฆ่าเชื้อในตับให้สิ้นซากให้ได้ โดยใช้ยาไพรมาควิน กินครั้งละ 3 เม็ด ร่วมกับ คลอโรควิน 2 เม็ด สัปดาห์ละครั้ง เป็นเวลา 8 สัปดาห์ แค่นี้ก็หายขาดแน่นอนสำหรับเชื้อไวแวกซ์

แต่ก็ยังมีปัญหาอยู่นิดหน่อย ตรงที่ในประเทศไทยมีคนอยู่ประมาณ 3 ล้านคน (ส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย) ซึ่งถ้ากินยาไพรมาควิน แล้วอาจแสลง ทำให้เม็ดเลือดแดงแตกมากมายและปัสสาวะดำ (รายละเอียดอยู่ในเรื่อง “พันธุ์แพ้ยา” หมอชาวบ้าน ปีที่ 2 ฉบับที่ 18 ตุลาคม 2523) ถ้าใครกินแล้วเกิดอาการปัสสาวะดำหรือซีดเหลืองเพลียมาก ก็ต้องรีบไปโรงพยาบาลละครับ แต่ก็เสี่ยงได้อย่างปลอดภัยพอสมควร ถ้ารู้ว่าเมื่อเกิดเรื่องก็ต้องรีบเข้าโรงพยาบาล

ที่เล่ามานี้เป็นการรักษาโดยเอาหลักวิชาเข้าจับลองหันกลับมาพิจารณาโดยยึดเอาหลักความเป็นจริงของพี่น้องในชนบท ซึ่งเป็นแดนมาลาเรียดูบ้าง พอท่านเป็นไข้จับสั่น ท่านอาจพอเดาได้ว่าเป็นโรคมาลาเรีย แต่ใครจะไปรู้ว่าเป็นเชื้อชนิดไหน ปัญหามันก็เกิดขึ้นว่าอยู่ตามป่าตามเขา ห่างมดห่างหมอ ไม่มีทางพึ่งใครได้ จะช่วยตัวเองอย่างไรดี ก็ต้องยกไปคุยกันฉบับหน้าละครับ

 

ข้อมูลสื่อ

24-010
นิตยสารหมอชาวบ้าน 24
เมษายน 2524
รายงานพิเศษ
นพ. วิจารณ์ พานิช